เจอข่าวนี้ ของขึ้นครับ ขอด่าไอ้มนุษย์ตนนี้อีกสักทู้เหอะ
มันอ้างว่าศาลชี้การชุมนุมปี 53 เกินเหตุ
แล้วทำไมมันไม่พูดบ้างว่า ศาลชี้กี่ศพแล้วที่ตายเพราะเจ้าหน้าที่
มันถือว่ามันมีเส้นอุ้ม ขนาดศาลอาญาไม่รับฟ้องคดีอาญา มันเลยปากดีได้ตลอดมา
จากข่าว
′มาร์ค′ขออย่าเอา ชุมนุมปี′51มาเทียบยุคตน ย้ำ ผู้ชมนุมปี′53 มีอาวุธ-แถมศาลชี้เกินเหตุ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถ้าจะเปรียบเทียบเหตุการณ์การใช้อำนาจในปี 51 กับการใช้อำนาจในปี 53
สรุปสั้นๆ ว่าต่างกันเยอะ เพราะการทำงานของปี′51 ไม่มีขั้นตอนเลย เพราะไม่ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินไม่ได้มีการประกาศใช้กฎหมายพิเศษห้ามชุมนุม
ส่วนการทำงานปี′53 มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน และการชุมนุมเมื่อปี′51 ยังไม่มีการเอาเรื่องไปศาล แต่การชุมนุมปี′53 นั้นไปศาล
และชี้แล้วว่าเป็นการชุมนุมที่เกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญ และประเด็นถัดมาที่สำคัญมากคือ การจะสลายการชุมนุม
รัฐบาลขณะนั้นพูดถึงหลักสากลกรณี ปี′51 ผู้ชุมนุมไม่มีการใช้อาวุธ
แต่ในปี′53 ปัญหาที่เกิดขึ้นจนเกิดความสูญเสียเพราะมีผู้ใช้อาวุธแฝงอยู่กับผู้ชุมนุมเพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ต่างกัน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1423786781
แต่ก่อนพูดว่า กองกำลังติดอาวุธ พูดว่า ผู้ก่อการร้าย
ถึงวันนี้ เปลี่ยนวาทกรรมเป็น ผู้ใช้อาวุธ
(เชื่อเหอะ มันก็จะอ้างว่า อาวุธไม่ได้ถึงปืนและระเบิดเท่านั้น
ขวดกระทิงแดงใส่น้ำมัน มันก็จะอ้างว่าเป็นอาวุธ บ้องไฟมันก็จะบอกว่าเป็นอาวุธ ฯลฯ เป็นอาวุธหมด)
หึหึ
ประเด็นคือ
ที่ตาย ๆ น่ะ ประชาชนคนบริสุทธิ์ทั้งนั้น
โดยเฉพาะหกศพในวัดปทุม ศาลชี้ชัด ว่าตายเพราะใคร
แต่ไอ้มาร์คมันเคยโพสต์เฟซบุคว่า ชายชุดดำยิงกันตายเอง ลากศพออกมาเผาหน้าวัด
ประเด็นคือ แล้วทำไมไม่ยิงคนมีอาวูธ ยิงทำไมคนบริสุทธิ์ตั้งแปดเก้าสิบศพ (ทหารถ้าไม่มีคำสั่ง เขาไม่ยิงหรอก)
ประเด็นคือ ปี 51 ป.ป.ช. สรุปและชี้มูลได้รวดเร็ว แต่ ปี 53 ผ่านมาจะห้าปีแล้ว ยังอ้างไม่ได้ข้อสรุป ทั้งที่ใช้เวลามากเกินควรแล้ว
พวกนี้ พวกเดียวกัน อุ้มกัน ต่อหน้าต่อตาประชาชน หลายเรื่องหลายคดี
ยังมีหน้ามาอ้างนั่นอ้างนี่
คิดถึงคอลัมน์ เรียงคนมาเป็นข่าว ของ ชโลทร มติชนออนไลน์ 13 ก.พ.
ที่เขียนถึงไอ้แหลหนีทหารไว้ว่า
ที่เล่นการเมืองง่ายสุด ... ดูจะเป็น "พลพรรคพรรคประชาธิปัตย์" ภายใต้การนำของ
"อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ" เพียงแต่ปิดปากหยุดความเคลื่อนไหวทางการเมือง "รอเวลา"
ดูเหมือน "สถานะการณ์จะอำนวยหนทางแห่งชัยชนะให้เอง" โดยไม่ต้องออกแรง
"ประชาธิปไตย" จะเป็นรูปแบบไหน "ประเทศชาติ" จะเป็นอย่างไร ไม่น่าใส่ใจเท่า
"ชะตากรรมของคู่ต่อสู้ทางการเมือง" จะ "โงหัวไม่ขึ้นขนาดไหน" ดูจะเป็นเรื่องชวนให้
ติดตามด้วยใจระทึกมากกว่า
เมือ"ความสำเร็จทางการเมือง" คือ "โอกาสขึ้นสู่อำนาจโดยไม่เลือกรูปแบบ" ราศรีของ
"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" จึงเรืองรองขึ้นทุกครั้งที่มี "การรัฐประหาร" เพราะไม่ว่าอย่างไร ในที่สุดแล้ว
การเมืองต้องคืนสู่ประชาธิปไตย เมื่อ "คู่ต่อสู้" ถูก "ต้วช่วยเขี่ยลงเวที" ย่อมหมายถึง
"ความสำเร็จตามเป้าหมายรออยู่เบื้องหน้า" ที่เหลือก็แต่ "ประดิษฐ์คำพูดให้ฟังดูดี" พอเป็นเหตุผล
ว่า "มาจากประชาชนโดยชอบธรรม" ซึ่งนั่นเป็น "ความสามารถพิเศษที่คนอื่นทำไม่ได้"
กระบวนการยุติธรรมอันลำเอียง แต่เพื่อผลประโยชน์แก่ตนเอง อภิสิทธิ์ก็เห็นดีเห็นงาม
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เหมือนเป็นคนที่ยังไงก็ได้ แบบไหนก็ได้ ขอให้ได้ตามที่ต้องการ
พูดเก่ง พูดดี เหมือนมีอุดมคติอุดมการณ์ เหมือนมีเป้าหมายอันงดงามต่อส่วนรวม
เหมือนมีหลักการอันมั่นคง เหมือนมีแนวทางอันถูกต้องเป็นเครื่องมือ
แต่
เป็นนายกฯแบบไม่ชอบธรรม ก็เอา
เล่นการเมืองนอกลู่นอกทาง ชนิดตกรันเวย์ ก็เอา
พูดจาแบบไม่อายคนอายฟ้าอายดิน ก็กล้า
โดนแป๊ะลิ้มด่าตั้งเวทีด่าหนักชนิดแทบไม่เหลือความเป็นคน ถึงขนาดว่าเลวสุด ๆ ถึงขนาดเรียกว่าไอ้แหลลงตับ
แต่เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ก็ยอมหิ้วกระเช้าดอกไม้ไปหาในวันเกิดแป๊ะลิ้ม
แสดงท่าดีดูหมิ่นดูแคลนหยามเหยียดเนวิน ชิดชอบ มาตลอด แต่พออยากเป็นนายกฯ
ยอมถึงกอดเนวิน ถวายกระทรวงใหญ่ กระทรวงสำคัญให้กลุ่มยี้ห้อยหมด
ขนาดตอนนั้น ทหารคุมเกมให้อยู่แท้ ๆ
แต่เพราะกลัวการเมืองพลิก
(นายชวนได้เป็นนายกฯ เพราะนั่นคือสิ่งที่เนวินยื่นข้อเสนอแลกกับการร่วมรัฐบาล) กลัวไม่ได้เป็นนายกฯ
รีบประเคนกระทรวงใหญ่ กระทรวงสำคัญให้กลุ่มเนวิน
มันคิดถึงผลประโยชน์บ้านเมืองตรงไหน นอกจากตัวเอง
เป็นคนที่ไม่เคยรู้สึกสำนึกอายอะไรเลย
ดีแต่พูด เท่านั้นจริง ๆ
ปอลิง. เรียนคุณ "ตักแม่" เพื่อแซ่บ
คำว่า "ฟันทอม" ผมยืมมาจาก "ฟันธง"
อันเนื่องจากผมเคยมีแฟน แล้วโดนแฟนหักอก
เธอทิ้งผม ไปอยู่กับดี้ ผมแค้นมากว์
ผมจึงมักตั้งทู้และลงท้ายทู้ว่า "ฟันทอม"
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มนุษย์ผู้ไม่เคยรู้สึกสำนึกอาย
เจอข่าวนี้ ของขึ้นครับ ขอด่าไอ้มนุษย์ตนนี้อีกสักทู้เหอะ
มันอ้างว่าศาลชี้การชุมนุมปี 53 เกินเหตุ
แล้วทำไมมันไม่พูดบ้างว่า ศาลชี้กี่ศพแล้วที่ตายเพราะเจ้าหน้าที่
มันถือว่ามันมีเส้นอุ้ม ขนาดศาลอาญาไม่รับฟ้องคดีอาญา มันเลยปากดีได้ตลอดมา
จากข่าว
′มาร์ค′ขออย่าเอา ชุมนุมปี′51มาเทียบยุคตน ย้ำ ผู้ชมนุมปี′53 มีอาวุธ-แถมศาลชี้เกินเหตุ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถ้าจะเปรียบเทียบเหตุการณ์การใช้อำนาจในปี 51 กับการใช้อำนาจในปี 53
สรุปสั้นๆ ว่าต่างกันเยอะ เพราะการทำงานของปี′51 ไม่มีขั้นตอนเลย เพราะไม่ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินไม่ได้มีการประกาศใช้กฎหมายพิเศษห้ามชุมนุม
ส่วนการทำงานปี′53 มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน และการชุมนุมเมื่อปี′51 ยังไม่มีการเอาเรื่องไปศาล แต่การชุมนุมปี′53 นั้นไปศาล
และชี้แล้วว่าเป็นการชุมนุมที่เกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญ และประเด็นถัดมาที่สำคัญมากคือ การจะสลายการชุมนุม
รัฐบาลขณะนั้นพูดถึงหลักสากลกรณี ปี′51 ผู้ชุมนุมไม่มีการใช้อาวุธ
แต่ในปี′53 ปัญหาที่เกิดขึ้นจนเกิดความสูญเสียเพราะมีผู้ใช้อาวุธแฝงอยู่กับผู้ชุมนุมเพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ต่างกัน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1423786781
แต่ก่อนพูดว่า กองกำลังติดอาวุธ พูดว่า ผู้ก่อการร้าย
ถึงวันนี้ เปลี่ยนวาทกรรมเป็น ผู้ใช้อาวุธ
(เชื่อเหอะ มันก็จะอ้างว่า อาวุธไม่ได้ถึงปืนและระเบิดเท่านั้น
ขวดกระทิงแดงใส่น้ำมัน มันก็จะอ้างว่าเป็นอาวุธ บ้องไฟมันก็จะบอกว่าเป็นอาวุธ ฯลฯ เป็นอาวุธหมด)
หึหึ
ประเด็นคือ
ที่ตาย ๆ น่ะ ประชาชนคนบริสุทธิ์ทั้งนั้น
โดยเฉพาะหกศพในวัดปทุม ศาลชี้ชัด ว่าตายเพราะใคร
แต่ไอ้มาร์คมันเคยโพสต์เฟซบุคว่า ชายชุดดำยิงกันตายเอง ลากศพออกมาเผาหน้าวัด
ประเด็นคือ แล้วทำไมไม่ยิงคนมีอาวูธ ยิงทำไมคนบริสุทธิ์ตั้งแปดเก้าสิบศพ (ทหารถ้าไม่มีคำสั่ง เขาไม่ยิงหรอก)
ประเด็นคือ ปี 51 ป.ป.ช. สรุปและชี้มูลได้รวดเร็ว แต่ ปี 53 ผ่านมาจะห้าปีแล้ว ยังอ้างไม่ได้ข้อสรุป ทั้งที่ใช้เวลามากเกินควรแล้ว
พวกนี้ พวกเดียวกัน อุ้มกัน ต่อหน้าต่อตาประชาชน หลายเรื่องหลายคดี
ยังมีหน้ามาอ้างนั่นอ้างนี่
คิดถึงคอลัมน์ เรียงคนมาเป็นข่าว ของ ชโลทร มติชนออนไลน์ 13 ก.พ.
ที่เขียนถึงไอ้แหลหนีทหารไว้ว่า
ที่เล่นการเมืองง่ายสุด ... ดูจะเป็น "พลพรรคพรรคประชาธิปัตย์" ภายใต้การนำของ
"อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ" เพียงแต่ปิดปากหยุดความเคลื่อนไหวทางการเมือง "รอเวลา"
ดูเหมือน "สถานะการณ์จะอำนวยหนทางแห่งชัยชนะให้เอง" โดยไม่ต้องออกแรง
"ประชาธิปไตย" จะเป็นรูปแบบไหน "ประเทศชาติ" จะเป็นอย่างไร ไม่น่าใส่ใจเท่า
"ชะตากรรมของคู่ต่อสู้ทางการเมือง" จะ "โงหัวไม่ขึ้นขนาดไหน" ดูจะเป็นเรื่องชวนให้
ติดตามด้วยใจระทึกมากกว่า
เมือ"ความสำเร็จทางการเมือง" คือ "โอกาสขึ้นสู่อำนาจโดยไม่เลือกรูปแบบ" ราศรีของ
"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" จึงเรืองรองขึ้นทุกครั้งที่มี "การรัฐประหาร" เพราะไม่ว่าอย่างไร ในที่สุดแล้ว
การเมืองต้องคืนสู่ประชาธิปไตย เมื่อ "คู่ต่อสู้" ถูก "ต้วช่วยเขี่ยลงเวที" ย่อมหมายถึง
"ความสำเร็จตามเป้าหมายรออยู่เบื้องหน้า" ที่เหลือก็แต่ "ประดิษฐ์คำพูดให้ฟังดูดี" พอเป็นเหตุผล
ว่า "มาจากประชาชนโดยชอบธรรม" ซึ่งนั่นเป็น "ความสามารถพิเศษที่คนอื่นทำไม่ได้"
กระบวนการยุติธรรมอันลำเอียง แต่เพื่อผลประโยชน์แก่ตนเอง อภิสิทธิ์ก็เห็นดีเห็นงาม
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เหมือนเป็นคนที่ยังไงก็ได้ แบบไหนก็ได้ ขอให้ได้ตามที่ต้องการ
พูดเก่ง พูดดี เหมือนมีอุดมคติอุดมการณ์ เหมือนมีเป้าหมายอันงดงามต่อส่วนรวม
เหมือนมีหลักการอันมั่นคง เหมือนมีแนวทางอันถูกต้องเป็นเครื่องมือ
แต่
เป็นนายกฯแบบไม่ชอบธรรม ก็เอา
เล่นการเมืองนอกลู่นอกทาง ชนิดตกรันเวย์ ก็เอา
พูดจาแบบไม่อายคนอายฟ้าอายดิน ก็กล้า
โดนแป๊ะลิ้มด่าตั้งเวทีด่าหนักชนิดแทบไม่เหลือความเป็นคน ถึงขนาดว่าเลวสุด ๆ ถึงขนาดเรียกว่าไอ้แหลลงตับ
แต่เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ก็ยอมหิ้วกระเช้าดอกไม้ไปหาในวันเกิดแป๊ะลิ้ม
แสดงท่าดีดูหมิ่นดูแคลนหยามเหยียดเนวิน ชิดชอบ มาตลอด แต่พออยากเป็นนายกฯ
ยอมถึงกอดเนวิน ถวายกระทรวงใหญ่ กระทรวงสำคัญให้กลุ่มยี้ห้อยหมด
ขนาดตอนนั้น ทหารคุมเกมให้อยู่แท้ ๆ
แต่เพราะกลัวการเมืองพลิก (นายชวนได้เป็นนายกฯ เพราะนั่นคือสิ่งที่เนวินยื่นข้อเสนอแลกกับการร่วมรัฐบาล) กลัวไม่ได้เป็นนายกฯ
รีบประเคนกระทรวงใหญ่ กระทรวงสำคัญให้กลุ่มเนวิน
มันคิดถึงผลประโยชน์บ้านเมืองตรงไหน นอกจากตัวเอง
เป็นคนที่ไม่เคยรู้สึกสำนึกอายอะไรเลย
ดีแต่พูด เท่านั้นจริง ๆ
ปอลิง. เรียนคุณ "ตักแม่" เพื่อแซ่บ
คำว่า "ฟันทอม" ผมยืมมาจาก "ฟันธง"
อันเนื่องจากผมเคยมีแฟน แล้วโดนแฟนหักอก
เธอทิ้งผม ไปอยู่กับดี้ ผมแค้นมากว์
ผมจึงมักตั้งทู้และลงท้ายทู้ว่า "ฟันทอม"