ศิษย์ธรรมกาย ไม่จำเป็นต้องตอบทุกคำถาม นะครับท่าน

ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับท่าน คือผมเห็นว่า ที่จริงศิษย์ธรรมกาย ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปตอบทุกเรื่อง ทุกคำถาม นะครับ เพราะบางเรื่อง ก็เป็นการถามแบบมุ่งหาเรื่อง ท่านตอบให้ตายก็ไม่มีประโยชน์ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อ่านไม่ฟังท่านหรอก บางเรื่อง เป็นการกล่าวหาด้วยอคติ ก็ในเมื่อเริ่มต้นด้วยอคติ ก็คงเจรจาด้วยเหตุผลได้ยาก เพราะต่อให้ท่านอธิบายจนชัดเจนแล้ว เขาก็ยังสามารถยกเรื่องโน้นเรื่องนี้ มากล่าวหาต่อไปอีก เรื่องไม่จบหรอกครับ ถ้าท่านเป็นคนชอบตอบคำถาม ก็โอเคนะครับ แต่ถ้าหวังว่า จะตอบเพื่อจบ ผมเชื่อว่า ท่านหลงทางแล้วหละ

เช่นเรื่อง ทุจริตของอดีตผู้บริหารสหกรณ์ฯ ที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ชายคนหนึ่งถูกกล่าวโทษว่าทุจริต ฉ้อโกงเงิน ซึ่งผิดถูกอย่างไร ก็ว่ากันไปตามกระบวนการทางกฏหมาย แต่คนบางคน เขาจะไม่ยอมจบแค่นั้น พยายามโยงเรื่องให้พัวพันกับวัด กับพระ สุดท้ายก็ด่าพระด่าวัด ไปตามใจปรารถนา แต่สิ่งที่ผมสงสัยก็คือ เขาไม่เข้าใจหรือว่า เราจะอ้างเพียงคนเข้าวัดคนเดียว แล้วไปพิพากษา วัดทั้งวัด พระทั้งวัด รวมถึงคนชาวพุทธทั้งหมดว่าผิดไปด้วยหรือ ? ท่านลองคิดดูสิครับว่า ในสมัยพุทธกาล ก็มีภิกษุทุศืลอยู่ไม่น้อย คำถามก็คือ นั่นเป็นความผิดเฉพาะบุคคล หรือเป็นความผิดของพระพุทธศาสนา หรือเป็นความผิดของพระพุทธเจ้า กันเล่าครับ ?

ถ้าเราไปถามพวกเดียรถีย์ เขาก็คงบอกว่า เป็นความผิดของพระพุทธศาสนา เป็นความผิดของพระพุทธเจ้า เพราะในเมื่ออ้างว่า พระศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แล้วทำไมจึงมีพระทุศีลอยู่ในพระศาสนาได้อีก ซึ่งเหตุผลนี้ ก็เป็นแบบเดียวกับที่ชาวพุทธบางท่าน พยายามนำมาใช้กับกรณีผู้บริหารท่านนั้นนั่นแหละ คือผมเห็นว่า อันไหนเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล เป็นความผิดเฉพาะตัว ก็ควรตำหนิเฉพาะบุคคล จะไปตำหนิแบบเหมารวมไม่ได้ แต่หลายๆท่านที่อ้างว่าเป็นชาวพุทธ กลับไร้เมตตา ไม่มีเหตุผล คิดแต่จะตำหนิติเตียนพระหรือวัดให้ได้ด้วยอคติ ความไม่ชอบเป็นการส่วนตัว ซึ่งการคุยกับคนแบบนี้ ผมเห็นว่า พูดด้วยยากครับท่าน เหนื่อยเปล่าๆ นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่