คนที่ยังไม่ได้ทำเลสิคบางคนอาจจะคิดว่าวันรุ่งขึ้นหลังการทำ จะเป็นเช้าอันสดใสไร้แว่นให้ขุ่นมัว
เสียใจด้วยที่ความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้น เมื่อตื่นขึ้นมาในวันถัดไป เราพบว่าลืมตาลำบาก นัยน์ตาเกรอะกรังด้วยน้ำตา (บางคนอาจมีน้ำตาไหล แต่ต้องปล่อยให้มันไหลไป เช็ดได้เฉพาะนอกที่ครอบเท่านั้น) นอกจากนี้ยังกรังด้วยยาสารพัดที่หยอดล่ะมั้ง แถมเวลามองต้องผ่านที่ครอบ มันก็ไม่ได้สดใสไฉไลนักหรอกขอบอก
หมอนัด 8 โมงเชข้าก็ไปตามนั้นค่ะ พยาบาลจัดการเอาที่ครอบตาออกพร้อมทั้งทำความสะอาดให้ด้วยน้ำเกลือ พาไปเช็คสายตาด้วยเครื่อง จากนั้นก็ให้อ่านตัวหนังสือ ดูวีดีโอว่าจะต้องล้างตายังไง ดูแลตัวเองยังไง หมอเช็คตาให้ แต่สรุปแล้วไม่มีใครพูดอะไรนอกจากบอกว่าห้ามโดนน้ำ ห้ามบีบตา (หลับตาปี๋อ่ะ) ให้เช็ดหน้าแทนล้างตาด้วยน้ำเกลือที่ให้มา อย่าเพิ่งแต่งหน้า ใส่ที่ครอบตาทุกคืนก่อนนอน หยอดน้ำตาเทียมประจำ หยอดยาลดบวมกับยาฆ่าเชื้อ 4 เวลาต่อวัน
ข้างบนนั่นเป็นสิ่งที่คนทำเลสิคทุกคนได้พบอยู่แล้ว ทีนี้มาที่อาการของเราบ้างว่าเป็นยังไงหลังทำเลสิค คำว่า ‘โลกสดใส’ จริงๆ น่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่เอาที่ครอบตาออกครั้งแรกมากกว่า แต่ถ้าถามว่าเรารู้สึกแบบนั้นไหม ตอบตรงๆ ก็ไม่อ่ะ มันก็เหมือนเวลาใส่คอนแทคเลนส์ การมองภาพก็ประมาณนั้น ไม่ได้รู้สึกวิเศษเลิศเลออะไร
เราไม่ได้ถามตอนที่พยาบาลวัดสายตาด้วยเครื่อง (แต่จริงๆ ก็ไม่ค่อยมีประโยชน์หรอกเพราะหมอดูจริงๆ ที่การอ่านตัวหนังสือมากกว่าว่าเรามองเห็นจริงเป็นยังไง) เราอ่านได้ช้าค่ะ ภาพแตกพร่าตัวอักษรไม่ค่อยเป็นตัวอักษรเท่าไรจนแอบคิดในใจว่าสายตาฉันดีขึ้นก็จริง แต่สงสัยยังติดสั้นอยู่ล่ะมั้ง
แน่นอนว่าไม่มีใครพูดอะไร ก็อ่านกันไป ในระหว่างที่ดูวีดีโอ มีเพื่อนร่วมชะตากรรมทำเลสิคในวันเดียวกันนั่งอยู่ด้วยอีก 2 คน ซึ่งดูจะมีเราคนเดียวที่ทนแม้กระทั่งแสงจากหน้าจอโทรทัศน์ไม่ได้ต้องควักแว่นดำขึ้นมาสวมวีดีโอก็บอกไปว่าเราจะเช็ดตายังไงทำความสะอาดยังไง แล้วมีพยาบาลเดินเข้ามาถามว่ามีคำถามอะไรเพิ่มอีกไหม ก็ว่ากันไป หลังจากนั้นเราก็กลับบ้านเองเดินเป็นเซเลบไปตลอดทางเพราะต้องใส่แว่นดำตลอดเป็นเวลา 1 เดือน
สภาพตาเราแห้งมาก แห้งฝุดๆ แห้งแบบไร้เทียมทาน ปกติเราหยอดน้ำตาเทียมอยู่แล้วด้วยความแห้งของมัน แต่หลังทำเลสิค ความแห้งนี่ทำเอาน้ำตาเทียมเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว สำหรับเรื่องการมอง เราลางานแค่ 2 วัน เพราะคิดว่ามันน่าจะโอเคแล้ว (ดูจากพี่) แต่ผลปรฏว่าเราลองเปิดเมลของบริษัทดู ขยายให้มันไม่ต้องเพ่งจนเกินไปพร้อมดูแว่นดำไปด้วย ผลก็คือ เราปวดหัวข้างซ้ายค่ะ คิดว่าคงเพราะตาซ้ายเป็นตานำของเรา (หมายถึงเป็นตาหลักในการใช้มอง) สรุปแล้วเลยต้องขอโทรไปลางานต่อ ยังไม่ค่อยอยู่ตัวเพราะการมองตัวหนังสือของเรามันค่อนข้างพร่า
คำว่า “พร่า” หมายถึง สมมติดูตัวหนังสือในระยะ 3 เมตร เช่นดูโทรทัศน์ ตัวหนังสือที่ปรากฏก็ประมาณขนาดของ subtitle เราสามารถอ่านตัวหนังสือได้อยู่แหละ แต่ว่าเส้นของตัวอักษรจะปรากฏรัศมีแตกอยู่รอบๆ ซึ่งอาจเป็นผลที่เกิดหลังทำเลสิคระยะแรก ((ถามคนข้างๆ ที่ทำก็เป็นเหมือนกัน) แต่ทีนี้ประเด็นก็คือ การมองของเรามันต้ออยู่ อาจเป็นเพราะเราไม่รู้ว่าจะใช้สายตามองยังไงก็ได้ เราสายตาสั้นมาตลอดชีวิต ไม่รู้ว่าคนปกติเขาจะมองยังไง บางคนอาจจะเข้าใจว่ามันก็เหมือนกับตอนที่ใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์นั่นแหละ สายตายังไงก็ใช้สายตายังงั้น ซึ่งจะบอกว่าระยะแรกของการปรับตัว มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด การมองผ่านแว่นเราจะมองแหนึ่ง การมองโดยปราศจากแว่นสำหรับเราเลยออกแนวหลงทางกับมันอยู่ หลงทางจนกระทั่งวันที่ 3 ของการหยุดงานเรายังไม่พร้อมที่จะไปเผชิญหน้าเลยด้วยซ้ำ
และอยากจะบอกว่าช่วงที่ต้องพักรักษาตาเป็นช่วงทรมานสำหรับเรามาก เพราะการทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้สายตา ไม่ให้โดนฝุ่น มันยากอยู่ทีเดียวสำหรบคนไฮเปอร์นรกแตกแบบเรา แม้ทาหมอจะบอกว่าสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ แต่มันก็ยากจะปกติอย่างที่เราบอกแหละว่าแม้จะเป็นเลเซอร์ แต่ผ่าตัดก็คือผ่าตัด มันย่อมทำให้ร่างกายสะเทือนอยู่แล้ว จะบอกว่าไม่ให้ใช้สายตามาก แล้วจะต้องทำอะไรดี มันยากเหมือนกันนะในช่วงเวลาที่ไม่มีอะไรทำ นอนจนไม่รู้จะนอนยังไงแล้ว จนบางทีเราก็ต้องหยิบผ้าปิดตาขึ้นมา แล้วก็นั่งพิมพ์ในสิ่งที่เรากำลังพิมพ์อยู่นี่ไม่ใช้สายตาแต่ยังมีอะไรให้ทำบ้างโดยไม่ทำร้ายสายตาเกินไป (นี่เป็นที่มาว่าทำไมถึงบอกว่าพิมพ์สัมผัส เพราะเราปิดตานี่แหละ)
แต่ถึงจะเบื่อยังไง เราก็ยังปฏิบัติตามคำสั่งของหมออย่างเคร่งครัด ปกติเราไม่ใช่คนดื้อกับหมออยู่แล้วค่ะ วังในสิ่งที่ควรระวัง เพื่อให้มันออกมาดีที่สุด เพราะถ้าติดเชื้อขึ้นมานี่ไม่สนุกแน่ ตาก็มีอยู่คู่เดียว เราเข้าใจว่าผู้หญิงบางคนไม่มั่นใจเวลาที่ออกจากบ้านแบบหน้าโล้นๆ แต่ถึงแบบนั้นขอให้ชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่างดวงตาคู่เดียวของเรา กับใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางแค่อาทิตย์สองอาทิตย์ ถ้ามองในแง่ดี ก็ถือว่าเป็นการพักหน้าหลังจากที่ใช้เครื่องประทินผิวติดต่อกันมาช้านาน ปล่อยหน้าคืนสู่ธรรมชาติบ้าง (ฟังเหมือนปล่อยสัตว์คืนสู่ป่าไงก็ไม่รู้แฮะ -__- a)
จวบจนกระทั่งเวลาผ่านไปครบ 8 วันของการทำ เราไปที่โรงพยาบาล เซย์ฮัลโหลกับเครื่องตรวจสายตาเหมือนเดิม แล้วก็อ่านตัวหนังสือต่อไป ครั้งนี้อ่านได้ช้ากว่าเดิมอีก อ่านไปแล้วก็หยอดตาไปด้วย ลักษณะตัวอักษรที่ได้เห็นคือความพร่า เส้นแตกเสียจนจบไม่ได้ว่ามันออกมาเป็นรูปร่างอะไร กระทั่งได้พบหมอ แวบแรกที่หมอเห็นตาเรา หมอแทบกรี๊ด เพราะมันแห้งมากจนเป็นขุยไปหมด เมื่อเห็นตอข้อมูลการอ่านตัวหนังสือของเรายิ่งบอกให้รู้ว่ามันแห้งจัดเสียจนไม่ธรรมดา สรุปว่าหมอยังจ่ายยากระฃกระตุ้นต่อน้ำตาให้เราไปก่อน ยังไม่ถึงขนาดต้องอุดท่อน้ำตา (คิดว่าคงต้องรอดูต่อไปว่าสภาพจะเป็นยังไง ถ้าอีกเดือนหนึ่งข้างหน้ายังไม่ดีขึ้นคงต้องทำแบบนั้น)
เพราะงั้นสภาพโดยรวม ถามอว่าพอใจไหมกับการทำเลสิค แน่นอนว่ามันก็มีจุดที่พอใจและจุดที่รู้สึกงุ่นง่านอยู่บ้าง แต่มันก็คือการแลกเปลี่ยนน่ะนะ ในเมื่ออยากทำให้ตามองเห็นได้ใกล้เคียงปกติ ก็ต้องมาดูว่าสิ่งที่แลกกันมันคุ้มค่าหรือไม่
ปัจจัยที่เราใช้ในการพิจารณาในเรื่องการ trade-off ครั้งนี้
1. ความเซ็งของการใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์
ตามที่เราบอกไปแล้วว่าเราไม่ได้มีปัญหากับการใส่แว่นอยู่แล้วตั้งแต่แรก ดังนั้นข้อนี้ไม่ได้มีผลอะไรกับเรา แต่ใครก็ตามที่คิดว่าจะไม่ต้องใส่แว่นอีกเลย ขอบอกว่าไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ตราบเท่าที่สายตาของคุณไม่ได้กลายเป็น 0 (ซึ่งการคงไว้ให้ได้อย่างนั้นมันยากนะ และหมออาจจะปล่อยให้ตาข้างที่ไม่ถนัดยังคงมีค่าสายตาอยู่เพื่อการมองใกล้ไกลของดวงตาทั้งสองข้าง) ดังนั้นการทำงานที่ต้องใช้คอมบ่อยๆ คุณอาจจะยังต้องใช้แว่นช่วยสายตาบ้าง เพียงแต่อาจจะไม่ใช่เลนส์หนาเหมือนเดิม และใส่ๆ ถอดๆ ได้เท่านั้นเอง
นอกจากนี้คุณยังต้องใช้แว่นกันแดดในชีวิตประจำวัน คือ จะไม่ได้ใส่ตลอดเหมือนใส่แว่น แต่ดวงตาที่เคยสู้แดดสู้ลมของคุณมันไม่แข็งแกร่งอีกต่อไป มีแนวโน้มที่จะต้องพึ่งพาแว่นกันแดดไปตลอดแม้กระทั่งไปกินข้าวตอนกลางวัน (ที่จริงต่อให้ไม่ได้ทำเลสิคแต่การใส่แว่นกันแดดมันก็โอเคนะเวลาที่ต้องไปเจอแสงเยอะๆ อ่ะ)
เอาเป็นว่าแม้จะทำเลสิคแต่คุณตัดขาดจากแว่นไม่ได้เต็มร้อยหรอก ถ้าไม่แว่นสายตาก็แว่นกันแดดอยู่ดีนั่นแหละ
2. เงิน
ปัจจัยหลักแต่ว่าเรานำมาไว้ข้อ 2 เพราะคิดว่าใครก็ตามที่ตั้งใจจะทำเลสิค แสดงว่าเรื่องเงินเป็นปัจจัยที่มีเพียงพอแล้ว เหลือแต่ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้ไม่อยากใส่แว่นอีกแล้วมากกว่าแต่ถึงอย่างนั้น เรื่องเงินก็เป็นเรื่องรำคาญอีกที
จะว่าไปการทำเลสิคก็เหมือนซื้อรถละมั้ง คือไม่ใช่ว่าซื้อมาแล้ว เงินที่เสียไปตรงนั้นก็จบ แต่มันยังมีค่าบำรุงรักษา (แว่นกันแดด มาส์กหรือที่ประคบตา เป็นต้น) ค่าน้ำมัน (น้ำตาเทียม) จะไม่มีก็แต่ค่าที่จอดรถละมั้ง (หรือคุณจะเอาตาไปจอดที่ไหนก็ตามสะดวก)
ดังนั้นตัวเงินที่เสียไปตีแบบคร่าวๆ นะ
- ค่าทำเลสิคและค่ายาเบี้ยใบ้รายทาง (เช่น ค่าเดินทาง ค่าน้ำมัน) ที่เกิดขึ้น ประมาณ 4 หมื่น (เรทราคาโรงพยาบาลกลาง คลินิกนอกเวลา)
- ค่าน้ำตาเทียมที่ใช้เป็นแบบไม่มีสารกันบูด 1 หลอดเปิดแล้วต้องใช้ภายใน 24 ชม. เป็นแบบกระเปาะ 1 หลอดมีสัก 6 หยดได้มั้ง เราใช้ทุกครึ่งชม. เพราะแห้งมาก แต่ส่วนมากเขาแนะนำให้ใช้หยอดชั่วโมงละครั้ง)
Vislube 1 กล่องมี 20 หลอด – ราคาอยู่ที่ประมาณ 400 บาทต่อกล่อง (ตีเป็นตัวเลขกลมๆ ขึ้นอยู่กับร้านที่ไปซื้ออาจจะถูกกว่าหรือแพงกว่า เราเฉลี่ยที่เท่านี้ค่ะ)
ในอาทิตย์แรก เราใช้ไปเกือบ 2 กล่อง (แต่เราอาจจะเป็น benchmark ที่ไม่ดีนักเพราะแห้งมากอย่างที่บอก แต่เราถามเพื่อนร่วมชะตา เขาบอกก็ใช้ประมาณนั้นเหมือนกัน อาการตาแห้งเท่าที่เคยได้ยินแว่วๆ จากพยาบาล คือถ้าสายตาสัก 100 น่าจะแห้งมากไปสักเดือนหนึ่ง ของเรา 500 + เอียง 200 เป็น 700 ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าจะแห้งไปนานขนาดไหน) และการใช้น้ำตาเทียมจะลดน้อยลงไปเอง ถ้าเป็นปกติก่อนทำเลสิคเราจะใช้ประมาณ 1 กล่องครึ่งต่อเดือน
ตีเสียว่าประมาณนี้ (คร่าวๆ แบบมั่วๆ)
เดือนแรก เราคงต้องใช้ประมาณ 7 กล่อง --> 7 x 400 = 2,800 บาท
เดือนที่สองและสามอาจจะน้อยลงมาเหลือ 5 กล่อง --> 5 x 400 x 2 เดือน = 4,000 บาท
ทีนี้ยี่ห้อนี้ราคาค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับน้ำตาเทียมในตลาด แต่มันก็น้ำตาเทียมที่เหมาะกับคนทำเลสิคมาก ใช้ไปเถอะค่ะ มันโอเคจริงๆ นะ (เราใช้ตั้งแต่ก่อนทำเลสิคเหมือนกัน) สมมติว่าถ้าหลังจากเดือนที่สาม ตาเริ่มกลับมาปกติ ใช้ประมาณสัก 2 กล่องต่อเดือน (บางคนอาจมองว่าเว่อร์ไป มันขึ้นอยู่กับค่าสายตาที่ทำค่ะ ถ้าของคุณน้อยกว่าเรา ตีจำนวนเงินน้อยกว่านี้ก็ได้)
2 x 400 x 9 เดือน = 7,200 บาท
รวมต่อปี (แบบมั่วๆ) คือ 2,800 + 4,000 + 7,200 = 14,000 บาทในปีแรก
- แว่นกันแดด
อันนี้แล้วแต่แต่ละคนเลยค่ะว่างบประมาณไหน อยากได้แบบไหน แต่เท่าที่ถามจากพี่สาวผู้ซึ่งเคยทำเลสิคมาก่อนและใช้แว่นกันแดดค่อนข้างบ่อย เจ้าตัวบอกว่าชอบแว่นแบบที่มีการไล่ลำดับสีอ่ะค่ะ ไม่ใช่ดำล้วนทั้งเลนส์เพราะการไล่สีจะช่วยให้เราสามารถใช้แว่นกันแดดได้หลายโอกาส ถ้าออกแดดจ้า เราก็มองตรง (เพราะสีเข้มคอยู่บน) ถ้าเข้าในตัวอาคารก็จะมองต่ำลงมานิด ซึ่งเป็นสีที่จางกว่าทำให้การมองภาพของเราดีขึ้น และสีของวัตถุไม่เพี้ยน บลา บลา บลา
แต่เอาเป็นว่าถ้าแว่นกันแดดที่ดีหน่อยเพราะจะต้องใช้ทุกวี่วัน ตีราคาอย่างต่ำสักประมาณ 3,000 ขึ้นละกัน อายุการใช้งานสักประมาณ 3 ปี (ตีเยอะไปไหมหว่า) ตกปีละ 1 พัน
สรุปแล้ว 3 อย่าง คิดที่ราคาปีแรกที่ทำนะคะ
40,000 + 14,000 + 3,000 = 57,000 บาทที่เราน่าจะต้องเสียไป (แต่ปีถัดไปจะลดลงเหลือแค่น้ำตาเทียม)
แต่ถ้าคนที่ไปทำสถานประกอบการอื่นก็คงสูงขึ้นเป็นลำดับ ประเด็นหลักที่อยากให้ดูคือ ค่าใช้จ่ายแฝงที่คุณอาจไม่ได้นึกถึง อย่างน้ำตาเทียม ซึ่งมันก็สูงเอาการอยู่เหมือนกันนะ และเราจะต้องพบกับน้ำตาเทียมและแว่นกันแดดไปชั่วชีวิต ขอให้นึกถึงเงินที่จะต้องเสียไปที่จุดนี้ในแต่ละปีด้วย เพียงแต่ปีที่สอง น้ำตาเทียมคงไม่ถึงขนาดนี้แล้ว อาจจะเหลือแค่ 18 กล่องต่อปี (ตามที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ตกที่ 7,200 บาท)
3. การดูแลรักษา
เรื่องนี้ออกแนวส่วนบุคคลอยู่สักหน่อย เป็นเรื่องที่สายตาสู้แสงได้น้อย ต้านลมไม่ไหว รวมทั้งบางคนที่มีแสงแตกพร่าในเวลากลางคืน ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้ นี่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนที่ได้พบเจอ มันขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคนว่าเป็นแบบไหน เพียงแต่ว่าอย่างของเรา เราไม่ได้ขับรถและไม่ได้ใช้ชีวิตกลางคืน เราจึงไม่มีปัญหาในจุดนี้ ส่วนสายตาสู้แดด สู้ลมไม่ได้ มันก็น่ารำคาญอยู่บ้างแหละที่จะต้องมาประคบประหงม แต่สุดท้ายเมื่อปรับตัวได้มันก็จะกลายเป็นความเคยชิน เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เหมือนๆ กับการใส่แว่น ที่บางคนมองว่ามันน่าจะรำคาญ แต่พอถามคนใส่แว่นจริงๆ ก็ไม่ค่อยรู้สึกหรอกค่ะ ชินไปแล้ว ดังนั้นปัจจัยเรื่องนี้เรารับได้สบายๆ
ตอนนี้เพิ่งผ่านไปอาทิตย์เดียว ยังบอกอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ Memoir นี้คงจบลงที่ตอนที่ 2 ไปก่อนจนกว่าจะไปหาหมออีกเดือนข้างหน้า แล้วจะมาอัพเดทให้ฟังอีกทีว่าเริ่มทำงานเป็นไง ต้องอุดท่อน้ำตาไหมนะคะ ^^"
Lasik Memoir บันทึกการทำเลสิค ตอนที่ 2
เสียใจด้วยที่ความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้น เมื่อตื่นขึ้นมาในวันถัดไป เราพบว่าลืมตาลำบาก นัยน์ตาเกรอะกรังด้วยน้ำตา (บางคนอาจมีน้ำตาไหล แต่ต้องปล่อยให้มันไหลไป เช็ดได้เฉพาะนอกที่ครอบเท่านั้น) นอกจากนี้ยังกรังด้วยยาสารพัดที่หยอดล่ะมั้ง แถมเวลามองต้องผ่านที่ครอบ มันก็ไม่ได้สดใสไฉไลนักหรอกขอบอก
หมอนัด 8 โมงเชข้าก็ไปตามนั้นค่ะ พยาบาลจัดการเอาที่ครอบตาออกพร้อมทั้งทำความสะอาดให้ด้วยน้ำเกลือ พาไปเช็คสายตาด้วยเครื่อง จากนั้นก็ให้อ่านตัวหนังสือ ดูวีดีโอว่าจะต้องล้างตายังไง ดูแลตัวเองยังไง หมอเช็คตาให้ แต่สรุปแล้วไม่มีใครพูดอะไรนอกจากบอกว่าห้ามโดนน้ำ ห้ามบีบตา (หลับตาปี๋อ่ะ) ให้เช็ดหน้าแทนล้างตาด้วยน้ำเกลือที่ให้มา อย่าเพิ่งแต่งหน้า ใส่ที่ครอบตาทุกคืนก่อนนอน หยอดน้ำตาเทียมประจำ หยอดยาลดบวมกับยาฆ่าเชื้อ 4 เวลาต่อวัน
ข้างบนนั่นเป็นสิ่งที่คนทำเลสิคทุกคนได้พบอยู่แล้ว ทีนี้มาที่อาการของเราบ้างว่าเป็นยังไงหลังทำเลสิค คำว่า ‘โลกสดใส’ จริงๆ น่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่เอาที่ครอบตาออกครั้งแรกมากกว่า แต่ถ้าถามว่าเรารู้สึกแบบนั้นไหม ตอบตรงๆ ก็ไม่อ่ะ มันก็เหมือนเวลาใส่คอนแทคเลนส์ การมองภาพก็ประมาณนั้น ไม่ได้รู้สึกวิเศษเลิศเลออะไร
เราไม่ได้ถามตอนที่พยาบาลวัดสายตาด้วยเครื่อง (แต่จริงๆ ก็ไม่ค่อยมีประโยชน์หรอกเพราะหมอดูจริงๆ ที่การอ่านตัวหนังสือมากกว่าว่าเรามองเห็นจริงเป็นยังไง) เราอ่านได้ช้าค่ะ ภาพแตกพร่าตัวอักษรไม่ค่อยเป็นตัวอักษรเท่าไรจนแอบคิดในใจว่าสายตาฉันดีขึ้นก็จริง แต่สงสัยยังติดสั้นอยู่ล่ะมั้ง
แน่นอนว่าไม่มีใครพูดอะไร ก็อ่านกันไป ในระหว่างที่ดูวีดีโอ มีเพื่อนร่วมชะตากรรมทำเลสิคในวันเดียวกันนั่งอยู่ด้วยอีก 2 คน ซึ่งดูจะมีเราคนเดียวที่ทนแม้กระทั่งแสงจากหน้าจอโทรทัศน์ไม่ได้ต้องควักแว่นดำขึ้นมาสวมวีดีโอก็บอกไปว่าเราจะเช็ดตายังไงทำความสะอาดยังไง แล้วมีพยาบาลเดินเข้ามาถามว่ามีคำถามอะไรเพิ่มอีกไหม ก็ว่ากันไป หลังจากนั้นเราก็กลับบ้านเองเดินเป็นเซเลบไปตลอดทางเพราะต้องใส่แว่นดำตลอดเป็นเวลา 1 เดือน
สภาพตาเราแห้งมาก แห้งฝุดๆ แห้งแบบไร้เทียมทาน ปกติเราหยอดน้ำตาเทียมอยู่แล้วด้วยความแห้งของมัน แต่หลังทำเลสิค ความแห้งนี่ทำเอาน้ำตาเทียมเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว สำหรับเรื่องการมอง เราลางานแค่ 2 วัน เพราะคิดว่ามันน่าจะโอเคแล้ว (ดูจากพี่) แต่ผลปรฏว่าเราลองเปิดเมลของบริษัทดู ขยายให้มันไม่ต้องเพ่งจนเกินไปพร้อมดูแว่นดำไปด้วย ผลก็คือ เราปวดหัวข้างซ้ายค่ะ คิดว่าคงเพราะตาซ้ายเป็นตานำของเรา (หมายถึงเป็นตาหลักในการใช้มอง) สรุปแล้วเลยต้องขอโทรไปลางานต่อ ยังไม่ค่อยอยู่ตัวเพราะการมองตัวหนังสือของเรามันค่อนข้างพร่า
คำว่า “พร่า” หมายถึง สมมติดูตัวหนังสือในระยะ 3 เมตร เช่นดูโทรทัศน์ ตัวหนังสือที่ปรากฏก็ประมาณขนาดของ subtitle เราสามารถอ่านตัวหนังสือได้อยู่แหละ แต่ว่าเส้นของตัวอักษรจะปรากฏรัศมีแตกอยู่รอบๆ ซึ่งอาจเป็นผลที่เกิดหลังทำเลสิคระยะแรก ((ถามคนข้างๆ ที่ทำก็เป็นเหมือนกัน) แต่ทีนี้ประเด็นก็คือ การมองของเรามันต้ออยู่ อาจเป็นเพราะเราไม่รู้ว่าจะใช้สายตามองยังไงก็ได้ เราสายตาสั้นมาตลอดชีวิต ไม่รู้ว่าคนปกติเขาจะมองยังไง บางคนอาจจะเข้าใจว่ามันก็เหมือนกับตอนที่ใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์นั่นแหละ สายตายังไงก็ใช้สายตายังงั้น ซึ่งจะบอกว่าระยะแรกของการปรับตัว มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด การมองผ่านแว่นเราจะมองแหนึ่ง การมองโดยปราศจากแว่นสำหรับเราเลยออกแนวหลงทางกับมันอยู่ หลงทางจนกระทั่งวันที่ 3 ของการหยุดงานเรายังไม่พร้อมที่จะไปเผชิญหน้าเลยด้วยซ้ำ
และอยากจะบอกว่าช่วงที่ต้องพักรักษาตาเป็นช่วงทรมานสำหรับเรามาก เพราะการทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้สายตา ไม่ให้โดนฝุ่น มันยากอยู่ทีเดียวสำหรบคนไฮเปอร์นรกแตกแบบเรา แม้ทาหมอจะบอกว่าสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ แต่มันก็ยากจะปกติอย่างที่เราบอกแหละว่าแม้จะเป็นเลเซอร์ แต่ผ่าตัดก็คือผ่าตัด มันย่อมทำให้ร่างกายสะเทือนอยู่แล้ว จะบอกว่าไม่ให้ใช้สายตามาก แล้วจะต้องทำอะไรดี มันยากเหมือนกันนะในช่วงเวลาที่ไม่มีอะไรทำ นอนจนไม่รู้จะนอนยังไงแล้ว จนบางทีเราก็ต้องหยิบผ้าปิดตาขึ้นมา แล้วก็นั่งพิมพ์ในสิ่งที่เรากำลังพิมพ์อยู่นี่ไม่ใช้สายตาแต่ยังมีอะไรให้ทำบ้างโดยไม่ทำร้ายสายตาเกินไป (นี่เป็นที่มาว่าทำไมถึงบอกว่าพิมพ์สัมผัส เพราะเราปิดตานี่แหละ)
แต่ถึงจะเบื่อยังไง เราก็ยังปฏิบัติตามคำสั่งของหมออย่างเคร่งครัด ปกติเราไม่ใช่คนดื้อกับหมออยู่แล้วค่ะ วังในสิ่งที่ควรระวัง เพื่อให้มันออกมาดีที่สุด เพราะถ้าติดเชื้อขึ้นมานี่ไม่สนุกแน่ ตาก็มีอยู่คู่เดียว เราเข้าใจว่าผู้หญิงบางคนไม่มั่นใจเวลาที่ออกจากบ้านแบบหน้าโล้นๆ แต่ถึงแบบนั้นขอให้ชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่างดวงตาคู่เดียวของเรา กับใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางแค่อาทิตย์สองอาทิตย์ ถ้ามองในแง่ดี ก็ถือว่าเป็นการพักหน้าหลังจากที่ใช้เครื่องประทินผิวติดต่อกันมาช้านาน ปล่อยหน้าคืนสู่ธรรมชาติบ้าง (ฟังเหมือนปล่อยสัตว์คืนสู่ป่าไงก็ไม่รู้แฮะ -__- a)
จวบจนกระทั่งเวลาผ่านไปครบ 8 วันของการทำ เราไปที่โรงพยาบาล เซย์ฮัลโหลกับเครื่องตรวจสายตาเหมือนเดิม แล้วก็อ่านตัวหนังสือต่อไป ครั้งนี้อ่านได้ช้ากว่าเดิมอีก อ่านไปแล้วก็หยอดตาไปด้วย ลักษณะตัวอักษรที่ได้เห็นคือความพร่า เส้นแตกเสียจนจบไม่ได้ว่ามันออกมาเป็นรูปร่างอะไร กระทั่งได้พบหมอ แวบแรกที่หมอเห็นตาเรา หมอแทบกรี๊ด เพราะมันแห้งมากจนเป็นขุยไปหมด เมื่อเห็นตอข้อมูลการอ่านตัวหนังสือของเรายิ่งบอกให้รู้ว่ามันแห้งจัดเสียจนไม่ธรรมดา สรุปว่าหมอยังจ่ายยากระฃกระตุ้นต่อน้ำตาให้เราไปก่อน ยังไม่ถึงขนาดต้องอุดท่อน้ำตา (คิดว่าคงต้องรอดูต่อไปว่าสภาพจะเป็นยังไง ถ้าอีกเดือนหนึ่งข้างหน้ายังไม่ดีขึ้นคงต้องทำแบบนั้น)
เพราะงั้นสภาพโดยรวม ถามอว่าพอใจไหมกับการทำเลสิค แน่นอนว่ามันก็มีจุดที่พอใจและจุดที่รู้สึกงุ่นง่านอยู่บ้าง แต่มันก็คือการแลกเปลี่ยนน่ะนะ ในเมื่ออยากทำให้ตามองเห็นได้ใกล้เคียงปกติ ก็ต้องมาดูว่าสิ่งที่แลกกันมันคุ้มค่าหรือไม่
ปัจจัยที่เราใช้ในการพิจารณาในเรื่องการ trade-off ครั้งนี้
1. ความเซ็งของการใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์
ตามที่เราบอกไปแล้วว่าเราไม่ได้มีปัญหากับการใส่แว่นอยู่แล้วตั้งแต่แรก ดังนั้นข้อนี้ไม่ได้มีผลอะไรกับเรา แต่ใครก็ตามที่คิดว่าจะไม่ต้องใส่แว่นอีกเลย ขอบอกว่าไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ตราบเท่าที่สายตาของคุณไม่ได้กลายเป็น 0 (ซึ่งการคงไว้ให้ได้อย่างนั้นมันยากนะ และหมออาจจะปล่อยให้ตาข้างที่ไม่ถนัดยังคงมีค่าสายตาอยู่เพื่อการมองใกล้ไกลของดวงตาทั้งสองข้าง) ดังนั้นการทำงานที่ต้องใช้คอมบ่อยๆ คุณอาจจะยังต้องใช้แว่นช่วยสายตาบ้าง เพียงแต่อาจจะไม่ใช่เลนส์หนาเหมือนเดิม และใส่ๆ ถอดๆ ได้เท่านั้นเอง
นอกจากนี้คุณยังต้องใช้แว่นกันแดดในชีวิตประจำวัน คือ จะไม่ได้ใส่ตลอดเหมือนใส่แว่น แต่ดวงตาที่เคยสู้แดดสู้ลมของคุณมันไม่แข็งแกร่งอีกต่อไป มีแนวโน้มที่จะต้องพึ่งพาแว่นกันแดดไปตลอดแม้กระทั่งไปกินข้าวตอนกลางวัน (ที่จริงต่อให้ไม่ได้ทำเลสิคแต่การใส่แว่นกันแดดมันก็โอเคนะเวลาที่ต้องไปเจอแสงเยอะๆ อ่ะ)
เอาเป็นว่าแม้จะทำเลสิคแต่คุณตัดขาดจากแว่นไม่ได้เต็มร้อยหรอก ถ้าไม่แว่นสายตาก็แว่นกันแดดอยู่ดีนั่นแหละ
2. เงิน
ปัจจัยหลักแต่ว่าเรานำมาไว้ข้อ 2 เพราะคิดว่าใครก็ตามที่ตั้งใจจะทำเลสิค แสดงว่าเรื่องเงินเป็นปัจจัยที่มีเพียงพอแล้ว เหลือแต่ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้ไม่อยากใส่แว่นอีกแล้วมากกว่าแต่ถึงอย่างนั้น เรื่องเงินก็เป็นเรื่องรำคาญอีกที
จะว่าไปการทำเลสิคก็เหมือนซื้อรถละมั้ง คือไม่ใช่ว่าซื้อมาแล้ว เงินที่เสียไปตรงนั้นก็จบ แต่มันยังมีค่าบำรุงรักษา (แว่นกันแดด มาส์กหรือที่ประคบตา เป็นต้น) ค่าน้ำมัน (น้ำตาเทียม) จะไม่มีก็แต่ค่าที่จอดรถละมั้ง (หรือคุณจะเอาตาไปจอดที่ไหนก็ตามสะดวก)
ดังนั้นตัวเงินที่เสียไปตีแบบคร่าวๆ นะ
- ค่าทำเลสิคและค่ายาเบี้ยใบ้รายทาง (เช่น ค่าเดินทาง ค่าน้ำมัน) ที่เกิดขึ้น ประมาณ 4 หมื่น (เรทราคาโรงพยาบาลกลาง คลินิกนอกเวลา)
- ค่าน้ำตาเทียมที่ใช้เป็นแบบไม่มีสารกันบูด 1 หลอดเปิดแล้วต้องใช้ภายใน 24 ชม. เป็นแบบกระเปาะ 1 หลอดมีสัก 6 หยดได้มั้ง เราใช้ทุกครึ่งชม. เพราะแห้งมาก แต่ส่วนมากเขาแนะนำให้ใช้หยอดชั่วโมงละครั้ง)
Vislube 1 กล่องมี 20 หลอด – ราคาอยู่ที่ประมาณ 400 บาทต่อกล่อง (ตีเป็นตัวเลขกลมๆ ขึ้นอยู่กับร้านที่ไปซื้ออาจจะถูกกว่าหรือแพงกว่า เราเฉลี่ยที่เท่านี้ค่ะ)
ในอาทิตย์แรก เราใช้ไปเกือบ 2 กล่อง (แต่เราอาจจะเป็น benchmark ที่ไม่ดีนักเพราะแห้งมากอย่างที่บอก แต่เราถามเพื่อนร่วมชะตา เขาบอกก็ใช้ประมาณนั้นเหมือนกัน อาการตาแห้งเท่าที่เคยได้ยินแว่วๆ จากพยาบาล คือถ้าสายตาสัก 100 น่าจะแห้งมากไปสักเดือนหนึ่ง ของเรา 500 + เอียง 200 เป็น 700 ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าจะแห้งไปนานขนาดไหน) และการใช้น้ำตาเทียมจะลดน้อยลงไปเอง ถ้าเป็นปกติก่อนทำเลสิคเราจะใช้ประมาณ 1 กล่องครึ่งต่อเดือน
ตีเสียว่าประมาณนี้ (คร่าวๆ แบบมั่วๆ)
เดือนแรก เราคงต้องใช้ประมาณ 7 กล่อง --> 7 x 400 = 2,800 บาท
เดือนที่สองและสามอาจจะน้อยลงมาเหลือ 5 กล่อง --> 5 x 400 x 2 เดือน = 4,000 บาท
ทีนี้ยี่ห้อนี้ราคาค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับน้ำตาเทียมในตลาด แต่มันก็น้ำตาเทียมที่เหมาะกับคนทำเลสิคมาก ใช้ไปเถอะค่ะ มันโอเคจริงๆ นะ (เราใช้ตั้งแต่ก่อนทำเลสิคเหมือนกัน) สมมติว่าถ้าหลังจากเดือนที่สาม ตาเริ่มกลับมาปกติ ใช้ประมาณสัก 2 กล่องต่อเดือน (บางคนอาจมองว่าเว่อร์ไป มันขึ้นอยู่กับค่าสายตาที่ทำค่ะ ถ้าของคุณน้อยกว่าเรา ตีจำนวนเงินน้อยกว่านี้ก็ได้)
2 x 400 x 9 เดือน = 7,200 บาท
รวมต่อปี (แบบมั่วๆ) คือ 2,800 + 4,000 + 7,200 = 14,000 บาทในปีแรก
- แว่นกันแดด
อันนี้แล้วแต่แต่ละคนเลยค่ะว่างบประมาณไหน อยากได้แบบไหน แต่เท่าที่ถามจากพี่สาวผู้ซึ่งเคยทำเลสิคมาก่อนและใช้แว่นกันแดดค่อนข้างบ่อย เจ้าตัวบอกว่าชอบแว่นแบบที่มีการไล่ลำดับสีอ่ะค่ะ ไม่ใช่ดำล้วนทั้งเลนส์เพราะการไล่สีจะช่วยให้เราสามารถใช้แว่นกันแดดได้หลายโอกาส ถ้าออกแดดจ้า เราก็มองตรง (เพราะสีเข้มคอยู่บน) ถ้าเข้าในตัวอาคารก็จะมองต่ำลงมานิด ซึ่งเป็นสีที่จางกว่าทำให้การมองภาพของเราดีขึ้น และสีของวัตถุไม่เพี้ยน บลา บลา บลา
แต่เอาเป็นว่าถ้าแว่นกันแดดที่ดีหน่อยเพราะจะต้องใช้ทุกวี่วัน ตีราคาอย่างต่ำสักประมาณ 3,000 ขึ้นละกัน อายุการใช้งานสักประมาณ 3 ปี (ตีเยอะไปไหมหว่า) ตกปีละ 1 พัน
สรุปแล้ว 3 อย่าง คิดที่ราคาปีแรกที่ทำนะคะ
40,000 + 14,000 + 3,000 = 57,000 บาทที่เราน่าจะต้องเสียไป (แต่ปีถัดไปจะลดลงเหลือแค่น้ำตาเทียม)
แต่ถ้าคนที่ไปทำสถานประกอบการอื่นก็คงสูงขึ้นเป็นลำดับ ประเด็นหลักที่อยากให้ดูคือ ค่าใช้จ่ายแฝงที่คุณอาจไม่ได้นึกถึง อย่างน้ำตาเทียม ซึ่งมันก็สูงเอาการอยู่เหมือนกันนะ และเราจะต้องพบกับน้ำตาเทียมและแว่นกันแดดไปชั่วชีวิต ขอให้นึกถึงเงินที่จะต้องเสียไปที่จุดนี้ในแต่ละปีด้วย เพียงแต่ปีที่สอง น้ำตาเทียมคงไม่ถึงขนาดนี้แล้ว อาจจะเหลือแค่ 18 กล่องต่อปี (ตามที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ตกที่ 7,200 บาท)
3. การดูแลรักษา
เรื่องนี้ออกแนวส่วนบุคคลอยู่สักหน่อย เป็นเรื่องที่สายตาสู้แสงได้น้อย ต้านลมไม่ไหว รวมทั้งบางคนที่มีแสงแตกพร่าในเวลากลางคืน ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้ นี่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนที่ได้พบเจอ มันขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคนว่าเป็นแบบไหน เพียงแต่ว่าอย่างของเรา เราไม่ได้ขับรถและไม่ได้ใช้ชีวิตกลางคืน เราจึงไม่มีปัญหาในจุดนี้ ส่วนสายตาสู้แดด สู้ลมไม่ได้ มันก็น่ารำคาญอยู่บ้างแหละที่จะต้องมาประคบประหงม แต่สุดท้ายเมื่อปรับตัวได้มันก็จะกลายเป็นความเคยชิน เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เหมือนๆ กับการใส่แว่น ที่บางคนมองว่ามันน่าจะรำคาญ แต่พอถามคนใส่แว่นจริงๆ ก็ไม่ค่อยรู้สึกหรอกค่ะ ชินไปแล้ว ดังนั้นปัจจัยเรื่องนี้เรารับได้สบายๆ
ตอนนี้เพิ่งผ่านไปอาทิตย์เดียว ยังบอกอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ Memoir นี้คงจบลงที่ตอนที่ 2 ไปก่อนจนกว่าจะไปหาหมออีกเดือนข้างหน้า แล้วจะมาอัพเดทให้ฟังอีกทีว่าเริ่มทำงานเป็นไง ต้องอุดท่อน้ำตาไหมนะคะ ^^"