ผมสะดุดตั้งแต่ชื่อเรื่องที่มีความน่าสนใจมาก The Theory of Everything ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มันมีทฤษฎีนี้อยู่จริงๆ นึกว่าถูกคนเขียนบทปั้นแต่งขึ้นมา แต่ผมก็ไม่ได้หาข้อมูลเพิ่มเติมอะไรเกี่ยวกับทฤษฎีนี้ โดยผมคาดหวังว่าจะได้เห็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับทฤษฎีนี้ในหนังเรื่องนี้
ผมชอบการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้มาก ซึ่งผมรู้สึกผิดคาดที่เห็นหนังเน้นเล่าความสัมพันธ์ของ Stephen กับ Jane มากกว่าการเน้นเล่าชีวประวัติของนักฟิสิกส์ชื่อดัง มากกว่าการเล่าที่มาที่ไปของทฤษฎีต่างๆ และการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่มีรายละเอียดที่ลึกมากและชัดเจนในพัฒนาการของตัวละครทั้งคู่
นี่คือหนังเรื่องเดียวในปีนี้ที่นักแสดงนำชายและนักแสดงนำหญิง เข้าชิงรางวัล Best Actor และ Best Actress บนเวที Oscar ส่วนตัวผมก็ชอบการแสดงของ Eddie Redmayne ในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงกับชอบแบบคลั่งไคล้ แต่สำหรับการแสดงของ Felicity Jones ผมพูดเลยว่า ผมประทับใจกับการแสดงของเธอในเรื่องนี้มาก และผมก็รู้แล้วว่าปีนี้สาขา Best Actress ผมจะเชียร์ใคร แม้ตอนนี้ผมจะยังไม่ได้ชมการแสดงของ Julianne Moore ใน Still Alice ก็ตาม
Felicity Jones เล่นเป็น Jane Hawking ได้สมบูรณ์แบบมากๆ การแสดงออกทั้งจากสีหน้า แววตาและการกระทำ มันเต็มไปด้วยการสื่อสารในทุกๆฉากที่เห็นเธอ Jane เป็นตัวละครที่มีความลึกในอารมณ์อยู่สูงมาก และในทุกๆฉาก ผมรู้สึกว่า Felicity ทำได้พอดีมากๆ ในบางฉาก ถ้าเธอเล่นมากไปอีกนิดนึง ผมก็จะไม่เชื่อ หรือบางฉาก ถ้าเธอเล่นน้อยไปอีกนิดนึง ผมคิดว่ามันก็จะไม่ถึง แต่เธอทำได้พอดีลงตัวมากๆ (ผมชอบพอๆกับ Amy Adams จาก Big Eyes แต่ให้ Felicity เหนือกว่านิดๆ)
ฉากสำคัญของเรื่อง ตอนที่ Stephen บอก Jane ว่าจะเดินทางไปอเมริกากับ Elaine เป็นฉากที่ทรงพลังมากๆ ทั้งเรื่องเราแทบไม่มีโอกาสได้เห็นน้ำตาจากหญิงแกร่งคนนี้ แต่พอมาถึงฉากนี้ เราก็อดไม่ได้ที่จะไม่ร้องไห้ตามเธอ มันแกว่งไปทั้งหัวใจเลยฉากนี้
ผมตกใจกับฉากนี้มาก และไม่เข้าใจว่าทำไม Stephen ถึงตัดสินใจแบบนี้ ทำไมถึงเลือกที่จะไปกับ คนอื่นที่ไม่ใช่ Jane แน่นอนว่าผมไม่ใช่ Stephen ผมคงไม่มีวันเข้าใจเค้า แต่สำหรับผม Jane คือผู้หญิงที่ดีที่สุดคนหนึ่งในโลกที่ผมเคยเห็นมา แม้เราจะรู้ว่ามีบางช่วงเวลาที่เธอแอบไปมีใจให้คนอื่น แต่ท้ายที่สุดยังไงเธอก็เลือก Stephen ทั้งๆที่เธอมีสิทธิ์ที่จะเลือกทางอื่นได้อีกมากมาย ด้วยหน้าตาและการศึกษาระดับเธอ ไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะจาก Stephen ไป แต่เพราะอะไร ทำไมเธอถึงไม่เคยทิ้ง Stephen ไปเลย
ความสัมพันธ์ของคน 2 คน มันยากเกินที่คนนอกจะเข้าใจ ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ทั้ง 2 มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นร่วมกันและอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน ผ่านหลายๆสิ่งหลายๆอย่างมาด้วยกัน มันคือสิ่งที่ชีวิตคู่ต้องพบพาน แต่ถึงวันหนึ่งทุกอย่างกลับกลายเป็นอดีต ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไป มันคือการหมดรักซึ่งกันและกัน หรือมันเป็นการหมดรักของแค่ใครบางคน
The Theory of Everything ทฤษฎีสรรพสิ่ง ผมไม่รู้ว่าทฤษฎีนี้กำลังจะหาคำตอบเรื่องอะไร แต่สำหรับผม ผมคิดว่า Stephen คงไม่มีทางค้นพบคำตอบนั้นอีกแล้ว เพราะผมคิดว่าเค้าเคยพบเจอทฤษฎีนี้แล้ว แต่เค้ากลับมองไม่เห็นและสัมผัสมันไม่ได้เอง
ทฤษฎีสรรพสิ่ง ผมคิดว่ามันถูกอธิบายด้วยความรักจาก Jane ที่ Stephen ละทิ้งไปและมองไม่เห็นมัน
สุดท้าย Stephen กลับให้ความสำคัญกับคำว่า Endeavor ความพยายาม ที่ทำให้เค้าเอาชนะอุปสรรคที่เค้าพบเจอได้ แต่ผมกลับรู้สึกว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เป็นแรงผลักอยู่เบื้องหลังคำว่า Endeavor ก็คือคำว่า Love และสิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญในการหาคำตอบของ Theory of Everything สำหรับผมแล้ว มันคือ "ความรัก" เท่านั้น ซึ่ง Stephen ก็เคยได้พบเจอสิ่งนี้มาแล้ว
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
The Theory of Everything - คำตอบของจักรวาล มันอาจอยู่ใกล้ตัวเรามาก จนเราไม่รู้ตัว (Spoil)
ผมชอบการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้มาก ซึ่งผมรู้สึกผิดคาดที่เห็นหนังเน้นเล่าความสัมพันธ์ของ Stephen กับ Jane มากกว่าการเน้นเล่าชีวประวัติของนักฟิสิกส์ชื่อดัง มากกว่าการเล่าที่มาที่ไปของทฤษฎีต่างๆ และการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่มีรายละเอียดที่ลึกมากและชัดเจนในพัฒนาการของตัวละครทั้งคู่
นี่คือหนังเรื่องเดียวในปีนี้ที่นักแสดงนำชายและนักแสดงนำหญิง เข้าชิงรางวัล Best Actor และ Best Actress บนเวที Oscar ส่วนตัวผมก็ชอบการแสดงของ Eddie Redmayne ในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงกับชอบแบบคลั่งไคล้ แต่สำหรับการแสดงของ Felicity Jones ผมพูดเลยว่า ผมประทับใจกับการแสดงของเธอในเรื่องนี้มาก และผมก็รู้แล้วว่าปีนี้สาขา Best Actress ผมจะเชียร์ใคร แม้ตอนนี้ผมจะยังไม่ได้ชมการแสดงของ Julianne Moore ใน Still Alice ก็ตาม
Felicity Jones เล่นเป็น Jane Hawking ได้สมบูรณ์แบบมากๆ การแสดงออกทั้งจากสีหน้า แววตาและการกระทำ มันเต็มไปด้วยการสื่อสารในทุกๆฉากที่เห็นเธอ Jane เป็นตัวละครที่มีความลึกในอารมณ์อยู่สูงมาก และในทุกๆฉาก ผมรู้สึกว่า Felicity ทำได้พอดีมากๆ ในบางฉาก ถ้าเธอเล่นมากไปอีกนิดนึง ผมก็จะไม่เชื่อ หรือบางฉาก ถ้าเธอเล่นน้อยไปอีกนิดนึง ผมคิดว่ามันก็จะไม่ถึง แต่เธอทำได้พอดีลงตัวมากๆ (ผมชอบพอๆกับ Amy Adams จาก Big Eyes แต่ให้ Felicity เหนือกว่านิดๆ)
ฉากสำคัญของเรื่อง ตอนที่ Stephen บอก Jane ว่าจะเดินทางไปอเมริกากับ Elaine เป็นฉากที่ทรงพลังมากๆ ทั้งเรื่องเราแทบไม่มีโอกาสได้เห็นน้ำตาจากหญิงแกร่งคนนี้ แต่พอมาถึงฉากนี้ เราก็อดไม่ได้ที่จะไม่ร้องไห้ตามเธอ มันแกว่งไปทั้งหัวใจเลยฉากนี้
ผมตกใจกับฉากนี้มาก และไม่เข้าใจว่าทำไม Stephen ถึงตัดสินใจแบบนี้ ทำไมถึงเลือกที่จะไปกับ คนอื่นที่ไม่ใช่ Jane แน่นอนว่าผมไม่ใช่ Stephen ผมคงไม่มีวันเข้าใจเค้า แต่สำหรับผม Jane คือผู้หญิงที่ดีที่สุดคนหนึ่งในโลกที่ผมเคยเห็นมา แม้เราจะรู้ว่ามีบางช่วงเวลาที่เธอแอบไปมีใจให้คนอื่น แต่ท้ายที่สุดยังไงเธอก็เลือก Stephen ทั้งๆที่เธอมีสิทธิ์ที่จะเลือกทางอื่นได้อีกมากมาย ด้วยหน้าตาและการศึกษาระดับเธอ ไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะจาก Stephen ไป แต่เพราะอะไร ทำไมเธอถึงไม่เคยทิ้ง Stephen ไปเลย
ความสัมพันธ์ของคน 2 คน มันยากเกินที่คนนอกจะเข้าใจ ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ทั้ง 2 มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นร่วมกันและอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน ผ่านหลายๆสิ่งหลายๆอย่างมาด้วยกัน มันคือสิ่งที่ชีวิตคู่ต้องพบพาน แต่ถึงวันหนึ่งทุกอย่างกลับกลายเป็นอดีต ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไป มันคือการหมดรักซึ่งกันและกัน หรือมันเป็นการหมดรักของแค่ใครบางคน
The Theory of Everything ทฤษฎีสรรพสิ่ง ผมไม่รู้ว่าทฤษฎีนี้กำลังจะหาคำตอบเรื่องอะไร แต่สำหรับผม ผมคิดว่า Stephen คงไม่มีทางค้นพบคำตอบนั้นอีกแล้ว เพราะผมคิดว่าเค้าเคยพบเจอทฤษฎีนี้แล้ว แต่เค้ากลับมองไม่เห็นและสัมผัสมันไม่ได้เอง
ทฤษฎีสรรพสิ่ง ผมคิดว่ามันถูกอธิบายด้วยความรักจาก Jane ที่ Stephen ละทิ้งไปและมองไม่เห็นมัน
สุดท้าย Stephen กลับให้ความสำคัญกับคำว่า Endeavor ความพยายาม ที่ทำให้เค้าเอาชนะอุปสรรคที่เค้าพบเจอได้ แต่ผมกลับรู้สึกว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เป็นแรงผลักอยู่เบื้องหลังคำว่า Endeavor ก็คือคำว่า Love และสิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญในการหาคำตอบของ Theory of Everything สำหรับผมแล้ว มันคือ "ความรัก" เท่านั้น ซึ่ง Stephen ก็เคยได้พบเจอสิ่งนี้มาแล้ว
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/