“ทฤษฎีสรรพสิ่ง” เป็นชื่อทฤษฎีที่ใช้เรียกทฤษฎีที่สามารถรวมทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่สองทฤษฎีที่แตกต่างกันอย่างมากเข้าไว้ด้วยกัน ทฤษฎีแรกคือ ทฤฎีสัมพัทธภาพทั่วไปที่ใช้อธิบายการทำงานของสรรพสิ่งที่มีขนาดใหญ่ ในขณะที่อีกทฤษฎีหนึ่งใช้อธิบายการทำงานของสรรพสิ่งที่มีขนาดเล็กจิ๋ว เหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์ต้องค้นหาทฤษฎีนี้ก็เพราะ จะนำไปใช้แก้ปัญหาว่าเกิดอะไรขึ้นในหลุมดำและมันอาจเผยคำตอบว่าทำไมจึงเกิดบิ๊กแบงค์ขึ้นมา
เรื่องราวในหนัง The Theory of Everything ก็คล้ายๆเรื่องราวของการค้นหาทฤษฎีสรรพสิ่งตามย่อหน้าข้างต้น มันคือเรื่องราวของคนสองคน ที่แตกต่างกันอย่างมาก สตีเฟนฮอกกิ้ง ชายคนหนึ่งที่ไม่เชื่อในพระเจ้า เหตุและผลเท่านั้นที่เขาบูชา และ เจน หญิงคนหนึ่งที่นับถือพระเจ้า ผู้มีอารมณ์อ่อนไหวและเชื่อว่าความรักอยู่เหนือสิ่งอื่นใด แล้วชะตาก็เล่นตลกโดยให้คนทั้งคู่เจอกันและรักกัน แต่คนทั้งคู่จะก้าวผ่านความแตกต่างนี้ไปได้หรือไม่ และ อย่างไร คือสิ่งที่ผู้ชมต้องไปหาคำตอบเองในโรงหนัง
หนังดูเรื่อยๆ มาเรียงๆ ในช่วงแรก มาดราม่าในช่วงกลางเรื่องและช่วงท้าย นักแสดงที่โดดเด่นไม่ใช่ตัวเอกอย่างสตีเฟน ฮอร์กกิ้ง (Eddie Redmayne) แต่เป็น เจน (Felicity Jones) โจนส์ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของเจน ที่ต้องดูแลคนรักและลูกๆตัวคนเดียวออกมาได้อย่างน่าทึ่งและประทับใจ
ในตอนท้ายของหนังดูเหมือนจะดูรวบรัดตัดความเกินไป เหมือนว่า “อ่ะ จะสองชั่วโมงแล้ว รีบจบเถอะ” มันทำให้อารมณ์ของผู้ชมดูขาดห้วงและไปไม่ถึงจุดพีคที่หนังควรจะเป็น
สรุป : หนังรักชีวิตคู่ของครอบครัวฮอกกิ้ง สุข เศร้า เคล้าน้ำตา ที่ตอนจบ ดูจะห้วนเกินไป
จบด้วยคำคมของหนัง
“ความพยายามของมนุษย์ไม่น่าจะมีขอบเขต เราทุกคนล้วนแตกต่าง แม้ชีวิตจะแย่แค่ไหน แต่ท้ายที่สุด จะมีบางสิ่งที่เราสามารถทำและสำเร็จได้ ที่ใดมีชีวิต ที่นั้นย่อมมีความหวัง”
ที่มา :
https://www.facebook.com/eyeonsilversheet
[CR] [ไม่สปอย] The Theory of Everything : ความรักของสองคนที่แตกต่าง
“ทฤษฎีสรรพสิ่ง” เป็นชื่อทฤษฎีที่ใช้เรียกทฤษฎีที่สามารถรวมทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่สองทฤษฎีที่แตกต่างกันอย่างมากเข้าไว้ด้วยกัน ทฤษฎีแรกคือ ทฤฎีสัมพัทธภาพทั่วไปที่ใช้อธิบายการทำงานของสรรพสิ่งที่มีขนาดใหญ่ ในขณะที่อีกทฤษฎีหนึ่งใช้อธิบายการทำงานของสรรพสิ่งที่มีขนาดเล็กจิ๋ว เหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์ต้องค้นหาทฤษฎีนี้ก็เพราะ จะนำไปใช้แก้ปัญหาว่าเกิดอะไรขึ้นในหลุมดำและมันอาจเผยคำตอบว่าทำไมจึงเกิดบิ๊กแบงค์ขึ้นมา
เรื่องราวในหนัง The Theory of Everything ก็คล้ายๆเรื่องราวของการค้นหาทฤษฎีสรรพสิ่งตามย่อหน้าข้างต้น มันคือเรื่องราวของคนสองคน ที่แตกต่างกันอย่างมาก สตีเฟนฮอกกิ้ง ชายคนหนึ่งที่ไม่เชื่อในพระเจ้า เหตุและผลเท่านั้นที่เขาบูชา และ เจน หญิงคนหนึ่งที่นับถือพระเจ้า ผู้มีอารมณ์อ่อนไหวและเชื่อว่าความรักอยู่เหนือสิ่งอื่นใด แล้วชะตาก็เล่นตลกโดยให้คนทั้งคู่เจอกันและรักกัน แต่คนทั้งคู่จะก้าวผ่านความแตกต่างนี้ไปได้หรือไม่ และ อย่างไร คือสิ่งที่ผู้ชมต้องไปหาคำตอบเองในโรงหนัง
หนังดูเรื่อยๆ มาเรียงๆ ในช่วงแรก มาดราม่าในช่วงกลางเรื่องและช่วงท้าย นักแสดงที่โดดเด่นไม่ใช่ตัวเอกอย่างสตีเฟน ฮอร์กกิ้ง (Eddie Redmayne) แต่เป็น เจน (Felicity Jones) โจนส์ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของเจน ที่ต้องดูแลคนรักและลูกๆตัวคนเดียวออกมาได้อย่างน่าทึ่งและประทับใจ
ในตอนท้ายของหนังดูเหมือนจะดูรวบรัดตัดความเกินไป เหมือนว่า “อ่ะ จะสองชั่วโมงแล้ว รีบจบเถอะ” มันทำให้อารมณ์ของผู้ชมดูขาดห้วงและไปไม่ถึงจุดพีคที่หนังควรจะเป็น
สรุป : หนังรักชีวิตคู่ของครอบครัวฮอกกิ้ง สุข เศร้า เคล้าน้ำตา ที่ตอนจบ ดูจะห้วนเกินไป
จบด้วยคำคมของหนัง
“ความพยายามของมนุษย์ไม่น่าจะมีขอบเขต เราทุกคนล้วนแตกต่าง แม้ชีวิตจะแย่แค่ไหน แต่ท้ายที่สุด จะมีบางสิ่งที่เราสามารถทำและสำเร็จได้ ที่ใดมีชีวิต ที่นั้นย่อมมีความหวัง”
ที่มา : https://www.facebook.com/eyeonsilversheet