กระสุนปืนใหญ่นำวิถีขนาด 155mm (M982 Excalibur) นำวิถีด้วย GPS
กระสุนขนาด 155 มม. M982 Excalibur ภาพ: Defense Industry Daily
ในยุคปี ค.ศ. 2000 การปฏิบัติการทางทหารได้เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นการปฏิบัติการสงครามเป็นไปในรูปแบบของ Hybrid War ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการใช้กองกำลังที่มีขนาดเล็ก การสู้รบเกิดขึ้นในระยะใกล้หรือการรบประชิด (close combat) พื้นที่ปฏิบัติการคาบเกี่ยวกับพื้นที่เขตชุมชนที่มีขนาด 0.5 – 1 ตารางกิโลเมตร การเคลื่อนกำลังจึงจำเป็นต้องมีความคล่องตัวสูง ปฏิบัติภารกิจได้หลากหลายและมีความยืดหยุ่น ที่ไม่เหมาะสมต่อการใช้อาวุธหนักหรืออาวุธที่ขาดความแม่นยำ ดังที่ปรากฏให้เห็นในการปฏิบัติการในประเทศอิรักและอัฟกานิสถานที่กลุ่มติดอาวุธนิยมใช้พื้นที่ชุมชนเป็นฐานที่มั่นในการซุ่มโจมตี เพราะการใช้อาวุธหนักหรืออาวุธที่ขาดความแม่นยำ มีความเสี่ยงสูงที่จะก่อให้เกิดความเสียหายข้างเคียง (Collateral Damage) ต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหรือต่อหน่วยดำเนินกลยุทธ์ในบริเวณใกล้เคียง (Blue-on-Blue) ดังที่ปรากฏเป็นข่าว อีกทั้งด้วยงบประมาณที่จำกัด การใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ต้องใช้เกิดประโยชน์ทางยุทธวิธีอย่างสูงสุด ใช้ในปริมาณที่น้อยที่สุดเพื่อทำลายเป้าหมายที่ได้ถูกกำหนดไว้ให้ได้เร็วที่สุด ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ทำให้เกิดความพยายามขึ้นอีกครั้ง ในการเสริมสร้างความแม่นยำให้กับกระสุนปืนใหญ่และลูกระเบิดสำหรับปืน ค. ผนวกกับเทคโนโลยีด้าน Micro Electro-Mechanical Systems (MEMS) และ GPS ที่ทำให้ชิ้นส่วอิเล็กทรอนิกส์มีขนาดเล็กลงได้มากถึง 90 % มีประสิทธิภาพมากขึ้นและความทนทานต่อค่า G ได้สูงถึง 14,000 G จึงทำให้การพัฒนาระบบนำวิถีให้กับกระสุนปืนใหญ่และลูกระเบิดยิง มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ระบบ Safety & Arming ด้วยเทคโนโลยี MEMS ภาพ: US Army
หลักการในการเพิ่มความแม่นยำให้กับกระสุนปืนใหญ่หรือลูกระเบิดยิงสำหรับปืน ค. ที่ได้มีการผลิตและนำเข้าประจำการอย่างเป็นรูปธรรมมีอยู่สองแนวทางได้แก่ การออกแบบและพัฒนากระสุนปืนใหญ่ขึ้นมาใหม่และการดัดแปลงกระสุนที่มีอยู่ในประจำการ
ซึ่งหลักการแรกเป็นการออกแบบและพัฒนากระสุนปืนใหญ่ขึ้นมาใหม่เพื่อตอบสนอง ต่อความต้องการทางยุทธวิธี ได้ถูกนำมาใช้ในการวิจัยและพัฒนากระสุนนำวิถีขนาด 155 มม. แบบ M982 Excalibur เป็นโครงการร่วมมือระหว่างบริษัท Raytheon Missile Systems and BAE Systems Bofors มีระยะยิงระหว่าง 40 – 57 กิโลเมตร ซึ่งมีความแม่นยำสูง กระสุนที่ยิงออกไป 92 % จะตกห่างจากเป้าหมายไม่เกิน 4 เมตร อย่างไรก็ตาม ถูกใช้ในปฏิบัติการทางทหารครั้งแรกในปี ค.ศ. 2007 เนื่องจาก M982 Excalibur เป็นกระสุนที่มีเทคโนโลยีและองค์ประกอบที่ซับซ้อน ใช้เวลาในการพัฒนานาน ใช้งบประมาณที่สูง ส่งผลให้ราคาต่อลูกอยู่ในเกณท์ที่สูง โดยครั้งแรกที่มีการผลิตมีราคาต่อลูกอยู่ที่หนึ่งแสนดอลล่าร์ ในปี ค.ศ. 2005 ก่อนที่ราคาจะลดลงมาอยู่ที่แปดหมื่นดอลล่าร์ในปี ค.ศ. 2008 และอยู่ในระหว่างความพยายามในการลดต้นทุน ด้วยการลดความซับซ้อนของเทคโนโลยีและชิ้นส่วนเพื่อเพิ่มความเสถียลในการใช้งาน ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีราคาต่ำกว่าห้าหมื่นดอลล่าร์ แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ สำหรับประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯหรือประเทศที่มีงบประมาณทางทหารสูง หากเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการขอรับการสนับสนุนการโจมตี เป้าหมายด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิด สามารถยิงได้จาก
o M109A6 Paladin self-propelled 155 mm howitzer
o M198 howitzer
o M777 Lightweight Howitzer
o ARCHER Artillery System
กระสุนปืนใหญ่นำวิถีขนาด 155mm (M982 Excalibur) นำวิถีด้วย GPS
กระสุนขนาด 155 มม. M982 Excalibur ภาพ: Defense Industry Daily
ในยุคปี ค.ศ. 2000 การปฏิบัติการทางทหารได้เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นการปฏิบัติการสงครามเป็นไปในรูปแบบของ Hybrid War ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการใช้กองกำลังที่มีขนาดเล็ก การสู้รบเกิดขึ้นในระยะใกล้หรือการรบประชิด (close combat) พื้นที่ปฏิบัติการคาบเกี่ยวกับพื้นที่เขตชุมชนที่มีขนาด 0.5 – 1 ตารางกิโลเมตร การเคลื่อนกำลังจึงจำเป็นต้องมีความคล่องตัวสูง ปฏิบัติภารกิจได้หลากหลายและมีความยืดหยุ่น ที่ไม่เหมาะสมต่อการใช้อาวุธหนักหรืออาวุธที่ขาดความแม่นยำ ดังที่ปรากฏให้เห็นในการปฏิบัติการในประเทศอิรักและอัฟกานิสถานที่กลุ่มติดอาวุธนิยมใช้พื้นที่ชุมชนเป็นฐานที่มั่นในการซุ่มโจมตี เพราะการใช้อาวุธหนักหรืออาวุธที่ขาดความแม่นยำ มีความเสี่ยงสูงที่จะก่อให้เกิดความเสียหายข้างเคียง (Collateral Damage) ต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหรือต่อหน่วยดำเนินกลยุทธ์ในบริเวณใกล้เคียง (Blue-on-Blue) ดังที่ปรากฏเป็นข่าว อีกทั้งด้วยงบประมาณที่จำกัด การใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ต้องใช้เกิดประโยชน์ทางยุทธวิธีอย่างสูงสุด ใช้ในปริมาณที่น้อยที่สุดเพื่อทำลายเป้าหมายที่ได้ถูกกำหนดไว้ให้ได้เร็วที่สุด ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ทำให้เกิดความพยายามขึ้นอีกครั้ง ในการเสริมสร้างความแม่นยำให้กับกระสุนปืนใหญ่และลูกระเบิดสำหรับปืน ค. ผนวกกับเทคโนโลยีด้าน Micro Electro-Mechanical Systems (MEMS) และ GPS ที่ทำให้ชิ้นส่วอิเล็กทรอนิกส์มีขนาดเล็กลงได้มากถึง 90 % มีประสิทธิภาพมากขึ้นและความทนทานต่อค่า G ได้สูงถึง 14,000 G จึงทำให้การพัฒนาระบบนำวิถีให้กับกระสุนปืนใหญ่และลูกระเบิดยิง มีประสิทธิภาพมากขึ้น
หลักการในการเพิ่มความแม่นยำให้กับกระสุนปืนใหญ่หรือลูกระเบิดยิงสำหรับปืน ค. ที่ได้มีการผลิตและนำเข้าประจำการอย่างเป็นรูปธรรมมีอยู่สองแนวทางได้แก่ การออกแบบและพัฒนากระสุนปืนใหญ่ขึ้นมาใหม่และการดัดแปลงกระสุนที่มีอยู่ในประจำการ
ซึ่งหลักการแรกเป็นการออกแบบและพัฒนากระสุนปืนใหญ่ขึ้นมาใหม่เพื่อตอบสนอง ต่อความต้องการทางยุทธวิธี ได้ถูกนำมาใช้ในการวิจัยและพัฒนากระสุนนำวิถีขนาด 155 มม. แบบ M982 Excalibur เป็นโครงการร่วมมือระหว่างบริษัท Raytheon Missile Systems and BAE Systems Bofors มีระยะยิงระหว่าง 40 – 57 กิโลเมตร ซึ่งมีความแม่นยำสูง กระสุนที่ยิงออกไป 92 % จะตกห่างจากเป้าหมายไม่เกิน 4 เมตร อย่างไรก็ตาม ถูกใช้ในปฏิบัติการทางทหารครั้งแรกในปี ค.ศ. 2007 เนื่องจาก M982 Excalibur เป็นกระสุนที่มีเทคโนโลยีและองค์ประกอบที่ซับซ้อน ใช้เวลาในการพัฒนานาน ใช้งบประมาณที่สูง ส่งผลให้ราคาต่อลูกอยู่ในเกณท์ที่สูง โดยครั้งแรกที่มีการผลิตมีราคาต่อลูกอยู่ที่หนึ่งแสนดอลล่าร์ ในปี ค.ศ. 2005 ก่อนที่ราคาจะลดลงมาอยู่ที่แปดหมื่นดอลล่าร์ในปี ค.ศ. 2008 และอยู่ในระหว่างความพยายามในการลดต้นทุน ด้วยการลดความซับซ้อนของเทคโนโลยีและชิ้นส่วนเพื่อเพิ่มความเสถียลในการใช้งาน ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีราคาต่ำกว่าห้าหมื่นดอลล่าร์ แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ สำหรับประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯหรือประเทศที่มีงบประมาณทางทหารสูง หากเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการขอรับการสนับสนุนการโจมตี เป้าหมายด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิด สามารถยิงได้จาก
o M109A6 Paladin self-propelled 155 mm howitzer
o M198 howitzer
o M777 Lightweight Howitzer
o ARCHER Artillery System