สมัยดูละครเรื่องนี้ย้อนไปราว ๆ มัธยม (แก่ซะไม่มี) ก็ดูบ้างไม่ดูบ้างตามแต่เวลาอำนวยแต่ก็รู้ว่าละครเรื่องนี้ดัง มาทันดูอีกทีตอนรีรันสมัยอยู่มหาวิทยาลัย จำไม่ได้เหมือนกันว่าเรื่องนี้รีรันกี่รอบ ต่อมาก็ได้ตามดูในทางออนไลน์อีกตอนที่ทำงานแล้ว ก็ได้คิดว่าเป็นละครที่ให้อารมณ์ละเมียดและลึกซึ้ง (ไว้ลายนามปากกา ศัลยา ในการเขียนบทโทรทัศน์) ลูกไม้ไกลต้นเป็นผลงานนิยายของคุณโสภี พรรณราย ซึ่งนิยายของคุณโสภีได้รับการคัดเลือกเข้ามาเป็นละครบ่อยมาก โครงเรื่องดูน่าสนใจเอามาทำเป็นละคร แต่สารภาพว่าอ่านของเธอไม่ค่อยจะจบ แต่เอามาทำละครแล้วดีก็ต้องชมในส่วนของโครงเรื่องด้วย
ทีนี้มาว่าด้วยละครเรื่อง "ลูกไม้ไกลต้น" ครั้งแรกที่สัมผัส บรรยากาศในเรื่องจะหม่น ๆ โทนสีออกน้ำตาลเทาดำ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หน้าผม หรือ อารมณ์คน "ลูกไม้ไกลต้น" เปิดมาด้วยเรื่องราวของ "ลูกไม้" ที่ตกไปไกลต้นอย่างรสา เมื่อเธอเข้าอ้างตัวกับคุณเฉลิม บดินทรวัชระ ว่าเป็นลูก ลูกที่เกิดจาแม่สุภา แม่สุภาได้จากไปและเธอต้องการคำขอโทษจากปากคุณเฉลิม น่าเสียดายที่หลักฐานนั้นอันตรธานหายไปด้วยน้ำมือของมนัส ... พี่ชายต่างพ่อของรสา ลูกไม้ที่ไกลพ่ออย่างรสาจึงตกเป็นเป้าแห่งความสงสัยของ ลูกไม้ไกลแม่อย่างชานนท์
ชานนท์เป็นลูกชายคนโตของครอบครัวนักค้าอัญมณีที่ทำท่าจะเกี่ยวดองกับตระกูลบดินทรวัชระ เมื่อชานนท์ถูกวางตัวเป็นว่าที่เขยขวัญคู่กับศศิกานต์ลูกสาวคนเล็กของบ้านนั้น ชานนท์มองรสาด้วยแววตาสงสัย เรื่องที่จะให้ขอโทษแม่อะไรนั่น ไม่ได้อยู่ในความสนใจของชานนท์ซักนิด ในฐานะลูกคนโตชานนท์เป็นหลักพึ่งพิงให้บ้านเสมอมา ให้กับพ่อให้กับน้องในยามที่แม่จากไปพร้อมกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง ชานนท์ในวันที่รู้ความได้แก่กอดน้อง ปลอบพ่อ ความเศร้าโศกทั้งหลายบ่มเพาะความเกลียดชังให้ขึ้นมาแทนที่ ผลักชานนท์ให้อยู่อย่างเข้มแข็ง อยู่อย่างระแวดระวัง ปิดปังซ่อนเร้นความอ่อนไหวให้มิดเม้น ชานนท์จึงเหมือนไม้ใหญ่ที่ต้องยืนหยัดเป็นร่มเงาให้ใครต่อใคร แต่จะมีผู้ใดรู้บ้างไหมว่าไม้ใหญ่ก็ต้องการคนดูแลเช่นกัน
ชานนท์ระแวงในตัวของรสา ความสัมพันธ์ของแม่ที่ว่า สั่นคลอนอะไรชานนท์ไม่ได้ และ ไม่น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง รูปการณ์ที่น่าสงสัยบวกกับอคติใจใจเรื่องแม่ของตัวเองแล้ว ความเชื่อมั่นเรื่องสิบแปดมงกุฎยิ่งพุ่งปรี๊ด กริยาท่าทางของชานนท์ต่อรสาจึงทั้งคุกคาม หยามหมิ่น และเมื่อรู้ว่าอภิรักษ์น้องชายคนเดียวของตัวเองเกิดต้องใจรสาเพียงแรกพบก็ยิ่งเคียงขึ้งมากขึ้น รสาเองก็เช่นกันไม่ถูกชะตากับผู้ชายหยาบกระด้างคนนี้เลย ยิ่งเมื่อเห็นชานนท์ปฏิบัติกับป้ากัลยา แม่ของชานนท์เองอย่างไม่ใยดี คนที่รักแม่และกตัญญูกับแม่ยิ่งอัพเลเวลความไม่ชอบขึ้นเป็นความเกลียดชัง ถึงขั้นกล้าปะทะกันอย่างไม่ไว้หน้า
แล้วใครจะมาคาดคิดเล่าว่า ... จากความชังในชั้นแรก
ลูกไม้ที่ไกลต้นอย่างเขาและเธอจะเปลี่ยนแปลงความชัง
ให้กลายเป็นอย่างอื่น ... ในเพียงไม่กี่อึดใจ
ในเสี้ยววินาทีที่ต้นไม้ใหญ่อย่างชานนท์เบรคแตก ... สายตาขมขื่นที่ชานนท์มองป้ากัลยา ทำให้รสารู้ว่า เธอมองผู้ชายคนนี้ผิดไปเสียแล้ว สิ่งที่ผ่านมาเป็นแค่เปลือกเท่านั้น ราวกับวินาทีที่อยู่ในรถด้วยกันนั้น เธอมองเห็นเด็กน้อยชานนท์ที่คอยปลอบพ่อ และ น้อง หากเขาไม่โตขึ้นมาเป็นหลักครอบครัวคงจะพังพิณท์ ความตระหนักรู้เกิดขึ้นทันทีเด็กน้อยคนนั้นก็ยังอยู่ในตัวของชายหนุ่มคนนี้ แต่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้แพ้พ่าย ให้ร้องไห้ ให้โหยหา ทั้งคุณพาณิชผู้เป็นพ่อและอภิรักษ์ผู้เป็นน้องได้ทอดธุระทิ้งไว้ให้เขาหมดทุกสิ่ง
ใครกันจะรับรู้ความเจ็บนี้ได้ นี่เป็นสิ่งที่ชานนท์เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแต่หักใจไว้ไม่กล้าบอกใคร กลัวว่าสุขภาพของพ่อที่เปราะบางอยู่แล้วจะยิ่งทรุดลงไปอีก กลัวว่าโลกสวยสีชมพูของน้องจะต้องแปดเปื้อนไป ในทุก ๆ วันเมื่อน้องต้องการพบแม่ แต่พี่ห้าม แล้วน้องทำตะบึงตะบอนใส่ เมื่อพ่อถึงกับกล่าวด้วยความผิดหวังว่าไม่เคยสอนให้ชานนท์เจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้ ชานนท์ได้แต่นิ่งเงียบไม่ปริปากเป็นที่รองรับอารมณ์ของพ่อและน้องที่ใคร ๆ ก็เห็นเป็นภาพเจนตา เหมือนเขาเป็นต้นไม้ใหญ่กิ่งไม่เคยลู่ลม ราวกับมันจะไม่มีวันแตกหักกระนั้น
หากนั่นยังรันทดไม่พอ สิ่งที่รสามองทะลุลงไปอีกชั้น คือ เด็กน้อยในตัวชานนท์ไม่ได้ถูกครอบคลุมด้วยความเกลียดชังหรอก แต่ที่ต้องทำแบบนั้นเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เมื่อเขาโตพอรู้คิดพอที่จะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ที่ทำให้รู้ว่าต้องการแค่ไหน หรือ พยายามซักเพียงไร แม่ก็ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว บ้านเล็กแสนลำบาก ผัวขี้เมา ตบตี แม่รู้ว่าบ้านของเขายังเปิดรอแต่นานเป็นสิบปีแม่ก็ไม่หันหลังกลับไป ดังนั้นนอกจากจะต้องเก็บความลับไว้กับตัว ถูกคนในครอบครัวมองด้วยสายตาผิดหวัง ยังต้องรับมือกับความโหยหาแม่ที่ไม่อาจเติมเต็ม
เมื่อเจอกับรสาก็เหมือนหัวใจที่ร้าวรานเจียนแตกถูกปลดสลัก
แต่นอกจากความเจ็บปวดได้ระบายออกแล้วสายใยหวานขมก็ได้เริ่มต้นขึ้น
เฉกเช่นเดียวกัน
เพียงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่อึดใจแต่เหมือนทั้งสองได้ทำความรู้จักกันมายาวนาน รสากลายเป็นเพื่อนคู่คิดอย่างที่ศศิกานต์ก็เป็นไม่ได้ ชานนท์ถูกพึ่งพามาตลอด นอกจากพ่อและน้อง ศศิเองก็เป็นอีกคนที่พึ่งชานนท์ให้เป็นโล่ห์กำบังวรรณฤดีพี่สาวอารมณ์ร้าย บ่าของรสานานวันยิ่งกลายเป็นบ่าแบกรับทุกข์สุขของชานนท์ ทุกครั้งที่ได้เจอะเจอไม่มีเลยที่จะแบกความทุกมาถมให้ แต่ความทุกข์ความไม่สบายใจของชานนท์นั่นต่างหากที่เลื่อนมาแบ่งเบาตรงบ่าของรสา ด้วยความมั่นคงในอารมณ์ วุฒิภาวะ และ ประสบการณ์ ไม่เพียงแต่รสาจะเป็นเพื่อนคู่คิด แต่ชานนท์ยังแน่ใจว่าชีวิตนี้เขาคงต้องการรสานี่แหละที่จะเป็นมิตรคู่บ้าน
แต่ทว่าจะทำอย่างไรเล่าเมื่ออภิรักษ์ก็รักรสามากเหลือเกิน และ ศศิกานต์ก็ยังคงพึ่งพาและพึ่งพิงชานนท์อยู่ ต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ และ ควรจะยึดถือหลักการนี้หากยังถืออยู่ว่าเราเป็นสัตว์ประเสริฐอะไรที่ผิดก็ไม่ควรเกิด แม้แต่พ่อที่รู้ ... รู้ว่ารสาชอบใครและใครที่ชอบรสาก็ยังไม่วายเอ่ยปากว่า นนท์ไปบอกรสาที พ่อสงสารน้อง รสาจากไปอย่างเงียบ ๆ และ ชานนท์ก็ไม่เคยปริปาก หรือ ทุรนทุรายด่าวดิ้นในการตามหารสา ไม่มีแม้กระทั่งน้ำตาให้ใครต้องคิดมากหรือสงสัย เขายอมรับการตัดสินใจของเธออย่างเงียบ ๆ ดำเนินชีวิตตามปกติทั้งที่มันไม่ปกติ ชานนท์ก็ยังคงเป็นชานนท์ต่อให้จะขาดใจตายก็ไม่มีวันเอ่ยปากกับใคร
แต่คำพูดที่ว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว" ก็ยังใช้ได้เสมอ สภาพจิตใจมันก็ฟ้องออกมาทางร่างกายจนได้ แม้จะทำงานปกติ ดำเนินชีวิตปกติ หลอกใครได้ว่าปกติ ร่างกายมันฟ้องเองแบบต้านไม่อยู่ว่าชานนท์พังขนาดไหน ป่วยที่ใจจนมันฟ้องออกมาทางร่างกาย จนศศิเห็นสภาพยังทนไม่ได้ จะต้องรอให้ตายกันก่อนหรืออย่างไร บอกมาเดี๋ยวนี้ว่ารสาอยู่ที่ไหน ? ถ้าจะเจ็บเราก็มาเจ็บกันแค่ไม่กี่คนดีไหม ดีกว่าให้เจ็บกันไปทั้งหมด ถ้าศศิได้แต่ตัวพี่นนท์มาแล้วจะได้อะไร รักษ์ได้แค่ตัวรสามาแล้วมันจะยังไง เจ็บสี่ให้เหลือสักสองจะดีกว่าไหม ?
ฉากสุดท้ายที่ริมทะเลอาจจะไม่ถูกใจใครต่อใคร แต่สุดท้ายแล้วก็มองว่า ชานนท์เองไม่ใช่ผู้ชายหวือหวา เก็บมาตลอด สายตาที่เห็น ณ ชายหาดวันนั้น ก็เหมือนคนล่มสลายทางใจพลิกฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ ราวกับอยู่ในความฝัน ที่เราฝันไปหรือเปล่า เราเห็นเธอคนนั้นอยู่ตรงนี้ แทบไม่เชื่อว่ามันคือความจริง ที่เดินตุปัดตุเป๋จากอาการรื้อไข้ลงจากรถแล้วเห็นเธอคนนั้น ทำให้ต้องยืนนึ่งขึงตะลึงตะไลรับสารซะก่อนว่า "นี่คือความจริง"
หากจะให้เทียบแล้วชีวิตของชานนท์กับรสาก็เหมือนเพลงบรรเลงทั้งสองต่างเป็นลูกไม้ไกลต้นที่ผ่านชีวิตในแนวทางเดียวกันก็คงไม่ผิดแปลกอะไรที่จะเข้าใจกัน ก็คงไม่ผิดแปลกอะไรที่ช่วยเหลือกัน เติมเต็มซึ่งกันและกัน เพราะทั้งสองต่างก็เผชิญโลกเผชิญชีวิตมาเพียงพอที่จะเข้าใจว่าชีวิตบนโลกใบนี้เป็น Bittersweet Symphony ยอมรับโดยดุษณีว่าชีวิตในวันนี้มีทั้งความหวานและขม และเรา ... ต้องอยู่กับมันให้ได้นั่นเอง
(ลูกไม้ไกลต้น) : รสา และ ชานนท์ Bittersweet Symphony (อยู่ ๆ ก็คิดถึงขึ้นมา)
ทีนี้มาว่าด้วยละครเรื่อง "ลูกไม้ไกลต้น" ครั้งแรกที่สัมผัส บรรยากาศในเรื่องจะหม่น ๆ โทนสีออกน้ำตาลเทาดำ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หน้าผม หรือ อารมณ์คน "ลูกไม้ไกลต้น" เปิดมาด้วยเรื่องราวของ "ลูกไม้" ที่ตกไปไกลต้นอย่างรสา เมื่อเธอเข้าอ้างตัวกับคุณเฉลิม บดินทรวัชระ ว่าเป็นลูก ลูกที่เกิดจาแม่สุภา แม่สุภาได้จากไปและเธอต้องการคำขอโทษจากปากคุณเฉลิม น่าเสียดายที่หลักฐานนั้นอันตรธานหายไปด้วยน้ำมือของมนัส ... พี่ชายต่างพ่อของรสา ลูกไม้ที่ไกลพ่ออย่างรสาจึงตกเป็นเป้าแห่งความสงสัยของ ลูกไม้ไกลแม่อย่างชานนท์
ชานนท์เป็นลูกชายคนโตของครอบครัวนักค้าอัญมณีที่ทำท่าจะเกี่ยวดองกับตระกูลบดินทรวัชระ เมื่อชานนท์ถูกวางตัวเป็นว่าที่เขยขวัญคู่กับศศิกานต์ลูกสาวคนเล็กของบ้านนั้น ชานนท์มองรสาด้วยแววตาสงสัย เรื่องที่จะให้ขอโทษแม่อะไรนั่น ไม่ได้อยู่ในความสนใจของชานนท์ซักนิด ในฐานะลูกคนโตชานนท์เป็นหลักพึ่งพิงให้บ้านเสมอมา ให้กับพ่อให้กับน้องในยามที่แม่จากไปพร้อมกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง ชานนท์ในวันที่รู้ความได้แก่กอดน้อง ปลอบพ่อ ความเศร้าโศกทั้งหลายบ่มเพาะความเกลียดชังให้ขึ้นมาแทนที่ ผลักชานนท์ให้อยู่อย่างเข้มแข็ง อยู่อย่างระแวดระวัง ปิดปังซ่อนเร้นความอ่อนไหวให้มิดเม้น ชานนท์จึงเหมือนไม้ใหญ่ที่ต้องยืนหยัดเป็นร่มเงาให้ใครต่อใคร แต่จะมีผู้ใดรู้บ้างไหมว่าไม้ใหญ่ก็ต้องการคนดูแลเช่นกัน
ชานนท์ระแวงในตัวของรสา ความสัมพันธ์ของแม่ที่ว่า สั่นคลอนอะไรชานนท์ไม่ได้ และ ไม่น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง รูปการณ์ที่น่าสงสัยบวกกับอคติใจใจเรื่องแม่ของตัวเองแล้ว ความเชื่อมั่นเรื่องสิบแปดมงกุฎยิ่งพุ่งปรี๊ด กริยาท่าทางของชานนท์ต่อรสาจึงทั้งคุกคาม หยามหมิ่น และเมื่อรู้ว่าอภิรักษ์น้องชายคนเดียวของตัวเองเกิดต้องใจรสาเพียงแรกพบก็ยิ่งเคียงขึ้งมากขึ้น รสาเองก็เช่นกันไม่ถูกชะตากับผู้ชายหยาบกระด้างคนนี้เลย ยิ่งเมื่อเห็นชานนท์ปฏิบัติกับป้ากัลยา แม่ของชานนท์เองอย่างไม่ใยดี คนที่รักแม่และกตัญญูกับแม่ยิ่งอัพเลเวลความไม่ชอบขึ้นเป็นความเกลียดชัง ถึงขั้นกล้าปะทะกันอย่างไม่ไว้หน้า
ลูกไม้ที่ไกลต้นอย่างเขาและเธอจะเปลี่ยนแปลงความชัง
ให้กลายเป็นอย่างอื่น ... ในเพียงไม่กี่อึดใจ
ในเสี้ยววินาทีที่ต้นไม้ใหญ่อย่างชานนท์เบรคแตก ... สายตาขมขื่นที่ชานนท์มองป้ากัลยา ทำให้รสารู้ว่า เธอมองผู้ชายคนนี้ผิดไปเสียแล้ว สิ่งที่ผ่านมาเป็นแค่เปลือกเท่านั้น ราวกับวินาทีที่อยู่ในรถด้วยกันนั้น เธอมองเห็นเด็กน้อยชานนท์ที่คอยปลอบพ่อ และ น้อง หากเขาไม่โตขึ้นมาเป็นหลักครอบครัวคงจะพังพิณท์ ความตระหนักรู้เกิดขึ้นทันทีเด็กน้อยคนนั้นก็ยังอยู่ในตัวของชายหนุ่มคนนี้ แต่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้แพ้พ่าย ให้ร้องไห้ ให้โหยหา ทั้งคุณพาณิชผู้เป็นพ่อและอภิรักษ์ผู้เป็นน้องได้ทอดธุระทิ้งไว้ให้เขาหมดทุกสิ่ง
ใครกันจะรับรู้ความเจ็บนี้ได้ นี่เป็นสิ่งที่ชานนท์เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแต่หักใจไว้ไม่กล้าบอกใคร กลัวว่าสุขภาพของพ่อที่เปราะบางอยู่แล้วจะยิ่งทรุดลงไปอีก กลัวว่าโลกสวยสีชมพูของน้องจะต้องแปดเปื้อนไป ในทุก ๆ วันเมื่อน้องต้องการพบแม่ แต่พี่ห้าม แล้วน้องทำตะบึงตะบอนใส่ เมื่อพ่อถึงกับกล่าวด้วยความผิดหวังว่าไม่เคยสอนให้ชานนท์เจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้ ชานนท์ได้แต่นิ่งเงียบไม่ปริปากเป็นที่รองรับอารมณ์ของพ่อและน้องที่ใคร ๆ ก็เห็นเป็นภาพเจนตา เหมือนเขาเป็นต้นไม้ใหญ่กิ่งไม่เคยลู่ลม ราวกับมันจะไม่มีวันแตกหักกระนั้น
หากนั่นยังรันทดไม่พอ สิ่งที่รสามองทะลุลงไปอีกชั้น คือ เด็กน้อยในตัวชานนท์ไม่ได้ถูกครอบคลุมด้วยความเกลียดชังหรอก แต่ที่ต้องทำแบบนั้นเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เมื่อเขาโตพอรู้คิดพอที่จะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ที่ทำให้รู้ว่าต้องการแค่ไหน หรือ พยายามซักเพียงไร แม่ก็ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว บ้านเล็กแสนลำบาก ผัวขี้เมา ตบตี แม่รู้ว่าบ้านของเขายังเปิดรอแต่นานเป็นสิบปีแม่ก็ไม่หันหลังกลับไป ดังนั้นนอกจากจะต้องเก็บความลับไว้กับตัว ถูกคนในครอบครัวมองด้วยสายตาผิดหวัง ยังต้องรับมือกับความโหยหาแม่ที่ไม่อาจเติมเต็ม
แต่นอกจากความเจ็บปวดได้ระบายออกแล้วสายใยหวานขมก็ได้เริ่มต้นขึ้น
เฉกเช่นเดียวกัน
เพียงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่อึดใจแต่เหมือนทั้งสองได้ทำความรู้จักกันมายาวนาน รสากลายเป็นเพื่อนคู่คิดอย่างที่ศศิกานต์ก็เป็นไม่ได้ ชานนท์ถูกพึ่งพามาตลอด นอกจากพ่อและน้อง ศศิเองก็เป็นอีกคนที่พึ่งชานนท์ให้เป็นโล่ห์กำบังวรรณฤดีพี่สาวอารมณ์ร้าย บ่าของรสานานวันยิ่งกลายเป็นบ่าแบกรับทุกข์สุขของชานนท์ ทุกครั้งที่ได้เจอะเจอไม่มีเลยที่จะแบกความทุกมาถมให้ แต่ความทุกข์ความไม่สบายใจของชานนท์นั่นต่างหากที่เลื่อนมาแบ่งเบาตรงบ่าของรสา ด้วยความมั่นคงในอารมณ์ วุฒิภาวะ และ ประสบการณ์ ไม่เพียงแต่รสาจะเป็นเพื่อนคู่คิด แต่ชานนท์ยังแน่ใจว่าชีวิตนี้เขาคงต้องการรสานี่แหละที่จะเป็นมิตรคู่บ้าน
แต่ทว่าจะทำอย่างไรเล่าเมื่ออภิรักษ์ก็รักรสามากเหลือเกิน และ ศศิกานต์ก็ยังคงพึ่งพาและพึ่งพิงชานนท์อยู่ ต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ และ ควรจะยึดถือหลักการนี้หากยังถืออยู่ว่าเราเป็นสัตว์ประเสริฐอะไรที่ผิดก็ไม่ควรเกิด แม้แต่พ่อที่รู้ ... รู้ว่ารสาชอบใครและใครที่ชอบรสาก็ยังไม่วายเอ่ยปากว่า นนท์ไปบอกรสาที พ่อสงสารน้อง รสาจากไปอย่างเงียบ ๆ และ ชานนท์ก็ไม่เคยปริปาก หรือ ทุรนทุรายด่าวดิ้นในการตามหารสา ไม่มีแม้กระทั่งน้ำตาให้ใครต้องคิดมากหรือสงสัย เขายอมรับการตัดสินใจของเธออย่างเงียบ ๆ ดำเนินชีวิตตามปกติทั้งที่มันไม่ปกติ ชานนท์ก็ยังคงเป็นชานนท์ต่อให้จะขาดใจตายก็ไม่มีวันเอ่ยปากกับใคร
แต่คำพูดที่ว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว" ก็ยังใช้ได้เสมอ สภาพจิตใจมันก็ฟ้องออกมาทางร่างกายจนได้ แม้จะทำงานปกติ ดำเนินชีวิตปกติ หลอกใครได้ว่าปกติ ร่างกายมันฟ้องเองแบบต้านไม่อยู่ว่าชานนท์พังขนาดไหน ป่วยที่ใจจนมันฟ้องออกมาทางร่างกาย จนศศิเห็นสภาพยังทนไม่ได้ จะต้องรอให้ตายกันก่อนหรืออย่างไร บอกมาเดี๋ยวนี้ว่ารสาอยู่ที่ไหน ? ถ้าจะเจ็บเราก็มาเจ็บกันแค่ไม่กี่คนดีไหม ดีกว่าให้เจ็บกันไปทั้งหมด ถ้าศศิได้แต่ตัวพี่นนท์มาแล้วจะได้อะไร รักษ์ได้แค่ตัวรสามาแล้วมันจะยังไง เจ็บสี่ให้เหลือสักสองจะดีกว่าไหม ?
ฉากสุดท้ายที่ริมทะเลอาจจะไม่ถูกใจใครต่อใคร แต่สุดท้ายแล้วก็มองว่า ชานนท์เองไม่ใช่ผู้ชายหวือหวา เก็บมาตลอด สายตาที่เห็น ณ ชายหาดวันนั้น ก็เหมือนคนล่มสลายทางใจพลิกฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ ราวกับอยู่ในความฝัน ที่เราฝันไปหรือเปล่า เราเห็นเธอคนนั้นอยู่ตรงนี้ แทบไม่เชื่อว่ามันคือความจริง ที่เดินตุปัดตุเป๋จากอาการรื้อไข้ลงจากรถแล้วเห็นเธอคนนั้น ทำให้ต้องยืนนึ่งขึงตะลึงตะไลรับสารซะก่อนว่า "นี่คือความจริง"
หากจะให้เทียบแล้วชีวิตของชานนท์กับรสาก็เหมือนเพลงบรรเลงทั้งสองต่างเป็นลูกไม้ไกลต้นที่ผ่านชีวิตในแนวทางเดียวกันก็คงไม่ผิดแปลกอะไรที่จะเข้าใจกัน ก็คงไม่ผิดแปลกอะไรที่ช่วยเหลือกัน เติมเต็มซึ่งกันและกัน เพราะทั้งสองต่างก็เผชิญโลกเผชิญชีวิตมาเพียงพอที่จะเข้าใจว่าชีวิตบนโลกใบนี้เป็น Bittersweet Symphony ยอมรับโดยดุษณีว่าชีวิตในวันนี้มีทั้งความหวานและขม และเรา ... ต้องอยู่กับมันให้ได้นั่นเอง