กลับมาเจอกันอีกรอบกับกระทู้ชำแหละหนัง เรื่องไหนจริง เรื่องไหนแต่งกับเรา, Little Cinephile คราวนี้เรามาลองดู The Theory of everything หนังที่สร้างจากชีวิตจริงของสตีเฟน ฮอว์กิงและเจน ไวลด์, ชายผู้เป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะแห่งยุคปัจจุบันและภรรยาที่ร่วมทุกข์สุขมากับเขา
ในส่วนของหนังที่โรงฉายน้อยแสนน้อยนั้น (ไม่เกี่ยวนะ ฮา) เราว่ามันค่อนข้างต่างจาก Imitation game ในด้านที่ TOE (ขอย่อแล้วกันนะ ยาวจัง) ค่อนข้างไม่มีปมปัญหาชัดเจนที่เรื่องจำเป็นต้องไขหรือแก้ แต่เน้นไปในด้านของการติดตามชีวิตคู่ของทั้งสองไปเรื่อยๆ มากกว่า เพราะฉะนั้นจึงอาจไม่มีส่วนที่เป็นจุดหักเหแรงๆ แบบ The Imitation Game มากนัก
ก็ลองมาดูกันนะว่ามีอะไรจริงหรือแต่งบ้าง
อนึ่ง, เนื้อหาในกระทู้มีสปอยล์หนังค่อนข้างแรงตั้งแต่ต้นจนจบ ควรชมภาพยนตร์ก่อนอ่านจะดีกว่านะ
1.สตีเฟนเป็นหนึ่งในสมาชิกของชมรมพายเรือแห่งออกซ์ฟอร์ด
- เป็นเรื่องจริง
มีรูปยืนยันด้วยนะ
2. เจนและสตีเฟนได้พบกันในงานเลี้ยง และตกหลุมรักกัน ณ ตอนนั้น
- เป็นเรื่องจริง
เจนยังบอกเล่าเพิ่มเติมว่า “เขาเป็นคนขบขัน เที่ยงตรง ฉันจมลงไปยังรอยยิ้มกว้างและดวงตาสีเทาของเขา และฉันคิดว่าฉันตกหลุมรักเขาเข้าเสียแล้ว”
3. สตีเฟนได้รับการวินิจฉัยหลังจากที่ล้มลงอย่างแรง
- เป็นเรื่องแต่ง
จริงๆ แล้วสตีเฟนล้มเช่นนั้นถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกคือในมหาวิทยาลัยแบบในภาพยนตร์ ครั้งที่สอง เขาล้มลงที่รถไฟในเยอรมนี แต่กว่าที่จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคประสาทสั่งการเสื่อมก็หลังจากนั้น เป็นช่วงที่เขากลับบ้านในเทศกาลคริสต์มาส แพทย์ถูกเรียกให้มาตรวจร่างกายของสตีเฟนเนื่องจากตัวเขาเริ่มสั่นและพูดไม่ค่อยชัด
4. เจนรู้เรื่องโรคของสตีเฟนผ่านไบรอัน
- เป็นเรื่องแต่ง
เธอรู้จากเพื่อนของเธอเองตังหาก
5. เจนแต่งงานโดยรู้ดีว่าเธอจะต้องกลายเป็นม่ายในเวลาไม่นาน
- เป็นเรื่องจริง
เจนบอกว่า เธอไม่อยากจะคิดเรื่องนั้นในตอนนั้นเลย นอกจากนั้นยังกล่าวว่า
“ในยุคสมัยของพวกเราที่เรารับรู้กันดีว่าเราอยู่ภายใต้เมฆหมอกปรมาณูที่น่าหวาดกลัว วันสิ้นโลกนั้นห่างออกไปเพียงสี่นาทีในนาฬิกาวันสิ้นโลก* มันทำให้เราคิดถึงการที่เราจำเป็นต้องทำบางสิ่งบางอย่างซึ่งเป็นการกระทำตามอุดมคติของชีวิต ตอนนี้มันอาจจะดูเพี้ยนผิดไปบ้าง แต่นั่นคือสิ่งที่ฉันและสตีเฟนคิดกันอย่างจริงจังในปี 60’s ที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นของขวัญล้ำค่าที่เราได้รับมอบมา”
หรือ Doomsday clock เป็นนาฬิกาสมมติที่จะเดินหน้าไปยังการวิบัติของโลกโดยปัจจัยต่างๆ จะเป็นตัวกำหนด
ปัจจุบันเหลือแค่ 3 นาทีก็จะวิบัติ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทั่วโลกและสงครามนิวเคลียร์
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
http://en.wikipedia.org/wiki/Doomsday_Clock
6. เจนต้องแปลคำพูดของสตีเฟนให้คนแปลกหน้าฟัง
- เป็นเรื่องจริง
ครอบครัวและนักศึกษาที่เป็นศิษย์ของสตีเฟนสามารถฟังคำพูดของเขาออก แต่สำหรับคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบสตีเฟน จำเป็นต้องใช้เวลาเกือบ 1 เดือนในการสร้างความคุ้นเคย
7. ครอบครัวฮอว์กิงซื้อบ้านทรงกระท่อมอยู่บนเขา ซึ่งไม่เอื้อต่อรถเข็นของสตีเฟนเลย
- เป็นเรื่องจริง
เจนกล่าวเอาไว้ว่า เธอสับสนและเสียความรู้สึกต่อการกระทำเช่นนี้ของครอบครัวฮอว์กิงมาก “ดูราวกับว่าบ้านฮอว์กิงนั้นเลือกที่จะหลีกพ้นไปจากความรับผิดชอบต่อสตีเฟนโดยสิ้นเชิง” เธอสำทับไว้
8. เจนถูกปรามาศว่าเธอนั้นคบชู้กับบุรุษชื่อ โจนาธาน
- เป็นเรื่องจริง
และฉากที่แม่ของเจนเอ่ยถามเธอว่า บุตรคนที่สามของเธอเป็นลูกของใครก็เป็นเรื่องจริง เพียงแต่ถามในขณะที่พวกเธออยู่กันตามลำพัง สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ แม่ของสตีเฟนพูดอย่างตรงไปตรงมามากว่า เธอไม่เคยชอบเจนเลย
“เธอไม่สามารถเข้ากับครอบครัวของเราได้เลย” คือคำที่เจนต้องเผชิญในการสนทนาครั้งนั้น
9. เจนและสตีเฟนนั้นต่างไม่ยอมรับแนวคิดเกี่ยวกับตัวตนของพระเจ้า แต่ก็ประณีประนอมต่อกัน
- เป็นเรื่องแต่ง
อย่างไรก็ตาม, นี่เป็นแง่มุมของเจนเท่านั้น เธอมีความรู้สึกว่า การปฏิเสธพระเจ้าของสตีเฟนยิ่งทวีมากขึ้นทุกทีด้วยซ้ำ
10. ในยามที่สตีเฟนล้มป่วยหนักจนถึงแก่ชีวิต เจนยืนยันอย่างหนักแน่นว่าหมอต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยสามีของเธอแม้จะต้องสูญเสียเสียงไป
- เป็นเรื่องจริง
แถมรายละเอียดทั้งหมดยังตรงเป๊ะ ทั้งสองต่างแยกกันค้างแรม เจนอยู่กับโจนาธานและลูกๆ ก่อนที่สตีเฟนจะล้มป่วยลง เจนจึงรีบมาหาเขาและยืนยันว่าจะยอมทิ้งเสียงของสตีเฟนแลกกับชีวิตของเขา
ติดตามข่าวสารและเกร็ดภาพยนตร์ต่างๆ แบบนี้ได้มากกว่านี้ใน
https://www.facebook.com/LittleCinephile
แล้วเจอกันนะ เย้
ชำแหละ The Theory of everything เรื่องไหนจริงเรื่องไหนแต่ง: จักรวาลของการมีชีวิตอยู่ [มีสปอยล์]
ในส่วนของหนังที่โรงฉายน้อยแสนน้อยนั้น (ไม่เกี่ยวนะ ฮา) เราว่ามันค่อนข้างต่างจาก Imitation game ในด้านที่ TOE (ขอย่อแล้วกันนะ ยาวจัง) ค่อนข้างไม่มีปมปัญหาชัดเจนที่เรื่องจำเป็นต้องไขหรือแก้ แต่เน้นไปในด้านของการติดตามชีวิตคู่ของทั้งสองไปเรื่อยๆ มากกว่า เพราะฉะนั้นจึงอาจไม่มีส่วนที่เป็นจุดหักเหแรงๆ แบบ The Imitation Game มากนัก
ก็ลองมาดูกันนะว่ามีอะไรจริงหรือแต่งบ้าง
อนึ่ง, เนื้อหาในกระทู้มีสปอยล์หนังค่อนข้างแรงตั้งแต่ต้นจนจบ ควรชมภาพยนตร์ก่อนอ่านจะดีกว่านะ
1.สตีเฟนเป็นหนึ่งในสมาชิกของชมรมพายเรือแห่งออกซ์ฟอร์ด
- เป็นเรื่องจริง
มีรูปยืนยันด้วยนะ
2. เจนและสตีเฟนได้พบกันในงานเลี้ยง และตกหลุมรักกัน ณ ตอนนั้น
- เป็นเรื่องจริง
เจนยังบอกเล่าเพิ่มเติมว่า “เขาเป็นคนขบขัน เที่ยงตรง ฉันจมลงไปยังรอยยิ้มกว้างและดวงตาสีเทาของเขา และฉันคิดว่าฉันตกหลุมรักเขาเข้าเสียแล้ว”
3. สตีเฟนได้รับการวินิจฉัยหลังจากที่ล้มลงอย่างแรง
- เป็นเรื่องแต่ง
จริงๆ แล้วสตีเฟนล้มเช่นนั้นถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกคือในมหาวิทยาลัยแบบในภาพยนตร์ ครั้งที่สอง เขาล้มลงที่รถไฟในเยอรมนี แต่กว่าที่จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคประสาทสั่งการเสื่อมก็หลังจากนั้น เป็นช่วงที่เขากลับบ้านในเทศกาลคริสต์มาส แพทย์ถูกเรียกให้มาตรวจร่างกายของสตีเฟนเนื่องจากตัวเขาเริ่มสั่นและพูดไม่ค่อยชัด
4. เจนรู้เรื่องโรคของสตีเฟนผ่านไบรอัน
- เป็นเรื่องแต่ง
เธอรู้จากเพื่อนของเธอเองตังหาก
5. เจนแต่งงานโดยรู้ดีว่าเธอจะต้องกลายเป็นม่ายในเวลาไม่นาน
- เป็นเรื่องจริง
เจนบอกว่า เธอไม่อยากจะคิดเรื่องนั้นในตอนนั้นเลย นอกจากนั้นยังกล่าวว่า
“ในยุคสมัยของพวกเราที่เรารับรู้กันดีว่าเราอยู่ภายใต้เมฆหมอกปรมาณูที่น่าหวาดกลัว วันสิ้นโลกนั้นห่างออกไปเพียงสี่นาทีในนาฬิกาวันสิ้นโลก* มันทำให้เราคิดถึงการที่เราจำเป็นต้องทำบางสิ่งบางอย่างซึ่งเป็นการกระทำตามอุดมคติของชีวิต ตอนนี้มันอาจจะดูเพี้ยนผิดไปบ้าง แต่นั่นคือสิ่งที่ฉันและสตีเฟนคิดกันอย่างจริงจังในปี 60’s ที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นของขวัญล้ำค่าที่เราได้รับมอบมา”
หรือ Doomsday clock เป็นนาฬิกาสมมติที่จะเดินหน้าไปยังการวิบัติของโลกโดยปัจจัยต่างๆ จะเป็นตัวกำหนด
ปัจจุบันเหลือแค่ 3 นาทีก็จะวิบัติ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทั่วโลกและสงครามนิวเคลียร์
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
http://en.wikipedia.org/wiki/Doomsday_Clock
6. เจนต้องแปลคำพูดของสตีเฟนให้คนแปลกหน้าฟัง
- เป็นเรื่องจริง
ครอบครัวและนักศึกษาที่เป็นศิษย์ของสตีเฟนสามารถฟังคำพูดของเขาออก แต่สำหรับคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบสตีเฟน จำเป็นต้องใช้เวลาเกือบ 1 เดือนในการสร้างความคุ้นเคย
7. ครอบครัวฮอว์กิงซื้อบ้านทรงกระท่อมอยู่บนเขา ซึ่งไม่เอื้อต่อรถเข็นของสตีเฟนเลย
- เป็นเรื่องจริง
เจนกล่าวเอาไว้ว่า เธอสับสนและเสียความรู้สึกต่อการกระทำเช่นนี้ของครอบครัวฮอว์กิงมาก “ดูราวกับว่าบ้านฮอว์กิงนั้นเลือกที่จะหลีกพ้นไปจากความรับผิดชอบต่อสตีเฟนโดยสิ้นเชิง” เธอสำทับไว้
8. เจนถูกปรามาศว่าเธอนั้นคบชู้กับบุรุษชื่อ โจนาธาน
- เป็นเรื่องจริง
และฉากที่แม่ของเจนเอ่ยถามเธอว่า บุตรคนที่สามของเธอเป็นลูกของใครก็เป็นเรื่องจริง เพียงแต่ถามในขณะที่พวกเธออยู่กันตามลำพัง สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ แม่ของสตีเฟนพูดอย่างตรงไปตรงมามากว่า เธอไม่เคยชอบเจนเลย
“เธอไม่สามารถเข้ากับครอบครัวของเราได้เลย” คือคำที่เจนต้องเผชิญในการสนทนาครั้งนั้น
9. เจนและสตีเฟนนั้นต่างไม่ยอมรับแนวคิดเกี่ยวกับตัวตนของพระเจ้า แต่ก็ประณีประนอมต่อกัน
- เป็นเรื่องแต่ง
อย่างไรก็ตาม, นี่เป็นแง่มุมของเจนเท่านั้น เธอมีความรู้สึกว่า การปฏิเสธพระเจ้าของสตีเฟนยิ่งทวีมากขึ้นทุกทีด้วยซ้ำ
10. ในยามที่สตีเฟนล้มป่วยหนักจนถึงแก่ชีวิต เจนยืนยันอย่างหนักแน่นว่าหมอต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยสามีของเธอแม้จะต้องสูญเสียเสียงไป
- เป็นเรื่องจริง
แถมรายละเอียดทั้งหมดยังตรงเป๊ะ ทั้งสองต่างแยกกันค้างแรม เจนอยู่กับโจนาธานและลูกๆ ก่อนที่สตีเฟนจะล้มป่วยลง เจนจึงรีบมาหาเขาและยืนยันว่าจะยอมทิ้งเสียงของสตีเฟนแลกกับชีวิตของเขา
ติดตามข่าวสารและเกร็ดภาพยนตร์ต่างๆ แบบนี้ได้มากกว่านี้ใน
https://www.facebook.com/LittleCinephile
แล้วเจอกันนะ เย้