พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด
ชุดที่ ๑ ชีวิตเศร้าของนางผีเสื้อ
ตอนที่ ๑ อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป
ฑ.มณฑา
วรรณคดีไทยเรื่อง พระอภัยมณี ของท่าน สุนทรภู่ นั้น เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในหมู่นักอ่านชาวไทยทั้งหลาย เป็นเวลาตั้งร้อยปีมาแล้ว
แต่เป็นเรื่องที่ยืดยาวถึง ๑๓๒ ตอน โดยเฉพาะภาคต้นที่พิมพ์กันแพร่หลายมาแล้ว ๑๓ ครั้ง ก็มีอยู่ด้วยกัน ๖๔ ตอน
ความยาวเกือบ ๑๓๐๐ หน้า
ตัวละครในเรื่องก็มีอยู่มากมายก่ายกอง เฉพาะตัวนางนั้น นอกจาก นางสุวรรณมาลี ซึ่งเป็นตัวเด่นที่สุดแล้ว
ก็ยังมีอีก ๑๒ คน กับ ๒ ตนที่ไม่ใช่คน
คือ นางผีเสื้อสมุทร และ นางเงือก หรือนางมัจฉาวิลาวัลย์ ซึ่งต่างก็เป็นมเหสีของพระอภัยมณีทั้งคู่
และเป็นผู้ให้กำเนิดตัวละครสำคัญอีก ๒ คน คือ สินสมุท กับ สุดสาคร แต่ เรื่องราวจะเป็นมาอย่างไรนั้น
จะได้ค้นคว้าและคัดลอกมาให้อ่านกันอย่างรวบรัด เป็นลำดับไป
นางผีเสื้อสมุทรนั้น เมื่อชาติก่อนก็เป็นนางยักษ์ขินี ได้พรจากพระอินทร์ สามารถถอดดวงใจฝากไว้ในก้อนหินกลางท้องมหาสมุทร
ต่อมาขึ้นบกไปรบกับพระเพลิงที่เชิงภูเขา ด้วยเหตุ ขัดข้องหมองใจอย่างไรไม่ปรากฎ แต่สู้พระเพลิงไม่ได้ถูกไฟกรดเผาไหม้เป็นจุณหมดทั้งตัว
เหลืออยู่แต่ดวงใจที่สิงสถิตย์ในก้อนหิน ที่ภูเขานั้น
ครั้นอยู่ในมหาสมุทรนานเข้า ได้ไอน้ำไอดินหินก้อนนั้นก็งอกใหญ่ออกไปทุกที เกิดเป็นหน้าตาแขนขาขึ้น เป็นอยู่อย่างนั้นนับหมื่นปี
จึงได้กลายเป็นนางผีเสื้อ รูปร่างใหญ่โตมโหฬาร ผุดขึ้นจากท้องมหาสมุทร พอโดนแสงอาทิตย์ก็ยิ่งมีฤทธิ์ เข้มแข็งมากขึ้น
สามารถปราบปีศาจทั้งหลายในท้องทะเล ให้เกรงกลัวยอมเป็นข้าจนหมดสิ้น ไม่มีผู้ใดเอาชนะได้
จึงเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว ในมหาสมุทรอะโนมานติดต่อกับสีทันดรอันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีที่สิ้นสุด
วันหนึ่งนางผีเสื้อยักษ์ ขึ้นมาเล่นน้ำทะเลในตอนเย็น ได้ยินเสียงปี่อันไพเราะจับใจ เกิดความเสน่หาอาวรณ์อ่อนอกใจไปตามเสียงเพลงนั้น
จึงเคลื่อนตัวเข้าไปนอนฟังอยู่บนหาดทรายชายฝั่ง แล้วก็ชะเง้อมองหาต้นเสียง จึงพบว่าผู้ที่เป่าปี่นั้นเป็นมานพหนุ่มน้อยรูปงามผู้หนึ่ง
นั่งอยู่ที่ใต้ร่มไทรใบหนา มีผู้ฟังนอนหลับใหลไม่เป็นสมประดีอยู่ใกล้ ๆ กับผู้บรรเลงเพลงปี่ที่แสนเสนาะนั้นอีกสี่คน นางยักษ์ก็คิดว่า
ทั้งทรวดทรงองค์เอวก็อ้อนแอ้น
เป็นหนุ่มแน่นน่าชมประสมสอง
แม้นได้กันกับกูเป็นคู่ครอง
จะประคองกอดแอบไว้แนบเนื้อ
น้อยหรือแก้มซ้ายขวาก็น่าจูบ
ช่างสมรูปนี่กระไรวิไลเหลือ
ทั้งลมปากเป่าปี่ไม่มีเครือ
นางผีเสื้อตาดูทั้งหูฟัง ฯ
นางผีเสื้อยิ่งฟังก็ยิ่งรัญจวนใจ คลั่งใคล้ใหลหลงถึงขนาดที่ว่า
ยิ่งปั่นป่วนรวนเรเสน่ห์รัก
สุดจะหักวิญญาณ์เหมือนบ้าหลัง
อุดตลุดผุดทะะลึ่งขึ้นตึงตัง
ด้วยกำลังโลดโผนโจนกระโจม
ชุลมุนหมุนกลมดังลมพัด
กอดกระหวัดอุ้มองค์พระทรงโฉม
กลับกระโดดลงน้ำเสียงต้ำโครม
กระทุ่มโถมถีบดำไปถ้ำทอง ฯ
หนุ่มน้อยที่ถูกนางผีเสื้อสมุทร ลักพาตัวไปนั้น ก็คือ พระอภัยมณี โอรสของ ท้าวสุทัศน์ กษัตริย์แห่งเมืองรัตนา อายุเพียงสิบห้าปี
มีน้องชายชื่อ ศรีสุวรรณ อายุได้สิบสามปี พระบิดาส่งสองพี่น้องให้ไปเรียนวิชาหาความรู้ จากทิศาปาโมกข์ ที่บ้านจินตคามเป็นเวลาปีครึ่ง
พระอภัยมณีก็สำเร็จวิชาดนตรีการเป่าปี่ชั้นสูง ได้รับปี่หนึ่งเลาเป็นรางวัล ซึ่งอาจารย์ได้รับรองความรู้ไว้ดังนี้
ถ้าแม้นว่าข้าศึกมันโจมจับ
จะรบรับสาระพัดให้ขัดสน
เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคน
ด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ
คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส
เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร
ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณ
จึงคิดอ่านเอาชัยเหมือนใจจง ฯ
ส่วนศรีสุวรรณน้องชายนั้น ก็จบหลักสูตรการรบด้วยกระบอง และได้รับกระบองทำด้วยเหล็กอย่างดีเป็นรางวัลเหมือนกัน
แต่เมื่อสองพี่น้องกลับไปถึงบ้านเมืองแล้ว ก็ถูกพระบิดากริ้วโกรธ หาว่าเรียนวิชาที่ไม่เหมาะสมสำหรับพระราชโอรสของกษัตริย์
ที่จะสืบราชสมบัติต่อไปจึงขับล่ออกจากเมือง ทั้งสองจึงต้องออกเดินดงไปโดยไม่รู้จุดหมายเหนื่อยนักก็ลงนั่งหารือกัน
อันตัวเราพี่น้องทั้งสองนี้
ไม่มีที่พึ่งใครในไพรสัณฑ์
ทั้งโภชนาอาหารกันดารครัน
ยังนับวันก็แต่กายจะวายปราณ
พระอนุชาว่าพี่นี้ขี้ขลาด
เป็นชายชาติช้างงาไม่กล้าหาญ
แม้นชีวันยังไม่บรรลัยลาญ
ก็เซซานซอกซอนสัญจรไป
เผื่อพานพบบ้านเมืองที่ไหนมั่ง
พอประทังกายาอยู่อาศัย
มีความรู่อยู่กับตัวกลัวอะไร
ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี ฯ
แล้วต่างก็เปลี่ยนเครื่องทรงอย่างลูกกษัตริย์ ให้เหมือนกับชาวบ้านทั่วไป จนมาพบพราหมณ์สามคน อยู่บ้านอินทคามจึงคบกันเป็นเพื่อน
เพราะพราหมณ์ทั้งสามนั้นก็เพิ่งเรียนวิทยายุทธจบหลักสูตรมาใหม่เอี่ยมเหมือนกัน
คนที่ชื่อ โมรา นั้นมีความสามารถเอาฟางมาผูกให้เป็นสำเภา แล่นได้ทั้งบนดินและในน้ำ
คนที่ชื่อ สานน มีความรู้เรียกลมเรียกฝนได้ตามต้องการ
คนที่ชื่อ วิเชียร เป็นผู้ขมังธนูชนิดพิเศษ ยิงได้ทีละเจ็ดลูก
ทั้งสามพราหมณ์ก็ชื่นชมกับศรีสุวรรณที่เรียนวิชาอาวุธ
แต่สงสัยว่าพระอภัยมณีที่เรียนวิชาเป่าปี่นั้นจะมีประโยชน์อันใด
พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม
จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข
อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป
ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช
จัตุบาทกลางป่าพนาสิณฑ์
แม้ปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน
ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ
อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา
ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญา
จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง ฯ
ว่าแล้วก็สาธิตการเป่าให้ฟัง จนน้องชายและเพื่อนพราหมณ์ทั้งสามหลับครอกไปหมด แต่นางผีเสื้อสมุทรมีฤทธิ์มากไม่ยอมหลับ
จึงได้เกิดเรื่องลักพาตัวกันขึ้นมาในคราวนี้
ครั้นนางผีเสื้อพาพระอภัยเข้ามาถึงถ้ำที่อยู่อาศัย ซึ่งคงจะเป็นเกาะที่อยู่ห่างไกลจากฝั่งมาก นางก็วางพระอภัยลงบนแท่นศิลาในถ้ำ
แล้วก็นั่งชมโฉมโสมนัสไปตามประสา ผู้ที่คลั่งไคล้ใหลหลงในตัวศิลปินรูปงามทั้งหลาย แต่ด้วยร่างกายอันใหญ่โตทั้งหน้าตาก็น่ากลัว
แบบยักษ์ทั่วไปของนางผีเสื้อนั่นเอง จึงทำให้พระอภัยถึงกับลมจับ สลบสิ้นสติไป นางจึงต้องคิดการแก้ไข ให้พระอภัยมณีหายกลัวให้ได้
จำจะแสร้งแปลงร่างเป็นนางมนุษย์
ให้ผาดผุดทรวดทรงส่งสัณฐาน
เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมลาน
จะเกี้ยวพานรักใคร่ดังใจจง
แล้วอ่านเวทเพศยักษ์ก็สูญหาย
สกนธ์กายดังกินนรนวลหง
เอาธารามาชโลมพระโฉมยง
เข้าแอบองค์นวดฟั้นคั้นประคอง ฯ
แม้เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมา ได้เห็นรูปร่างนางเนรมิตรที่สวยไปสิ้น ทั้งรูปทรงองค์เอว แต่พระอภัยก็รู้อยู่เต็มอก ว่านางนี้ที่แท้ก็เป็นยักษ์
จึงไม่ยอมเล่นบทพิศวาสด้วย แม้นางผีเสื้อจะอ้อนวอนโอ้โลมปฏิโลม และอดทนต่อคำด่าว่าเสียดสีของพระอภัยสักเพียงใดก็ตาม
แต่เมื่อนางยักษ์ทนดื้อด้านไปนานเข้า พระอภัยก็ชักจะใจอ่อนลง เพราะไม่มีหนทางที่จะหนีไปไหนได้ จำใจต้องทำดีไว้ก่อน
จึงว่านางเป็นยักษ์กินคน ต่อไปภายหน้าถ้าโกรธเคืองขึ้นมาก็กลัวว่าจะจับกินเสีย นางผีเสื้อก็สัญญาว่า จะไม่ทำอย่างนั้นเป็นอันขาด
จนสุดสิ้นดินฟ้าสุธาทวีป
ไม่สิ้นชีพไม่เสื่อมสโมสร
พอให้สัตย์เสร็จคำทำฉะอ้อน
ระทวยอ่อนเอนทับลงกับเพลา ฯ
พระอภัยเจอบทนี้เข้าก็ทำใจแข็งอยู่ไม่ไหว ต้องปล่อยเลยตามเลย ให้เหตุการณ์มันดำเนินไปตามเวรตามกรรม
พระฟังคำจำจิตพิศวาส
ฝืนอารมณ์สมพาสทั้งโศกเศร้า
การโลกีย์ดีชั่วย่อมมัวเมา
เหมือนอดข้าวกินมันกันเสบียง ฯ
แล้วพระอภัยมณีก็ต้องอยู่กับนางผีเสื้อด้วยความจำใจเรื่อยมาอย่างชนิดที่เรียกว่าเต็มกลืน ทั้งนี้ก็เพราะ
สมพาสยักษ์รักร่วมภิรมย์สม
เหมือนเด็ดดอกหญ้าดมพอได้กลิ่น
เป็นวิสัยในภพธรณินทร์
ไม่สุดสิ้นสิ่งเสน่ห์ประเวณี ฯ
พระอภัยมณีได้อยู่กับนางผีเสื้อ เพราะไม่รู้จะหนีไปทางไหน จนกระทั่งเวลาได้ล่วงไปร่วมเก้าปี
นางผีเสื้อนั้นก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง มีหน้าตาเหมือนพระอภัย ดวงตาแดงดังแสงอาทิตย์
มีกำลังดังช้างพลาย มีเขี้ยวคล้ายกับมารดา
พระบิตุรงค์ทรงศักดิ์ก็รักใคร่
ด้วยเนื้อไขมิได้คิดริษยา
เฝ้าเลี้ยงลูกผูกเปลแล้วเห่ช้า
จนใหญ่กล้าอายุได้แปดปี
จึงให้นามตามอย่างข้างมนุษย์
ชื่อ สินสมุท กุมารชาญชัยศรี
ธำมรงค์ทรงมาค่าบุรี
พระภูมีถอดผูกให้ลูกยา ฯ
จากนั้นพระอภัยก็สั่งสอน ศิลปวิทยาการต่าง ๆ รวมทั้งวิชาเป่าปี่ด้วย จนสินสมุทมีความรู้ความสามารถ
นอกเหนือไปจากความแข็งแรงอดทนผิดมนุษย์ ว่ายน้ำและดำน้ำได้อย่างปลาตามเผ่าพันธุ์ของมารดา
แต่ทั้งสองพ่อลูกก็ต้องอยู่ภายในถ้ำเท่านั้น เพราะเมื่อถึงเวลาออกหากิน นางผีเสื้อก็จะเอาหินปิดปากถ้ำไว้
แล้วแปลงกายกลับเป็นยักษ์ จับสัตว์ในท้องทะเลกินเป็นอาหารจนอิ่มแล้ว ก็จะกลับมาแปลงเป็นนางมนุษย์
เที่ยวเก็บผลไม้ในป่าเอามาฝากลูกผัวเป็นประจำวัน
พระอภัยมณีกับสินสมุทก็เลยไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันมาร่วมสิบปี และคงจะต้องอยู่อย่างนี้ต่อไป อีกนานสักเท่าใดก็ไม่ทราบ.
########
จากบล็อกของ เจียวต้าย
๒๕๔๙
พระอภัยมณี ฉบับรวบรัด ๔ ก.พ.๕๘
ชุดที่ ๑ ชีวิตเศร้าของนางผีเสื้อ
ตอนที่ ๑ อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป
ฑ.มณฑา
วรรณคดีไทยเรื่อง พระอภัยมณี ของท่าน สุนทรภู่ นั้น เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในหมู่นักอ่านชาวไทยทั้งหลาย เป็นเวลาตั้งร้อยปีมาแล้ว
แต่เป็นเรื่องที่ยืดยาวถึง ๑๓๒ ตอน โดยเฉพาะภาคต้นที่พิมพ์กันแพร่หลายมาแล้ว ๑๓ ครั้ง ก็มีอยู่ด้วยกัน ๖๔ ตอน
ความยาวเกือบ ๑๓๐๐ หน้า
ตัวละครในเรื่องก็มีอยู่มากมายก่ายกอง เฉพาะตัวนางนั้น นอกจาก นางสุวรรณมาลี ซึ่งเป็นตัวเด่นที่สุดแล้ว
ก็ยังมีอีก ๑๒ คน กับ ๒ ตนที่ไม่ใช่คน
คือ นางผีเสื้อสมุทร และ นางเงือก หรือนางมัจฉาวิลาวัลย์ ซึ่งต่างก็เป็นมเหสีของพระอภัยมณีทั้งคู่
และเป็นผู้ให้กำเนิดตัวละครสำคัญอีก ๒ คน คือ สินสมุท กับ สุดสาคร แต่ เรื่องราวจะเป็นมาอย่างไรนั้น
จะได้ค้นคว้าและคัดลอกมาให้อ่านกันอย่างรวบรัด เป็นลำดับไป
นางผีเสื้อสมุทรนั้น เมื่อชาติก่อนก็เป็นนางยักษ์ขินี ได้พรจากพระอินทร์ สามารถถอดดวงใจฝากไว้ในก้อนหินกลางท้องมหาสมุทร
ต่อมาขึ้นบกไปรบกับพระเพลิงที่เชิงภูเขา ด้วยเหตุ ขัดข้องหมองใจอย่างไรไม่ปรากฎ แต่สู้พระเพลิงไม่ได้ถูกไฟกรดเผาไหม้เป็นจุณหมดทั้งตัว
เหลืออยู่แต่ดวงใจที่สิงสถิตย์ในก้อนหิน ที่ภูเขานั้น
ครั้นอยู่ในมหาสมุทรนานเข้า ได้ไอน้ำไอดินหินก้อนนั้นก็งอกใหญ่ออกไปทุกที เกิดเป็นหน้าตาแขนขาขึ้น เป็นอยู่อย่างนั้นนับหมื่นปี
จึงได้กลายเป็นนางผีเสื้อ รูปร่างใหญ่โตมโหฬาร ผุดขึ้นจากท้องมหาสมุทร พอโดนแสงอาทิตย์ก็ยิ่งมีฤทธิ์ เข้มแข็งมากขึ้น
สามารถปราบปีศาจทั้งหลายในท้องทะเล ให้เกรงกลัวยอมเป็นข้าจนหมดสิ้น ไม่มีผู้ใดเอาชนะได้
จึงเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว ในมหาสมุทรอะโนมานติดต่อกับสีทันดรอันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีที่สิ้นสุด
วันหนึ่งนางผีเสื้อยักษ์ ขึ้นมาเล่นน้ำทะเลในตอนเย็น ได้ยินเสียงปี่อันไพเราะจับใจ เกิดความเสน่หาอาวรณ์อ่อนอกใจไปตามเสียงเพลงนั้น
จึงเคลื่อนตัวเข้าไปนอนฟังอยู่บนหาดทรายชายฝั่ง แล้วก็ชะเง้อมองหาต้นเสียง จึงพบว่าผู้ที่เป่าปี่นั้นเป็นมานพหนุ่มน้อยรูปงามผู้หนึ่ง
นั่งอยู่ที่ใต้ร่มไทรใบหนา มีผู้ฟังนอนหลับใหลไม่เป็นสมประดีอยู่ใกล้ ๆ กับผู้บรรเลงเพลงปี่ที่แสนเสนาะนั้นอีกสี่คน นางยักษ์ก็คิดว่า
ทั้งทรวดทรงองค์เอวก็อ้อนแอ้น
เป็นหนุ่มแน่นน่าชมประสมสอง
แม้นได้กันกับกูเป็นคู่ครอง
จะประคองกอดแอบไว้แนบเนื้อ
น้อยหรือแก้มซ้ายขวาก็น่าจูบ
ช่างสมรูปนี่กระไรวิไลเหลือ
ทั้งลมปากเป่าปี่ไม่มีเครือ
นางผีเสื้อตาดูทั้งหูฟัง ฯ
นางผีเสื้อยิ่งฟังก็ยิ่งรัญจวนใจ คลั่งใคล้ใหลหลงถึงขนาดที่ว่า
ยิ่งปั่นป่วนรวนเรเสน่ห์รัก
สุดจะหักวิญญาณ์เหมือนบ้าหลัง
อุดตลุดผุดทะะลึ่งขึ้นตึงตัง
ด้วยกำลังโลดโผนโจนกระโจม
ชุลมุนหมุนกลมดังลมพัด
กอดกระหวัดอุ้มองค์พระทรงโฉม
กลับกระโดดลงน้ำเสียงต้ำโครม
กระทุ่มโถมถีบดำไปถ้ำทอง ฯ
หนุ่มน้อยที่ถูกนางผีเสื้อสมุทร ลักพาตัวไปนั้น ก็คือ พระอภัยมณี โอรสของ ท้าวสุทัศน์ กษัตริย์แห่งเมืองรัตนา อายุเพียงสิบห้าปี
มีน้องชายชื่อ ศรีสุวรรณ อายุได้สิบสามปี พระบิดาส่งสองพี่น้องให้ไปเรียนวิชาหาความรู้ จากทิศาปาโมกข์ ที่บ้านจินตคามเป็นเวลาปีครึ่ง
พระอภัยมณีก็สำเร็จวิชาดนตรีการเป่าปี่ชั้นสูง ได้รับปี่หนึ่งเลาเป็นรางวัล ซึ่งอาจารย์ได้รับรองความรู้ไว้ดังนี้
ถ้าแม้นว่าข้าศึกมันโจมจับ
จะรบรับสาระพัดให้ขัดสน
เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคน
ด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ
คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส
เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร
ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณ
จึงคิดอ่านเอาชัยเหมือนใจจง ฯ
ส่วนศรีสุวรรณน้องชายนั้น ก็จบหลักสูตรการรบด้วยกระบอง และได้รับกระบองทำด้วยเหล็กอย่างดีเป็นรางวัลเหมือนกัน
แต่เมื่อสองพี่น้องกลับไปถึงบ้านเมืองแล้ว ก็ถูกพระบิดากริ้วโกรธ หาว่าเรียนวิชาที่ไม่เหมาะสมสำหรับพระราชโอรสของกษัตริย์
ที่จะสืบราชสมบัติต่อไปจึงขับล่ออกจากเมือง ทั้งสองจึงต้องออกเดินดงไปโดยไม่รู้จุดหมายเหนื่อยนักก็ลงนั่งหารือกัน
อันตัวเราพี่น้องทั้งสองนี้
ไม่มีที่พึ่งใครในไพรสัณฑ์
ทั้งโภชนาอาหารกันดารครัน
ยังนับวันก็แต่กายจะวายปราณ
พระอนุชาว่าพี่นี้ขี้ขลาด
เป็นชายชาติช้างงาไม่กล้าหาญ
แม้นชีวันยังไม่บรรลัยลาญ
ก็เซซานซอกซอนสัญจรไป
เผื่อพานพบบ้านเมืองที่ไหนมั่ง
พอประทังกายาอยู่อาศัย
มีความรู่อยู่กับตัวกลัวอะไร
ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี ฯ
แล้วต่างก็เปลี่ยนเครื่องทรงอย่างลูกกษัตริย์ ให้เหมือนกับชาวบ้านทั่วไป จนมาพบพราหมณ์สามคน อยู่บ้านอินทคามจึงคบกันเป็นเพื่อน
เพราะพราหมณ์ทั้งสามนั้นก็เพิ่งเรียนวิทยายุทธจบหลักสูตรมาใหม่เอี่ยมเหมือนกัน
คนที่ชื่อ โมรา นั้นมีความสามารถเอาฟางมาผูกให้เป็นสำเภา แล่นได้ทั้งบนดินและในน้ำ
คนที่ชื่อ สานน มีความรู้เรียกลมเรียกฝนได้ตามต้องการ
คนที่ชื่อ วิเชียร เป็นผู้ขมังธนูชนิดพิเศษ ยิงได้ทีละเจ็ดลูก
ทั้งสามพราหมณ์ก็ชื่นชมกับศรีสุวรรณที่เรียนวิชาอาวุธ
แต่สงสัยว่าพระอภัยมณีที่เรียนวิชาเป่าปี่นั้นจะมีประโยชน์อันใด
พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม
จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข
อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป
ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช
จัตุบาทกลางป่าพนาสิณฑ์
แม้ปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน
ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ
อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา
ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญา
จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง ฯ
ว่าแล้วก็สาธิตการเป่าให้ฟัง จนน้องชายและเพื่อนพราหมณ์ทั้งสามหลับครอกไปหมด แต่นางผีเสื้อสมุทรมีฤทธิ์มากไม่ยอมหลับ
จึงได้เกิดเรื่องลักพาตัวกันขึ้นมาในคราวนี้
ครั้นนางผีเสื้อพาพระอภัยเข้ามาถึงถ้ำที่อยู่อาศัย ซึ่งคงจะเป็นเกาะที่อยู่ห่างไกลจากฝั่งมาก นางก็วางพระอภัยลงบนแท่นศิลาในถ้ำ
แล้วก็นั่งชมโฉมโสมนัสไปตามประสา ผู้ที่คลั่งไคล้ใหลหลงในตัวศิลปินรูปงามทั้งหลาย แต่ด้วยร่างกายอันใหญ่โตทั้งหน้าตาก็น่ากลัว
แบบยักษ์ทั่วไปของนางผีเสื้อนั่นเอง จึงทำให้พระอภัยถึงกับลมจับ สลบสิ้นสติไป นางจึงต้องคิดการแก้ไข ให้พระอภัยมณีหายกลัวให้ได้
จำจะแสร้งแปลงร่างเป็นนางมนุษย์
ให้ผาดผุดทรวดทรงส่งสัณฐาน
เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมลาน
จะเกี้ยวพานรักใคร่ดังใจจง
แล้วอ่านเวทเพศยักษ์ก็สูญหาย
สกนธ์กายดังกินนรนวลหง
เอาธารามาชโลมพระโฉมยง
เข้าแอบองค์นวดฟั้นคั้นประคอง ฯ
แม้เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมา ได้เห็นรูปร่างนางเนรมิตรที่สวยไปสิ้น ทั้งรูปทรงองค์เอว แต่พระอภัยก็รู้อยู่เต็มอก ว่านางนี้ที่แท้ก็เป็นยักษ์
จึงไม่ยอมเล่นบทพิศวาสด้วย แม้นางผีเสื้อจะอ้อนวอนโอ้โลมปฏิโลม และอดทนต่อคำด่าว่าเสียดสีของพระอภัยสักเพียงใดก็ตาม
แต่เมื่อนางยักษ์ทนดื้อด้านไปนานเข้า พระอภัยก็ชักจะใจอ่อนลง เพราะไม่มีหนทางที่จะหนีไปไหนได้ จำใจต้องทำดีไว้ก่อน
จึงว่านางเป็นยักษ์กินคน ต่อไปภายหน้าถ้าโกรธเคืองขึ้นมาก็กลัวว่าจะจับกินเสีย นางผีเสื้อก็สัญญาว่า จะไม่ทำอย่างนั้นเป็นอันขาด
จนสุดสิ้นดินฟ้าสุธาทวีป
ไม่สิ้นชีพไม่เสื่อมสโมสร
พอให้สัตย์เสร็จคำทำฉะอ้อน
ระทวยอ่อนเอนทับลงกับเพลา ฯ
พระอภัยเจอบทนี้เข้าก็ทำใจแข็งอยู่ไม่ไหว ต้องปล่อยเลยตามเลย ให้เหตุการณ์มันดำเนินไปตามเวรตามกรรม
พระฟังคำจำจิตพิศวาส
ฝืนอารมณ์สมพาสทั้งโศกเศร้า
การโลกีย์ดีชั่วย่อมมัวเมา
เหมือนอดข้าวกินมันกันเสบียง ฯ
แล้วพระอภัยมณีก็ต้องอยู่กับนางผีเสื้อด้วยความจำใจเรื่อยมาอย่างชนิดที่เรียกว่าเต็มกลืน ทั้งนี้ก็เพราะ
สมพาสยักษ์รักร่วมภิรมย์สม
เหมือนเด็ดดอกหญ้าดมพอได้กลิ่น
เป็นวิสัยในภพธรณินทร์
ไม่สุดสิ้นสิ่งเสน่ห์ประเวณี ฯ
พระอภัยมณีได้อยู่กับนางผีเสื้อ เพราะไม่รู้จะหนีไปทางไหน จนกระทั่งเวลาได้ล่วงไปร่วมเก้าปี
นางผีเสื้อนั้นก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง มีหน้าตาเหมือนพระอภัย ดวงตาแดงดังแสงอาทิตย์
มีกำลังดังช้างพลาย มีเขี้ยวคล้ายกับมารดา
พระบิตุรงค์ทรงศักดิ์ก็รักใคร่
ด้วยเนื้อไขมิได้คิดริษยา
เฝ้าเลี้ยงลูกผูกเปลแล้วเห่ช้า
จนใหญ่กล้าอายุได้แปดปี
จึงให้นามตามอย่างข้างมนุษย์
ชื่อ สินสมุท กุมารชาญชัยศรี
ธำมรงค์ทรงมาค่าบุรี
พระภูมีถอดผูกให้ลูกยา ฯ
จากนั้นพระอภัยก็สั่งสอน ศิลปวิทยาการต่าง ๆ รวมทั้งวิชาเป่าปี่ด้วย จนสินสมุทมีความรู้ความสามารถ
นอกเหนือไปจากความแข็งแรงอดทนผิดมนุษย์ ว่ายน้ำและดำน้ำได้อย่างปลาตามเผ่าพันธุ์ของมารดา
แต่ทั้งสองพ่อลูกก็ต้องอยู่ภายในถ้ำเท่านั้น เพราะเมื่อถึงเวลาออกหากิน นางผีเสื้อก็จะเอาหินปิดปากถ้ำไว้
แล้วแปลงกายกลับเป็นยักษ์ จับสัตว์ในท้องทะเลกินเป็นอาหารจนอิ่มแล้ว ก็จะกลับมาแปลงเป็นนางมนุษย์
เที่ยวเก็บผลไม้ในป่าเอามาฝากลูกผัวเป็นประจำวัน
พระอภัยมณีกับสินสมุทก็เลยไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันมาร่วมสิบปี และคงจะต้องอยู่อย่างนี้ต่อไป อีกนานสักเท่าใดก็ไม่ทราบ.
########
จากบล็อกของ เจียวต้าย
๒๕๔๙