สวัสดีทุกๆคน จริงๆก็คงมีคนเขียนรีวิวการไปเที่ยวเขาช้างเผือกมาหลายคนแล้วแหละ แต่ถึงยังไง เราก็จะเขียนใหม่ 5555
ครั้งแรกที่เราเห็นรูปเขาช้างเผือก แล้วไม่ได้อ่านรายละเอียด ในหัวนี่นึกว่าเป็นเมืองนอก แต่พออ่านว่าอยู่ไหน อ้าว! เมืองไทย!! งี้ไม่ไปไม่ได้สิ
จากนั้นเราก็นั่งหาข้อมูลอ่านไปเรื่อยๆ ก็ทนไม่ไหวแล้ว งานนี้มันต้องจัด เลยจัดหาวันว่าง โชคดีที่อาจารย์ยกเลิกคลาสเรียน ว่าง3วันพอดี เราเลยรอวันโทรไปจองขึ้นเขา
สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเกี่ยวกับเขาช้างเผือกที่ไหนมาเลย
เขาช้างเผือกเป็นยอดเขาสูงสุดของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี มีความสูง 1,249 เมตรจากระดับน้ำทะเล โดยที่จะต้องเดินข้ามเขาเกือบ10ลูก ระยะทาง 8กม. เพื่อไปถึงจุดกางเต้นท์ สันคมมีด และจุดยอดเขา
การจะขึ้นเขาช้างเผือกต้องโทรจองก่อนหน้าจะขึ้น 7วัน สมมติขึ้นวันเสาร์หน้า เราก็ต้องโทรวันเสาร์นี้ จนท.จะเริ่มรับสายตอน8โมง ช่วงท่องเที่ยวนี่ไม่ถึง15นาทีก็เต็มแล้ว ฮ่าๆ โชคดีที่เราไปตอนปลายฤดูกาลท่องเที่ยว รอบนี้เขาเปิดให้ขึ้นได้ถึง 31 ม.ค. 2558 เราไปขึ้น 29 ม.ค.
มีตอนนึงเรานึกว่าจะไม่ได้ไปซะแล้ว เพราะวันที่12ทางอุทยานได้ประกาศปิดเขาช้างเผือกเพราะมีฝนตกทำให้เกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยว
แต่ซักพักก็มาเปิด เรานี่ใจเป็นปลื้มมมมมมมม
ขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับที่พักเล็กน้อย เพราะตอนเราจะไปเราก็ไม่รู้จะพักที่ไหน เรามีลิสต์รายชื่อโฮมสเตย์ที่รู้มาจากเพื่อนที่หมู่บ้าน
1.อีต่องโฮมสเตย์
2.บ้านทานตะวัน
3.Hill House at Pilok
4.สะพานสายหมอก
5.อาร์มโฮมสเตย์
6.บ้านต่อไม้
7.บ้านวนิดา
8.บ้านเกาะแล้ว
เวิ่นมาซักพัก เรามาเริ่มเดินทางกันเลย (จะเล่าตั้งแต่ออกจากกรุงเทพเลยนะ)
เราออกเดินทางในวันที่ 28 ม.ค. เพราะต้องไปค้างก่อนขึ้นเขา 1 วัน (เดินทางจากกทม.-หมู่บ้านอีต่อง ใช้เวลาทั้งหมด ประมาณ 7 ชม.)
เราเลือกเดินทางโดยรถบัสประจำทาง (ไม่ชอบนั่งรถตู้) แล้วต่อรถอีก 2 ต่อ
-เริ่มจากที่สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ ขึ้นรถขนส่งบขส. กทม.-กาญจนบุรี ไป ลงที่ขนส่งกาญจนบุรี
ราคา 100 บาท ออกตั้งแต่ตี5 ไปถึงขนส่งกาญประมาณ 7 โมง อากาศเย็นมาก นี่ขนาดปลายเดือนมกราคมแล้วนะเนี่ย
-จากนั้นเราต้องต่อรถจากกาญเพื่อไปลงที่ตลาดทองผาภูมิ เราก็เลือกรถบัสประจำทางเช่นเดิม ทีนี้เป็นรถพัดลม แต่ก็หนาวจับใจ
ราคา 80 บาท (ถ้าจำไม่ผิด) ใช้เวลาประมาณ3ชม. จนถึงตลาดทองผาภูมิ
-ต่อสุดท้าย รถสองแถว จากตลาดทองผาภูมิ ไปยังหมู่บ้านอีต่อง ราคา 70 บาท มี2รอบ 10.30 และ 12.30
เราไปทันรถรอบ 10.30 ขึ้นรถ 10.25 ขึ้นไปถึงที่หมู่บ้านประมาณเที่ยงๆ โดยรวมประมาณ 2 ชม.
ตอนมาขึ้นรถสองแถว เจอนักท่องเที่ยวกลุ่มนึงก็ขึ้นเขาวันเดียวกัน คุยกันไปมา พักที่เดียวกันด้วย แถมมาจากจุฬา มีคนรู้จักกันอีก โลกนี่กลมมากนะ ฮ่าๆ
คนเสื้อแดงบนนั้นก็เป็นชาวบ้านที่อีต่อง
ทางหน้าตลาดที่รถบัสมาส่ง
โค้งเยอะมาก ขอบอก ฝุ่นทางถนนก็เยอะมากเหมือนกัน หัวฟูกันเลยทีเดียว
เราต้องแวะลงทะเบียนตรงอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิซะก่อน ก่อนหน้าไปลงทะเบียน เราก็ต้องไปจ่ายค่าธรรมเนียมอุทยาน
จำไม่ได้ว่ารวมค่าพื้นที่กางเต้นท์ไปตรงนี้ด้วยรึเปล่า เพราะจ่ายกับเพื่อนคนละ70บาท
แล้วก็เข้าไปจุดบริการนักท่องเที่ยว เพื่อชำระค่าทัดจำจนท.คนละ200 ตอนขากลับเขาจะให้เข้าไปเอาส่วนต่างที่หารกับกรุ๊ปเล็กๆที่เหลือ
(ค่าจนท. 1200บาท/คณะ ถ้ามากันน้อยทางอุทยานจะจับรวมๆกันประมาณ 10 คนเป็น1กลุ่ม แล้วหารกันคืนส่วนต่าง)
เนื่องจากเราเอาเต้นท์เอาถุงนอนมาเองจึงไม่ต้องเช่า
(ราคาสำหรับคนที่เช่า เต้นท์ 250/หลัง, ถุงนอนมี 2 แบบ 30กับ70 70บาท คือแบบซักใหม่ คำบอกจากพี่ๆกรุ๊ปที่เจอบนรถสองแถว)
ระหว่างทางก่อนถึงหมู่บ้าน เราก็ผ่านอีกหมู่บ้านก่อน ชื่อหมู่บ้านอีปู่ จำได้ว่ามีสถานีตำรวจ 555 แล้วจากนั้นอีกซักพักใหญ่ๆก็ถึงหมู่บ้านอีต่อง
อีต่องโฮมสเตย์ (เราไม่ได้พักที่นี่หรอก แต่ที่นี่ก็มีคนแนะนำเหมือนกัน)
เราพักทีนี่ อาร์มโฮมสเตย์ (เห็นในเน็ตหลายคนพูดถึง)
บันไดขึ้นห้องพัก
กรรม ขึ้นมาเจอบันไดอีกชั้น ได้ห้องทาร์ซาน เป็นห้องใต้หลังคา
วิวจากห้องพัก
บอกไว้ก่อนว่าคนที่นี่เขาไม่นอนติดแอร์กันนะ มีแค่พัดลม ถึงเวลาจริงๆก็ใช้แค่กลางวัน ใครขี้หนาวนี่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ กลางคืนหนาวมาก!!
หลังจากที่เราเข้าที่พักเก็บของ เราก็ได้คำแนะนำจากพี่เจ้าของโฮมเสตย์ว่ามีที่เที่ยวที่ไปง่ายๆคือเนินเสาธง กับเนินช้างศึกเพื่อดูพระอาทิตย์ตก แต่เนินช้างศึกต้องขับรถไป เราไม่มีรถเลยจ้างพี่ๆเขาขี่มอไซค์ไปส่งคนละ100บาท
เรานัดพี่เขาไปส่งที่เนินช้างศึกตอน5โมงครึ่ง ก่อนหน้านั้นตอน 4 โมงเราเลยเดินไปเนินเสาธงก่อน
ก่อนหน้าถึงเนินเสาธงก็จะมีพระเจดีย์และวัดเหมืองปิล๊อก ก็เข้าไปสักการะซักหน่อย ขอให้เราปลอดภัยตลอดการเดินทาง
ที่นี่ก็มีโรงเรียนด้วย ชื่อโรงเรียนเพียงหลวง๓
ตอนนั้นในสนามบอลเด็กๆก็เตะบอลอย่างสนุกเลย
เดินมาอีกไม่ไกลเราก็เจอจุดที่ติดกับประเทศเมียนมาร์แล้ว
แล้วเราก็เดินอีกนิ๊ดดดดดดเดียว ถึงเนินเสาธง
วิวฝั่งเมียนมาร์ที่เนินเสาธง
เราอยู่ไม่นานก็เดินกลับมาหาพี่ที่นัดไว้ ก็พากันขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งเรากับเพื่อนที่เนินช้างศึก
รอดูพระอาทิตย์ตก
ลับขอบฟ้าไปแล้ว
ก็โทรเรียกพี่ๆเขามารับไม่งั้นจะมืดมาก พระอาทิตย์ตกปุ๊ปอากาศเย็นเลยทันที ขานั่งรถกลับนี่หนาวมากๆ รู้สึกความเย็นกัดกินผิวหน้า..
กลับมาถึงหมู่บ้านเราก็ทานข้าวเย็นกัน วันนั้นเราทานที่ร้านครัวสุดแดนเพราะเราเจอพี่คนนึงบนรถสองแถวบอกว่าทำงานอยู่ครัวสุดแดน ฮ่าๆ
หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว เราก็กลับไปที่โฮมสเตย์ จัดกระเป๋าสำหรับขึ้นเขาวันต่อไป
ลืมบอกว่าเราเตรียมกระเป๋าเป้ขนาดกลางมาอีกใบ ปกติพกใบแบ็คแพ็คใหญ่มหึมา ใส่มาทั้งของกินบนเขาและถุงนอน
สิ่งของที่เราพกไปขึ้นเขามีแค่เสื้อผ้า1ชุด ไฟฉาย ยากันยุงซึ่งจริงๆไม่ต้องใช้ ทิชชู่เปียก1ซอง หมวก ผ้าผืนเล็ก น้ำขวดเล็ก
(ทิชชู่เปียกที่เหลือ น้ำ ของกิน ถุงนอน เต้นท์ จ้างลูกหาบแบก)
กล้องGopro
ไม้ Selfie
กระเป๋ากล้องใบเล็ก(หิ้วไว้ด้านหน้า)
โทรศัพท์
สายชาร์ตกล้อง
สายชาร์ตโทรศัพท์
แบตสำรอง เราพกแบตโทรศัพท์มาอีกก้อนเลย จะได้ไม่กินแบตสำรองเอาไว้ชาร์ตGopro
แล้ววันขึ้นเขาก็มาถึง เขานัดกัน9โมงที่จุดนัดเพื่อไปขึ้นเขา ข้าวกลางวันเราต้องซื้อขึ้นไปจากร้าน
ในวันนั้นเราไปทานข้าวเช้าที่ร้านเจ๊ณีย์ ให้ข้าวเยอะมาก เราเลยแบ่งเป็นข้าวเที่ยงไปครึ่งนึง
มาดูบรรยากาศตอนเช้ากัน
มีมาถ่ายทำรายการ เจอกันบนที่กางเต้นท์อีกรอบด้วย เป็นพี่ๆมาจากไทยรัฐทีวี ได้สัมภาษณ์ด้วยอ่ะ ฮ่าๆ พี่ๆเขาบอกบนเขาว่าเดินขึ้นแล้วเดินลงเลย เพราะต้องเอาเทปไปออกอากาศวันต่อไป ฟิตสุดแล้วในการเดินครั้งนี้
เนินเสาธงที่เราเดินไปเมื่อวาน
จุดนัดพบ
ทานข้าวเสร็จเราก็มาตรงที่เขานัด พี่ๆที่นอนบ้านพักเดียวกันก็เอาของมาจ้างลูกหาบ ตอนนี้ลูกหาบค่าจ้าง ราคา 1,100บาท/30กิโลกกรัม ทั้งขาไปและกลับ (เห็นตราชั่งมั้ย) ถ้าเกินคิดกิโลละ30บาท แยกขาไปและกลับ เช่นของกินถ้าแบกไปคิดเงิน ขากลับกินหมดแล้วไม่มีแบกก็ไม่คิดเงิน เรากับเพื่อนที่มาด้วยกัน2คน ของน้อยเลยจ้างเป็นกิโลไป ไปกลับรวมแล้ว26กิโล จะได้ไม่ต้องจ้างแบบ 1,100บาท
การเดินทางจนท.จะจัดกลุ่มเล็กๆให้อยู่ด้วยกันประมาณ10คน ต่อ จนท. 1 คน เราก็ได้เดินพร้อมกับพี่ๆที่มาจากจุฬาอีกเช่นเคย
พร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางกันเล้ยย
เริ่มเดินจากหลังหมู่บ้าน
ตั้งแต่จากหลังหมู่บ้าน ก็ขึ้นเขากันเลยทีเดียว แค่เริ่มก็แอบเหนื่อยแล้ว ฮ่าๆ
ระหว่างทางที่เดินก็เจอนักท่องเที่ยวมากมายที่ค้างคืนก่อนเรากำลังเดินลงจากเขา หน้าพวกเค้าเหนื่อยมากๆ แต่ละคนก็จะทักทายบอกนิดเดียวครับ เดินไม่นานก็ถึง แต่หน้าจะอารมณ์ว่าเหนื่อยมากจริงๆ ฮ่าๆ
พอเราเดินผ่านมาพักใหญ่แล้ว เราก็นึกว่ามาไกล ที่ไหนได้ เพิ่งจะถึงที่นี่..
เพิ่งจะถึงจุดทางเข้า เราจะต้องเอาบัตรที่ได้มาจากจุดลงทะเบียนเมื่อวานให้จนท.ตรวจ
จากจุดนั้นเราสามารถมองเห็นเขาช้างเผือกได้ชัดเจน และ ทำให้เรารู้สึกว่าทางข้างหน้ายังมีอีกมากนักที่เราต้องเจอ (เพราะมันไกลมากกกกกกกกกก)
แต่เราก็ไม่ท้อหรอก (ท้อละจะมาทำไมแต่แรก มาเ
[CR] การเดินทางสู่ "เขาช้างเผือก" .. ครั้งหนึ่งในชีวิต
ครั้งแรกที่เราเห็นรูปเขาช้างเผือก แล้วไม่ได้อ่านรายละเอียด ในหัวนี่นึกว่าเป็นเมืองนอก แต่พออ่านว่าอยู่ไหน อ้าว! เมืองไทย!! งี้ไม่ไปไม่ได้สิ
จากนั้นเราก็นั่งหาข้อมูลอ่านไปเรื่อยๆ ก็ทนไม่ไหวแล้ว งานนี้มันต้องจัด เลยจัดหาวันว่าง โชคดีที่อาจารย์ยกเลิกคลาสเรียน ว่าง3วันพอดี เราเลยรอวันโทรไปจองขึ้นเขา
สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเกี่ยวกับเขาช้างเผือกที่ไหนมาเลย
เขาช้างเผือกเป็นยอดเขาสูงสุดของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี มีความสูง 1,249 เมตรจากระดับน้ำทะเล โดยที่จะต้องเดินข้ามเขาเกือบ10ลูก ระยะทาง 8กม. เพื่อไปถึงจุดกางเต้นท์ สันคมมีด และจุดยอดเขา
การจะขึ้นเขาช้างเผือกต้องโทรจองก่อนหน้าจะขึ้น 7วัน สมมติขึ้นวันเสาร์หน้า เราก็ต้องโทรวันเสาร์นี้ จนท.จะเริ่มรับสายตอน8โมง ช่วงท่องเที่ยวนี่ไม่ถึง15นาทีก็เต็มแล้ว ฮ่าๆ โชคดีที่เราไปตอนปลายฤดูกาลท่องเที่ยว รอบนี้เขาเปิดให้ขึ้นได้ถึง 31 ม.ค. 2558 เราไปขึ้น 29 ม.ค.
มีตอนนึงเรานึกว่าจะไม่ได้ไปซะแล้ว เพราะวันที่12ทางอุทยานได้ประกาศปิดเขาช้างเผือกเพราะมีฝนตกทำให้เกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยว
แต่ซักพักก็มาเปิด เรานี่ใจเป็นปลื้มมมมมมมม
ขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับที่พักเล็กน้อย เพราะตอนเราจะไปเราก็ไม่รู้จะพักที่ไหน เรามีลิสต์รายชื่อโฮมสเตย์ที่รู้มาจากเพื่อนที่หมู่บ้าน
1.อีต่องโฮมสเตย์
2.บ้านทานตะวัน
3.Hill House at Pilok
4.สะพานสายหมอก
5.อาร์มโฮมสเตย์
6.บ้านต่อไม้
7.บ้านวนิดา
8.บ้านเกาะแล้ว
เวิ่นมาซักพัก เรามาเริ่มเดินทางกันเลย (จะเล่าตั้งแต่ออกจากกรุงเทพเลยนะ)
เราออกเดินทางในวันที่ 28 ม.ค. เพราะต้องไปค้างก่อนขึ้นเขา 1 วัน (เดินทางจากกทม.-หมู่บ้านอีต่อง ใช้เวลาทั้งหมด ประมาณ 7 ชม.)
เราเลือกเดินทางโดยรถบัสประจำทาง (ไม่ชอบนั่งรถตู้) แล้วต่อรถอีก 2 ต่อ
-เริ่มจากที่สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ ขึ้นรถขนส่งบขส. กทม.-กาญจนบุรี ไป ลงที่ขนส่งกาญจนบุรี
ราคา 100 บาท ออกตั้งแต่ตี5 ไปถึงขนส่งกาญประมาณ 7 โมง อากาศเย็นมาก นี่ขนาดปลายเดือนมกราคมแล้วนะเนี่ย
-จากนั้นเราต้องต่อรถจากกาญเพื่อไปลงที่ตลาดทองผาภูมิ เราก็เลือกรถบัสประจำทางเช่นเดิม ทีนี้เป็นรถพัดลม แต่ก็หนาวจับใจ
ราคา 80 บาท (ถ้าจำไม่ผิด) ใช้เวลาประมาณ3ชม. จนถึงตลาดทองผาภูมิ
-ต่อสุดท้าย รถสองแถว จากตลาดทองผาภูมิ ไปยังหมู่บ้านอีต่อง ราคา 70 บาท มี2รอบ 10.30 และ 12.30
เราไปทันรถรอบ 10.30 ขึ้นรถ 10.25 ขึ้นไปถึงที่หมู่บ้านประมาณเที่ยงๆ โดยรวมประมาณ 2 ชม.
ตอนมาขึ้นรถสองแถว เจอนักท่องเที่ยวกลุ่มนึงก็ขึ้นเขาวันเดียวกัน คุยกันไปมา พักที่เดียวกันด้วย แถมมาจากจุฬา มีคนรู้จักกันอีก โลกนี่กลมมากนะ ฮ่าๆ
คนเสื้อแดงบนนั้นก็เป็นชาวบ้านที่อีต่อง
ทางหน้าตลาดที่รถบัสมาส่ง
โค้งเยอะมาก ขอบอก ฝุ่นทางถนนก็เยอะมากเหมือนกัน หัวฟูกันเลยทีเดียว
เราต้องแวะลงทะเบียนตรงอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิซะก่อน ก่อนหน้าไปลงทะเบียน เราก็ต้องไปจ่ายค่าธรรมเนียมอุทยาน
จำไม่ได้ว่ารวมค่าพื้นที่กางเต้นท์ไปตรงนี้ด้วยรึเปล่า เพราะจ่ายกับเพื่อนคนละ70บาท
แล้วก็เข้าไปจุดบริการนักท่องเที่ยว เพื่อชำระค่าทัดจำจนท.คนละ200 ตอนขากลับเขาจะให้เข้าไปเอาส่วนต่างที่หารกับกรุ๊ปเล็กๆที่เหลือ
(ค่าจนท. 1200บาท/คณะ ถ้ามากันน้อยทางอุทยานจะจับรวมๆกันประมาณ 10 คนเป็น1กลุ่ม แล้วหารกันคืนส่วนต่าง)
เนื่องจากเราเอาเต้นท์เอาถุงนอนมาเองจึงไม่ต้องเช่า
(ราคาสำหรับคนที่เช่า เต้นท์ 250/หลัง, ถุงนอนมี 2 แบบ 30กับ70 70บาท คือแบบซักใหม่ คำบอกจากพี่ๆกรุ๊ปที่เจอบนรถสองแถว)
ระหว่างทางก่อนถึงหมู่บ้าน เราก็ผ่านอีกหมู่บ้านก่อน ชื่อหมู่บ้านอีปู่ จำได้ว่ามีสถานีตำรวจ 555 แล้วจากนั้นอีกซักพักใหญ่ๆก็ถึงหมู่บ้านอีต่อง
อีต่องโฮมสเตย์ (เราไม่ได้พักที่นี่หรอก แต่ที่นี่ก็มีคนแนะนำเหมือนกัน)
เราพักทีนี่ อาร์มโฮมสเตย์ (เห็นในเน็ตหลายคนพูดถึง)
บันไดขึ้นห้องพัก
กรรม ขึ้นมาเจอบันไดอีกชั้น ได้ห้องทาร์ซาน เป็นห้องใต้หลังคา
วิวจากห้องพัก
บอกไว้ก่อนว่าคนที่นี่เขาไม่นอนติดแอร์กันนะ มีแค่พัดลม ถึงเวลาจริงๆก็ใช้แค่กลางวัน ใครขี้หนาวนี่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ กลางคืนหนาวมาก!!
หลังจากที่เราเข้าที่พักเก็บของ เราก็ได้คำแนะนำจากพี่เจ้าของโฮมเสตย์ว่ามีที่เที่ยวที่ไปง่ายๆคือเนินเสาธง กับเนินช้างศึกเพื่อดูพระอาทิตย์ตก แต่เนินช้างศึกต้องขับรถไป เราไม่มีรถเลยจ้างพี่ๆเขาขี่มอไซค์ไปส่งคนละ100บาท
เรานัดพี่เขาไปส่งที่เนินช้างศึกตอน5โมงครึ่ง ก่อนหน้านั้นตอน 4 โมงเราเลยเดินไปเนินเสาธงก่อน
ก่อนหน้าถึงเนินเสาธงก็จะมีพระเจดีย์และวัดเหมืองปิล๊อก ก็เข้าไปสักการะซักหน่อย ขอให้เราปลอดภัยตลอดการเดินทาง
ที่นี่ก็มีโรงเรียนด้วย ชื่อโรงเรียนเพียงหลวง๓
ตอนนั้นในสนามบอลเด็กๆก็เตะบอลอย่างสนุกเลย
เดินมาอีกไม่ไกลเราก็เจอจุดที่ติดกับประเทศเมียนมาร์แล้ว
แล้วเราก็เดินอีกนิ๊ดดดดดดเดียว ถึงเนินเสาธง
วิวฝั่งเมียนมาร์ที่เนินเสาธง
เราอยู่ไม่นานก็เดินกลับมาหาพี่ที่นัดไว้ ก็พากันขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งเรากับเพื่อนที่เนินช้างศึก
รอดูพระอาทิตย์ตก
ลับขอบฟ้าไปแล้ว
ก็โทรเรียกพี่ๆเขามารับไม่งั้นจะมืดมาก พระอาทิตย์ตกปุ๊ปอากาศเย็นเลยทันที ขานั่งรถกลับนี่หนาวมากๆ รู้สึกความเย็นกัดกินผิวหน้า..
กลับมาถึงหมู่บ้านเราก็ทานข้าวเย็นกัน วันนั้นเราทานที่ร้านครัวสุดแดนเพราะเราเจอพี่คนนึงบนรถสองแถวบอกว่าทำงานอยู่ครัวสุดแดน ฮ่าๆ
หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว เราก็กลับไปที่โฮมสเตย์ จัดกระเป๋าสำหรับขึ้นเขาวันต่อไป
ลืมบอกว่าเราเตรียมกระเป๋าเป้ขนาดกลางมาอีกใบ ปกติพกใบแบ็คแพ็คใหญ่มหึมา ใส่มาทั้งของกินบนเขาและถุงนอน
สิ่งของที่เราพกไปขึ้นเขามีแค่เสื้อผ้า1ชุด ไฟฉาย ยากันยุงซึ่งจริงๆไม่ต้องใช้ ทิชชู่เปียก1ซอง หมวก ผ้าผืนเล็ก น้ำขวดเล็ก
(ทิชชู่เปียกที่เหลือ น้ำ ของกิน ถุงนอน เต้นท์ จ้างลูกหาบแบก)
กล้องGopro
ไม้ Selfie
กระเป๋ากล้องใบเล็ก(หิ้วไว้ด้านหน้า)
โทรศัพท์
สายชาร์ตกล้อง
สายชาร์ตโทรศัพท์
แบตสำรอง เราพกแบตโทรศัพท์มาอีกก้อนเลย จะได้ไม่กินแบตสำรองเอาไว้ชาร์ตGopro
แล้ววันขึ้นเขาก็มาถึง เขานัดกัน9โมงที่จุดนัดเพื่อไปขึ้นเขา ข้าวกลางวันเราต้องซื้อขึ้นไปจากร้าน
ในวันนั้นเราไปทานข้าวเช้าที่ร้านเจ๊ณีย์ ให้ข้าวเยอะมาก เราเลยแบ่งเป็นข้าวเที่ยงไปครึ่งนึง
มาดูบรรยากาศตอนเช้ากัน
มีมาถ่ายทำรายการ เจอกันบนที่กางเต้นท์อีกรอบด้วย เป็นพี่ๆมาจากไทยรัฐทีวี ได้สัมภาษณ์ด้วยอ่ะ ฮ่าๆ พี่ๆเขาบอกบนเขาว่าเดินขึ้นแล้วเดินลงเลย เพราะต้องเอาเทปไปออกอากาศวันต่อไป ฟิตสุดแล้วในการเดินครั้งนี้
เนินเสาธงที่เราเดินไปเมื่อวาน
จุดนัดพบ
ทานข้าวเสร็จเราก็มาตรงที่เขานัด พี่ๆที่นอนบ้านพักเดียวกันก็เอาของมาจ้างลูกหาบ ตอนนี้ลูกหาบค่าจ้าง ราคา 1,100บาท/30กิโลกกรัม ทั้งขาไปและกลับ (เห็นตราชั่งมั้ย) ถ้าเกินคิดกิโลละ30บาท แยกขาไปและกลับ เช่นของกินถ้าแบกไปคิดเงิน ขากลับกินหมดแล้วไม่มีแบกก็ไม่คิดเงิน เรากับเพื่อนที่มาด้วยกัน2คน ของน้อยเลยจ้างเป็นกิโลไป ไปกลับรวมแล้ว26กิโล จะได้ไม่ต้องจ้างแบบ 1,100บาท
การเดินทางจนท.จะจัดกลุ่มเล็กๆให้อยู่ด้วยกันประมาณ10คน ต่อ จนท. 1 คน เราก็ได้เดินพร้อมกับพี่ๆที่มาจากจุฬาอีกเช่นเคย
พร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางกันเล้ยย
เริ่มเดินจากหลังหมู่บ้าน
ตั้งแต่จากหลังหมู่บ้าน ก็ขึ้นเขากันเลยทีเดียว แค่เริ่มก็แอบเหนื่อยแล้ว ฮ่าๆ
ระหว่างทางที่เดินก็เจอนักท่องเที่ยวมากมายที่ค้างคืนก่อนเรากำลังเดินลงจากเขา หน้าพวกเค้าเหนื่อยมากๆ แต่ละคนก็จะทักทายบอกนิดเดียวครับ เดินไม่นานก็ถึง แต่หน้าจะอารมณ์ว่าเหนื่อยมากจริงๆ ฮ่าๆ
พอเราเดินผ่านมาพักใหญ่แล้ว เราก็นึกว่ามาไกล ที่ไหนได้ เพิ่งจะถึงที่นี่..
เพิ่งจะถึงจุดทางเข้า เราจะต้องเอาบัตรที่ได้มาจากจุดลงทะเบียนเมื่อวานให้จนท.ตรวจ
จากจุดนั้นเราสามารถมองเห็นเขาช้างเผือกได้ชัดเจน และ ทำให้เรารู้สึกว่าทางข้างหน้ายังมีอีกมากนักที่เราต้องเจอ (เพราะมันไกลมากกกกกกกกกก)
แต่เราก็ไม่ท้อหรอก (ท้อละจะมาทำไมแต่แรก มาเ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น