"... In 2014, the university was ranked 1st in the world among universities below the age of 50 by Quacquarelli Symonds (QS). ..."
ที่มา: http://www.ntu.edu.sg/AboutNTU/Achievements/Performance/Pages/Scalingnewheightsinacademia.aspx
ในปี 2014 มหาวิทยาลัยหนานหยางได้ถูกจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกที่มีอายุน้อยกว่า 50ปีโดย Quacquarelli Symonds University ranking โดยการจัดอันดับจะมีเกณฑ์อยู่ 6ข้อได้แก่
1. Academic reputation(40%): ทำการสอบถามนักวิชาการสาขาต่างๆว่าที่สถาบันไหนมีผลงานในสาขาของตนดีที่สุด
2. Employer reputation(10%): ทำการสอบถามตามบริษัทผู้ว่าจ้างว่าสถาบันไหนผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพดีที่สุด
3. Student-to-faculty ratio(20%): อัตราส่วนครูต่อนักศึกษา
4. Citations per faculty(20%): จำนวนงานวิจัยที่ถูกนำไปใช้อ้างอิงในงานวิจัยอื่นๆ
5 & 6. International faculty ratio (5%) & international student ratio (5%): สัดส่วนพนักงานและนักศึกษาต่างชาติ
ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ผมได้มีโอกาสไปศึกษาดูงาน(จริงๆ)ที่ประเทศสิงคโปร์เป็นเวลา 3 วัน 2 คืนกับทางมหาวิทยาลัย(ผมเป็นนักศึกษา) ซึ่งตามโปรแกรมผมได้ไปดูโดมพฤกษศาสตร์ที่ Garden by The bay, บริษัท NEWater ที่รีไซเคิลน้ำ, พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหนานหยาง หรือ Nanyang Technological University ซึ่งผมประทับใจที่สุดท้ายนี้มากเลยอยากจะมาแชร์ให้ทุกคนครับ
การมาครั้งนี้เราได้ไปเยี่ยมชม College of Science ของที่นี่โดยพอไปถึงก็ได้ไปเข้าห้องบรรยายจากรองคณบดีเกี่ยวกับประวัติและวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัย
จากนั้นก็เป็นช่วงที่ให้เราได้คุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆกับนักศึกษาของที่นู่และช่วงสุดท้ายซึ่งเป็นช่วงที่อยากจะมาแชร์คือช่วงที่ได้เดินดู Facilitiy ของภาควิชาเคมีของเขา
ห้องแรกที่ได้ไปดูคือห้องแลบสำหรับนักศึกษาป.ตรีปี1-3 ครับโดยในห้องใหญ่มากกก ติดแอร์เย็น
ส่วนตรงกลางมีเครื่องมือ analyte ต่างๆเท่าที่มองเห็นคือ GC, ion chromatogtaphy อย่างละ 4-5เครื่อง (เขาไม่อนุญาตให้เดินเข้าไปดูด้านใน)
ส่วนเครื่องมือ
ทางด้านซ้ายมือเป็นห้อง synthetic lab ในห้องมี fume hood (ตู้ดูดควันสำหรับใทำการทดลอง) ตั้งเรียงกันเป็นสิบๆตู้เลยครับ แต่ละตู้จะมีชื่อแปะไว้สำหรับนักศึกษาใช้ร่วมกันสองคน ข้างในตู้ก็มีอุปกรณ์ต่างๆครบ
synthetic lab for undergrads.
อ.ที่พาเดินทัวร์พูดไว้ว่า นักศึกษาทุกคนจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันต่อสัปดาห์เพื่ออยู่ในห้องแลบนี้ ดังนั้นเขาจึงจะต้องทำที่นี่ให้ comfortable มากที่สุด
ถัดไปเป็น Research Lab คือห้องแลบสำหรับทำวิจัย(ไม่ใช่ไว้เรียนแลบพื้นฐาน) ตรงนี้ที่ผมชอบคือการแบ่งพื้นที่ให้ด้านฝั่งซ้ายมือเป็นโต๊ะทำงาน ส่วนฝั่งขวามือเป็นส่วนทำแลบโดยคั่นด้วยทางเดินกับกระจกใสบานใหญ่ตั้งแต่พื้นถึงเพดานครับ สารมารถนั่งทำงานจิบกาแฟพร้อมดู reaction ไปด้วยได้
สุดท้ายเขาพาลงไปดูห้องเครื่อง NMR (Nuclear Magnetic Resonance) เป็นเครื่องที่ใช้หาโครงสร้างของสารเคมีครับซึ่งไอเครื่องนี้จัดว่าแพงมากกๆ ราคาอยู่ในหลักหลายล้าน ที่คณะผมมีอยู่สองเครื่องแต่ที่นี่ .. เจ็ดเครื่องครับ!
มีเยอะขนาดที่อ.ที่พาชมพูดกับผมว่า actually we can give you one .. if you can take it back.. อื้อหืออ ผมนี่ตึงเลย
นอกจากนี้เครื่อง NMR ที่นี่ยังอนุญาตให้นักศึกษาทุกคนตั้งแต่ปีหนึ่งเข้ามาใช้ได้ด้วยตัวเองครับ ต่างจากคณะผมที่นศ.ป.ตรีแทบไม่มีสิทธิ์เลยครับ จะต้องเรียนป.โทอัพแล้วผ่านการอบรมจนได้ใบอนุญาต เหตุผลตรงนี้ก็อาจจะเป็นด้วยจำนวนเครื่องและงบประมาณที่ต้องใช้ซ่อมหากเครื่องเกิดปัญหาขึ้น
ที่อยากจะเอามาแชร์ในวันนี้ก็ไม่ได้อยากให้เกิดการเปรียบเทียบในแง่ว่าเขาดีเราไม่ดีนะครับ(ในใจแอบอิจฉาเบาๆ) แต่อยากประเทศเราศึกษาแล้วเอากระบวนการของสิงคโปร์เป็นแบบอย่างในการพัฒนา
สิงคโปร์เป็นประเทศที่แทบจะไม่มีทรัพยากรอะไรเลย ไม่มีแหล่งน้ำจืด ไม่มีแหล่งเพาะปลูก ไม่มีแม้แต่ทรัพยากรมนุษย์ แต่สิ่งที่เขาพิเศษคือเขารู้ว่าเขาขาดอะไรแล้วสามารถจะทำให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น
ขาดน้ำก็ซื้อน้ำ เก็บเกี่ยวน้ำฝนให้ได้มากที่สุด รีไซเคิลน้ำใช้แล้วกลับมาให้ได้มากที่สุด, ขาดทรัพยากรมนุษย์ ก็ทำทุกวิถีทางเพื่อดึงดูดคนมีความรู้ความสามารถเข้ามาในประเทศ ทุกนโยบายทุกการวางแผนของประเทศนี้ใช้เวลาเป็นสิบๆปี 30บ้าง50บ้าง
ยกตัวอย่าง Assoc Prof Roderick Wayland Bates, associate chair ของภาควิชาเคมีซึ่งก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ที่อังกฤษ
ผมถามเขาว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้เขามาที่นี่ คำตอบก็คือรัฐบาลที่นี่สนับสนุนให้เขาทำวิจัยได้อย่างเต็มที่ ทั้งเงินสนับสนุน ทั้งเครื่องมืออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ
หรือการให้ทุนนักศึกษาต่างชาติที่ผูกมัดให้ทำงานให้ประเทศสิงคโปร์หลังเรียนจบ
แล้วถามว่าประเทศสิงคโปร์เอาเงินมาจากไหนมากมาย ก็มาจากการเป็นเมืองท่า การลงทุนสร้างสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดเงินเข้ามาเช่น Garden by The Bay, เกาะ Sentosa หรือแม้แต่ Casino ต่างๆ เห็นได้จากการที่คาสิโนพวกนี้เก็บค่าเข้าจากคนสิงคโปร์เองแต่ให้นักท่องเที่ยวเข้าฟรี
เราลองหันกลับมามองประเทศไทย ที่ผ่านแทบจะไม่ได้เห็นการพัฒนาในระยะยาวเลย แต่ละรัฐบาลเข้ามาก็จะมีแต่นโยบายระยะสั้นๆเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ก่อนจะหมดวาระ
การพัฒนาก็เป็นไปอย่างสะเปะสะปะ ทรัพยากรที่มีก็ไม่เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ กลับหันไปหาแนวทางที่ไม่ใช่สิ่งที่เราถนัด
[CR] พาชมภาควิชาเคมี Nanyang Technological University;
ที่มา: http://www.ntu.edu.sg/AboutNTU/Achievements/Performance/Pages/Scalingnewheightsinacademia.aspx
ในปี 2014 มหาวิทยาลัยหนานหยางได้ถูกจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกที่มีอายุน้อยกว่า 50ปีโดย Quacquarelli Symonds University ranking โดยการจัดอันดับจะมีเกณฑ์อยู่ 6ข้อได้แก่
1. Academic reputation(40%): ทำการสอบถามนักวิชาการสาขาต่างๆว่าที่สถาบันไหนมีผลงานในสาขาของตนดีที่สุด
2. Employer reputation(10%): ทำการสอบถามตามบริษัทผู้ว่าจ้างว่าสถาบันไหนผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพดีที่สุด
3. Student-to-faculty ratio(20%): อัตราส่วนครูต่อนักศึกษา
4. Citations per faculty(20%): จำนวนงานวิจัยที่ถูกนำไปใช้อ้างอิงในงานวิจัยอื่นๆ
5 & 6. International faculty ratio (5%) & international student ratio (5%): สัดส่วนพนักงานและนักศึกษาต่างชาติ
ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ผมได้มีโอกาสไปศึกษาดูงาน(จริงๆ)ที่ประเทศสิงคโปร์เป็นเวลา 3 วัน 2 คืนกับทางมหาวิทยาลัย(ผมเป็นนักศึกษา) ซึ่งตามโปรแกรมผมได้ไปดูโดมพฤกษศาสตร์ที่ Garden by The bay, บริษัท NEWater ที่รีไซเคิลน้ำ, พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหนานหยาง หรือ Nanyang Technological University ซึ่งผมประทับใจที่สุดท้ายนี้มากเลยอยากจะมาแชร์ให้ทุกคนครับ
การมาครั้งนี้เราได้ไปเยี่ยมชม College of Science ของที่นี่โดยพอไปถึงก็ได้ไปเข้าห้องบรรยายจากรองคณบดีเกี่ยวกับประวัติและวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัย
จากนั้นก็เป็นช่วงที่ให้เราได้คุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆกับนักศึกษาของที่นู่และช่วงสุดท้ายซึ่งเป็นช่วงที่อยากจะมาแชร์คือช่วงที่ได้เดินดู Facilitiy ของภาควิชาเคมีของเขา
ห้องแรกที่ได้ไปดูคือห้องแลบสำหรับนักศึกษาป.ตรีปี1-3 ครับโดยในห้องใหญ่มากกก ติดแอร์เย็น
ส่วนตรงกลางมีเครื่องมือ analyte ต่างๆเท่าที่มองเห็นคือ GC, ion chromatogtaphy อย่างละ 4-5เครื่อง (เขาไม่อนุญาตให้เดินเข้าไปดูด้านใน)
ทางด้านซ้ายมือเป็นห้อง synthetic lab ในห้องมี fume hood (ตู้ดูดควันสำหรับใทำการทดลอง) ตั้งเรียงกันเป็นสิบๆตู้เลยครับ แต่ละตู้จะมีชื่อแปะไว้สำหรับนักศึกษาใช้ร่วมกันสองคน ข้างในตู้ก็มีอุปกรณ์ต่างๆครบ
อ.ที่พาเดินทัวร์พูดไว้ว่า นักศึกษาทุกคนจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันต่อสัปดาห์เพื่ออยู่ในห้องแลบนี้ ดังนั้นเขาจึงจะต้องทำที่นี่ให้ comfortable มากที่สุด
ถัดไปเป็น Research Lab คือห้องแลบสำหรับทำวิจัย(ไม่ใช่ไว้เรียนแลบพื้นฐาน) ตรงนี้ที่ผมชอบคือการแบ่งพื้นที่ให้ด้านฝั่งซ้ายมือเป็นโต๊ะทำงาน ส่วนฝั่งขวามือเป็นส่วนทำแลบโดยคั่นด้วยทางเดินกับกระจกใสบานใหญ่ตั้งแต่พื้นถึงเพดานครับ สารมารถนั่งทำงานจิบกาแฟพร้อมดู reaction ไปด้วยได้
สุดท้ายเขาพาลงไปดูห้องเครื่อง NMR (Nuclear Magnetic Resonance) เป็นเครื่องที่ใช้หาโครงสร้างของสารเคมีครับซึ่งไอเครื่องนี้จัดว่าแพงมากกๆ ราคาอยู่ในหลักหลายล้าน ที่คณะผมมีอยู่สองเครื่องแต่ที่นี่ .. เจ็ดเครื่องครับ!
มีเยอะขนาดที่อ.ที่พาชมพูดกับผมว่า actually we can give you one .. if you can take it back.. อื้อหืออ ผมนี่ตึงเลย
นอกจากนี้เครื่อง NMR ที่นี่ยังอนุญาตให้นักศึกษาทุกคนตั้งแต่ปีหนึ่งเข้ามาใช้ได้ด้วยตัวเองครับ ต่างจากคณะผมที่นศ.ป.ตรีแทบไม่มีสิทธิ์เลยครับ จะต้องเรียนป.โทอัพแล้วผ่านการอบรมจนได้ใบอนุญาต เหตุผลตรงนี้ก็อาจจะเป็นด้วยจำนวนเครื่องและงบประมาณที่ต้องใช้ซ่อมหากเครื่องเกิดปัญหาขึ้น
ที่อยากจะเอามาแชร์ในวันนี้ก็ไม่ได้อยากให้เกิดการเปรียบเทียบในแง่ว่าเขาดีเราไม่ดีนะครับ(ในใจแอบอิจฉาเบาๆ) แต่อยากประเทศเราศึกษาแล้วเอากระบวนการของสิงคโปร์เป็นแบบอย่างในการพัฒนา
สิงคโปร์เป็นประเทศที่แทบจะไม่มีทรัพยากรอะไรเลย ไม่มีแหล่งน้ำจืด ไม่มีแหล่งเพาะปลูก ไม่มีแม้แต่ทรัพยากรมนุษย์ แต่สิ่งที่เขาพิเศษคือเขารู้ว่าเขาขาดอะไรแล้วสามารถจะทำให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น
ขาดน้ำก็ซื้อน้ำ เก็บเกี่ยวน้ำฝนให้ได้มากที่สุด รีไซเคิลน้ำใช้แล้วกลับมาให้ได้มากที่สุด, ขาดทรัพยากรมนุษย์ ก็ทำทุกวิถีทางเพื่อดึงดูดคนมีความรู้ความสามารถเข้ามาในประเทศ ทุกนโยบายทุกการวางแผนของประเทศนี้ใช้เวลาเป็นสิบๆปี 30บ้าง50บ้าง
ยกตัวอย่าง Assoc Prof Roderick Wayland Bates, associate chair ของภาควิชาเคมีซึ่งก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ที่อังกฤษ
ผมถามเขาว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้เขามาที่นี่ คำตอบก็คือรัฐบาลที่นี่สนับสนุนให้เขาทำวิจัยได้อย่างเต็มที่ ทั้งเงินสนับสนุน ทั้งเครื่องมืออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ
หรือการให้ทุนนักศึกษาต่างชาติที่ผูกมัดให้ทำงานให้ประเทศสิงคโปร์หลังเรียนจบ
แล้วถามว่าประเทศสิงคโปร์เอาเงินมาจากไหนมากมาย ก็มาจากการเป็นเมืองท่า การลงทุนสร้างสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดเงินเข้ามาเช่น Garden by The Bay, เกาะ Sentosa หรือแม้แต่ Casino ต่างๆ เห็นได้จากการที่คาสิโนพวกนี้เก็บค่าเข้าจากคนสิงคโปร์เองแต่ให้นักท่องเที่ยวเข้าฟรี
เราลองหันกลับมามองประเทศไทย ที่ผ่านแทบจะไม่ได้เห็นการพัฒนาในระยะยาวเลย แต่ละรัฐบาลเข้ามาก็จะมีแต่นโยบายระยะสั้นๆเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ก่อนจะหมดวาระ
การพัฒนาก็เป็นไปอย่างสะเปะสะปะ ทรัพยากรที่มีก็ไม่เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ กลับหันไปหาแนวทางที่ไม่ใช่สิ่งที่เราถนัด