Kasian Tejapira : ผมเห็นต่างจากรัฐมนตรีดอน ปรมัตถ์วินัยเรื่องนี้นะครับ และอยากอธิบายว่าเพราะเหตุใด
ถ้าเราเข้าใจเสรีภาพในเชิงลบ (negative freedom) คือเสรีภาพของปัจเจกบุคคลที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบโดยไม่ถูกขัดขวางจากภายนอก เช่น เสรีภาพที่จะไปชอปปิ้ง เสรีภาพที่จะเที่ยวเตร่ เสรีภาพที่จะดื่มกินเฮฮาสนุกสนาน เสรีภาพที่จะทำมาค้าขาย เสรีภาพที่จะเดินทางท่องเที่ยว ฯลฯ กฎอัยการศึกก็คงไม่เป็นอุปสรรคสร้างความเดือดร้อนอันใดให้
เสรีภาพเชิงลบจึงไปกันได้กับการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์แบบ Leviathan ในปรัชญาของ Thomas Hobbes, ไปกันได้กับระบอบอำนาจนิยมที่เน้นจำกัดจำเขี่ยเสรีภาพในพื้นที่สาธารณะโดยเฉพาะทางการเมือง ("คิดต่างได้แต่อย่าแสดงออก"), แต่คงไปกันไม่ได้กับระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จแบบคอมมิวนิสต์หรือฟัสซิสต์นาซีที่มุ่งคุมล้วงลึกเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวแบบเบ็ดเสร็จ
แต่ถ้าเราเข้าใจเสรีภาพในเชิงสัมพันธภาพทางอำนาจ (neo-roman conception of freedom) ซึ่งหมายถึงเสรีภาพที่ปลอดพ้นจากการตกอยู่ใต้อำนาจเหนือกว่าโดยพลการของใครอื่นที่เราไม่ได้สมัครใจยินยอม ที่แม้เขาจะไม่ทำอันใดแก่เรา เพราะเราไม่ได้ไปทำอะไรขัดใจผู้มีอำนาจเหนือกว่าดังกล่าว แต่กระนั้นเราก็ตกอยู่ใต้อำนาจดุลพินิจของเขาที่ปกแผ่ครอบงำเหนือเราอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเมตตาละเว้นเราหรือไม่ หรือวันดีคืนดี เกิดเปลี่ยนใจ เขาอาจใช้อำนาจเหนือกว่าที่ปกแผ่อยู่นั้นเข้ามาค้นบ้าน เรียกตัว ห้ามเดินทาง ห้ามชู ๓ นิ้ว ห้ามกินแซนด์วิชในที่สาธารณะ ห้ามอ่านหนังสือบางเล่มในที่แจ้ง ห้ามจัดอภิปรายโดยไม่ขอหรือไม่ได้รับอนุญาต ฯลฯ ได้ทุกเมื่อ.....
หากเข้าใจเสรีภาพในความหมายหลังนี้แล้ว กฎอัยการศึกโดยตัวมันเองก็เป็นความเดือดร้อนชนิดหนึ่ง เพราะเพียงแต่เราตระหนักรู้ว่ามันดำรงปกแผ่เหนือเราอยู่ เราก็ไม่เสรีเต็มร้อยแล้ว และโดยรู้ตัวระวังตัวเกร็งไปทั้งตัว หลายต่อหลายอย่าง อะไรต่อมิอะไรที่เราจะทำหรือไม่ทำ พูดหรือไม่พูด เขียนหรือไม่เขียน แถลงข่าวหรือไม่แถลงข่าว ชูนิ้วหรือไม่ชู กินแซนด์วิชหรือไม่กิน ก็ถูกกำหนดโดยความเกร็งและระวังดังกล่าวให้ตัดสินใจต่างไปจากเดิมแล้ว ในความหมายนี้ เราจึงไม่เสรี.....
*** ที่มา เพจ Kasian Tejapira ขออภัยอาจารย์ที่ตัดชื่อหัวข้อออกเพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของพันทิพย์
เสรีภาพ จ๋า...
Kasian Tejapira : ผมเห็นต่างจากรัฐมนตรีดอน ปรมัตถ์วินัยเรื่องนี้นะครับ และอยากอธิบายว่าเพราะเหตุใด
ถ้าเราเข้าใจเสรีภาพในเชิงลบ (negative freedom) คือเสรีภาพของปัจเจกบุคคลที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบโดยไม่ถูกขัดขวางจากภายนอก เช่น เสรีภาพที่จะไปชอปปิ้ง เสรีภาพที่จะเที่ยวเตร่ เสรีภาพที่จะดื่มกินเฮฮาสนุกสนาน เสรีภาพที่จะทำมาค้าขาย เสรีภาพที่จะเดินทางท่องเที่ยว ฯลฯ กฎอัยการศึกก็คงไม่เป็นอุปสรรคสร้างความเดือดร้อนอันใดให้
เสรีภาพเชิงลบจึงไปกันได้กับการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์แบบ Leviathan ในปรัชญาของ Thomas Hobbes, ไปกันได้กับระบอบอำนาจนิยมที่เน้นจำกัดจำเขี่ยเสรีภาพในพื้นที่สาธารณะโดยเฉพาะทางการเมือง ("คิดต่างได้แต่อย่าแสดงออก"), แต่คงไปกันไม่ได้กับระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จแบบคอมมิวนิสต์หรือฟัสซิสต์นาซีที่มุ่งคุมล้วงลึกเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวแบบเบ็ดเสร็จ
แต่ถ้าเราเข้าใจเสรีภาพในเชิงสัมพันธภาพทางอำนาจ (neo-roman conception of freedom) ซึ่งหมายถึงเสรีภาพที่ปลอดพ้นจากการตกอยู่ใต้อำนาจเหนือกว่าโดยพลการของใครอื่นที่เราไม่ได้สมัครใจยินยอม ที่แม้เขาจะไม่ทำอันใดแก่เรา เพราะเราไม่ได้ไปทำอะไรขัดใจผู้มีอำนาจเหนือกว่าดังกล่าว แต่กระนั้นเราก็ตกอยู่ใต้อำนาจดุลพินิจของเขาที่ปกแผ่ครอบงำเหนือเราอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเมตตาละเว้นเราหรือไม่ หรือวันดีคืนดี เกิดเปลี่ยนใจ เขาอาจใช้อำนาจเหนือกว่าที่ปกแผ่อยู่นั้นเข้ามาค้นบ้าน เรียกตัว ห้ามเดินทาง ห้ามชู ๓ นิ้ว ห้ามกินแซนด์วิชในที่สาธารณะ ห้ามอ่านหนังสือบางเล่มในที่แจ้ง ห้ามจัดอภิปรายโดยไม่ขอหรือไม่ได้รับอนุญาต ฯลฯ ได้ทุกเมื่อ.....
หากเข้าใจเสรีภาพในความหมายหลังนี้แล้ว กฎอัยการศึกโดยตัวมันเองก็เป็นความเดือดร้อนชนิดหนึ่ง เพราะเพียงแต่เราตระหนักรู้ว่ามันดำรงปกแผ่เหนือเราอยู่ เราก็ไม่เสรีเต็มร้อยแล้ว และโดยรู้ตัวระวังตัวเกร็งไปทั้งตัว หลายต่อหลายอย่าง อะไรต่อมิอะไรที่เราจะทำหรือไม่ทำ พูดหรือไม่พูด เขียนหรือไม่เขียน แถลงข่าวหรือไม่แถลงข่าว ชูนิ้วหรือไม่ชู กินแซนด์วิชหรือไม่กิน ก็ถูกกำหนดโดยความเกร็งและระวังดังกล่าวให้ตัดสินใจต่างไปจากเดิมแล้ว ในความหมายนี้ เราจึงไม่เสรี.....
*** ที่มา เพจ Kasian Tejapira ขออภัยอาจารย์ที่ตัดชื่อหัวข้อออกเพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของพันทิพย์