ผมนั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องทึบทึมนี้ สถานการณ์ที่ต้องเผชิญอยู่ยังคงไม่มีความคืบหน้าใดใดแม้แต่น้อย ช่องสี่เหลี่ยมสองช่องที่ผมเคยเข้าใจว่าเป็นจอภาพในตอนแรกนั้นกลับกลายเป็นเพียงรอยขีดตื้นตื้นรูปสี่เหลี่ยมสองรูปบนกำแพงที่ไม่รู้ว่ามีไว้เพื่ออะไร ผมไล่นิ้วไปตามเส้นสายพวกนั้น พยายามคุ้ยแคะมันอยู่พักใหญ่เผื่อว่าพวกมันอาจจะเป็นรอยต่อของช่องที่เปิดออกได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ ผมไม่พบเจออะไรทั้งนั้น
นอกจากสัมผัสที่อบอุ่นสบายแต่น่าสงสัยของห้องนี้ที่ส่งผ่านมาถึงอย่างสม่ำเสมอ
ผมเหลือบตามองสิ่งที่ผมเรียกว่าไดอารีสีแดงซึ่งถูกวางทิ้งไว้บนพื้นข้างกาย มันก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมไม่รู้ว่าจะโผล่ออกมาด้วยการลอยอยู่กลางอากาศอย่างน่าตื่นตาตื่นใจไปทำไม ผมได้ลองพยายามทุกวิธีเท่าที่จะคิดออก แต่ก็ไม่สามารถที่จะพลิกเปิดมันออกได้ ส่วนที่ควรจะเป็นหน้ากระดาษพวกนั้นราวกับถูกบีบอัดจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
หากไม่สามารถเปิดอ่านสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ภายใน มันก็ไม่ต่างอะไรจากอิฐสีแดงก้อนหนึ่งเท่านั้น
ผมนั่งลูบไล้ฝ่ามือไปตามส่วนต่างต่างของร่างกายอย่างลืมตัว รับรู้ถึงการสัมผัสของตัวเอง ผมไม่มีความหิว ไม่กระหาย ไม่รู้สึกอยากขับถ่ายไม่ว่าจะหนักหรือเบา ไม่มีเหงื่อออก และที่ผมยังคงไม่คุ้นชินก็คือการที่ไม่ต้องหายใจ มีเพียงการรับรู้จากสัมผัสทางร่างกายนี้เท่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่
จะว่าไปแล้ว ก็นับเป็นโชคดีอยู่ไม่น้อย ที่ผมไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความหิวกระหาย และการที่ต้องขับถ่าย ผมไม่อยากจินตนาการเลยว่าหากไม่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ผมจะตกอยู่ในสภาพอย่างไร บางทีร่างกายของผมในตอนนี้อาจใกล้เคียงกับภาวะที่เรียกกันว่า อิ่มทิพย์ ของเทพทั้งหลาย เพียงแต่ผมไม่คิดว่าที่นี่จะเป็นสวรรค์ หรืออย่างน้อยมันก็ไม่ใช่สวนสวรรค์สำหรับผม
อันที่จริงแล้วเมื่อไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล ผมก็ควรจะมีความสุขดีมิใช่หรือ น่าเสียดายที่มันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะความรู้อันไม่มีที่มาที่ไปในหัวของผม ทำให้ผมไม่อาจมีความสุขเช่นนั้นได้ ผมต้องติดอยู่ภายในห้องว่างเปล่านี้พร้อมกับคิดว่ามันต้องมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างข้างนอกนั่น ผมทั้งอึดอัด กลัว เบื่อ และอีกมากมาย
ถ้าหากผมสามารถลืมทุกสิ่ง ว่างเปล่า แล้วมีความสุขไปกับภาวะที่ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนใดใดแบบนี้ได้ มันจะดีกว่าหรือไม่
ผมหวนคิดถึงเรื่อง เวลา ขึ้นมาอีกครั้ง มันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คอยรบกวนจิตใจของผม ผมได้ลองพยายามนับตัวเลขภายในใจโดยเริ่มจากหนึ่ง ไปจนถึงตัวเลขจำนวนหลายหลัก หลายครั้ง และหลายรอบ หากการนับตัวเลขแต่ละจำนวนประมาณว่าเท่ากับเวลาหนึ่งวินาที เมื่อหารจำนวนที่ผมนับได้ด้วยหกสิบก็จะเป็นหนึ่งนาที หารด้วยสามพันหกร้อยก็เป็นหนึ่งชั่วโมง หารด้วยแปดหมื่นหกพันสี่ร้อยก็เป็นหนึ่งวัน แล้วหากหารต่อด้วยเจ็ด หรือสามสิบ หรือสามร้อยหกสิบห้า ก็จะกลายเป็นสัปดาห์ เดือน หรือปี
แต่ผมไม่อาจทนนับได้นานขนาดนั้น
ผมยอมแพ้ และล้มเลิกไปเองในที่สุด แต่ไม่ว่าอย่างไรเวลาก็ยังต้องเดินอยู่ใช่หรือไม่ เพราะตัวผม ความคิดของผมต้องดำเนินไปพร้อมกับกรอบของเวลา อย่างน้อยผมก็เชื่อว่าต้องเป็นอย่างนั้น
ยิ่งผ่านไปผ่านไปความเบื่อหน่ายก็ยิ่งบุกรุกเข้ามาภายในตัวของผมมากขึ้นมากขึ้น ผมอ้าปากหาวด้วยความเคยชิน ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเพราะผมไม่ต้องหายใจอีกแล้ว ผมผุดลุกพร้อมกับหยิบไดอารีติดมือขึ้นมาด้วย มองดูมัน ก่อนที่จะโยนขึ้นไปในอากาศ ไม่รู้ว่าผมทำอย่างนั้นทำไม บางทีอาจจะต้องการดูว่ามันจะลอยได้อีกหรือไม่ แต่นั่นเป็นเหตุผลที่ผมมาคิดขึ้นในภายหลัง
ห้องทั้งห้องพลันเกิดการขยับอย่างรุนแรงจนร่างของผมส่ายโงนเงน นับเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งแรกที่ผมสัมผัสได้ ซึ่งทำให้ความรู้สึกปลอดภัยของผมลดลงอย่างฉับพลัน แม้แต่ในห้องนี้ก็ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่เช่นกัน ไดอารีสีแดงเล่มนั้นลอยสูงขึ้นไปอย่างที่ไม่น่าจะเป็น ผมละสายตาจากมันเพื่อพยายามทรงตัวเอาไว้ไม่ให้ล้ม
อะไรบางอย่างสัมผัสเข้ากับด้านบนศีรษะของผม
ยามค่ำ เมืองสีเทา สายฝนที่ตกกระหน่ำ ราวกับเป็นภาพวาดแนวอิมเพรสชันนิสม์ แต่เป็นภาพสามมิติ และสมจริงอย่างที่สุด มีแม้กระทั่งเสียงของสายฝน และกลิ่นชื้นเย็นที่คุ้นเคย ถ้าผมจะไม่ได้สร้างทั้งหมดนั้นขึ้นมาเองเพื่อให้เข้ากันได้กับสิ่งที่เห็น ในม่านฝนแทรกไว้ด้วยร่างเล็กๆ ที่เร่งฝีเท้าพร้อมกับใช้สองมือกอดอก เสื้อผ้าบางที่สวมใส่อยู่แนบลู่ติดกายเผยให้เห็นถึงเค้าลายของชุดชั้นในที่อยู่ด้านใน และเรือนร่างงามสมส่วน ล้อไปกับแสงไฟวับแวมของเมืองอย่างชวนเชิญ เธอยกมือขึ้นปัดผมที่ตกลงมาปิดหน้าไปเหน็บไว้ข้างหูอย่างไม่เป็นผล ซึ่งการทำเช่นนั้นได้เปิดเผยร่องรอยของทรวงอกที่กลมกลึงคู่นั้นให้เห็นเต็มตา
เธอเงยหน้าขึ้นราวกับรับรู้ถึงการจ้องมองของผม สายตาของเราพบกันในชั่วเสี้ยววินาทีนั้น ผมคิดว่าบางทีอาจจะมีสายฟ้าฟาดลงบนยอดตึกใกล้ใกล้พอดี ความรู้สึกบางอย่างที่ผมคุ้นเคย แต่กลับไม่อาจบ่งบอกออกมาแล่นผ่านไปทั่วกายราวกับกระแสไฟฟ้าลัดวงจรก่อนหายไปในบริเวณที่อวัยวะบางอย่างของผมขาดหายไป
ภาพทั้งหมดหายวับ ไดอารีสีแดงหล่นลงบนไหล่ข้างซ้ายของผมก่อนร่วงลงสู่พื้น
ไดอารีสีแดง (สอง) [เรื่องสั้นหลายตอนจบ]
นอกจากสัมผัสที่อบอุ่นสบายแต่น่าสงสัยของห้องนี้ที่ส่งผ่านมาถึงอย่างสม่ำเสมอ
ผมเหลือบตามองสิ่งที่ผมเรียกว่าไดอารีสีแดงซึ่งถูกวางทิ้งไว้บนพื้นข้างกาย มันก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมไม่รู้ว่าจะโผล่ออกมาด้วยการลอยอยู่กลางอากาศอย่างน่าตื่นตาตื่นใจไปทำไม ผมได้ลองพยายามทุกวิธีเท่าที่จะคิดออก แต่ก็ไม่สามารถที่จะพลิกเปิดมันออกได้ ส่วนที่ควรจะเป็นหน้ากระดาษพวกนั้นราวกับถูกบีบอัดจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
หากไม่สามารถเปิดอ่านสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ภายใน มันก็ไม่ต่างอะไรจากอิฐสีแดงก้อนหนึ่งเท่านั้น
ผมนั่งลูบไล้ฝ่ามือไปตามส่วนต่างต่างของร่างกายอย่างลืมตัว รับรู้ถึงการสัมผัสของตัวเอง ผมไม่มีความหิว ไม่กระหาย ไม่รู้สึกอยากขับถ่ายไม่ว่าจะหนักหรือเบา ไม่มีเหงื่อออก และที่ผมยังคงไม่คุ้นชินก็คือการที่ไม่ต้องหายใจ มีเพียงการรับรู้จากสัมผัสทางร่างกายนี้เท่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่
จะว่าไปแล้ว ก็นับเป็นโชคดีอยู่ไม่น้อย ที่ผมไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความหิวกระหาย และการที่ต้องขับถ่าย ผมไม่อยากจินตนาการเลยว่าหากไม่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ผมจะตกอยู่ในสภาพอย่างไร บางทีร่างกายของผมในตอนนี้อาจใกล้เคียงกับภาวะที่เรียกกันว่า อิ่มทิพย์ ของเทพทั้งหลาย เพียงแต่ผมไม่คิดว่าที่นี่จะเป็นสวรรค์ หรืออย่างน้อยมันก็ไม่ใช่สวนสวรรค์สำหรับผม
อันที่จริงแล้วเมื่อไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล ผมก็ควรจะมีความสุขดีมิใช่หรือ น่าเสียดายที่มันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะความรู้อันไม่มีที่มาที่ไปในหัวของผม ทำให้ผมไม่อาจมีความสุขเช่นนั้นได้ ผมต้องติดอยู่ภายในห้องว่างเปล่านี้พร้อมกับคิดว่ามันต้องมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างข้างนอกนั่น ผมทั้งอึดอัด กลัว เบื่อ และอีกมากมาย
ถ้าหากผมสามารถลืมทุกสิ่ง ว่างเปล่า แล้วมีความสุขไปกับภาวะที่ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนใดใดแบบนี้ได้ มันจะดีกว่าหรือไม่
ผมหวนคิดถึงเรื่อง เวลา ขึ้นมาอีกครั้ง มันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คอยรบกวนจิตใจของผม ผมได้ลองพยายามนับตัวเลขภายในใจโดยเริ่มจากหนึ่ง ไปจนถึงตัวเลขจำนวนหลายหลัก หลายครั้ง และหลายรอบ หากการนับตัวเลขแต่ละจำนวนประมาณว่าเท่ากับเวลาหนึ่งวินาที เมื่อหารจำนวนที่ผมนับได้ด้วยหกสิบก็จะเป็นหนึ่งนาที หารด้วยสามพันหกร้อยก็เป็นหนึ่งชั่วโมง หารด้วยแปดหมื่นหกพันสี่ร้อยก็เป็นหนึ่งวัน แล้วหากหารต่อด้วยเจ็ด หรือสามสิบ หรือสามร้อยหกสิบห้า ก็จะกลายเป็นสัปดาห์ เดือน หรือปี
แต่ผมไม่อาจทนนับได้นานขนาดนั้น
ผมยอมแพ้ และล้มเลิกไปเองในที่สุด แต่ไม่ว่าอย่างไรเวลาก็ยังต้องเดินอยู่ใช่หรือไม่ เพราะตัวผม ความคิดของผมต้องดำเนินไปพร้อมกับกรอบของเวลา อย่างน้อยผมก็เชื่อว่าต้องเป็นอย่างนั้น
ยิ่งผ่านไปผ่านไปความเบื่อหน่ายก็ยิ่งบุกรุกเข้ามาภายในตัวของผมมากขึ้นมากขึ้น ผมอ้าปากหาวด้วยความเคยชิน ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเพราะผมไม่ต้องหายใจอีกแล้ว ผมผุดลุกพร้อมกับหยิบไดอารีติดมือขึ้นมาด้วย มองดูมัน ก่อนที่จะโยนขึ้นไปในอากาศ ไม่รู้ว่าผมทำอย่างนั้นทำไม บางทีอาจจะต้องการดูว่ามันจะลอยได้อีกหรือไม่ แต่นั่นเป็นเหตุผลที่ผมมาคิดขึ้นในภายหลัง
ห้องทั้งห้องพลันเกิดการขยับอย่างรุนแรงจนร่างของผมส่ายโงนเงน นับเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งแรกที่ผมสัมผัสได้ ซึ่งทำให้ความรู้สึกปลอดภัยของผมลดลงอย่างฉับพลัน แม้แต่ในห้องนี้ก็ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่เช่นกัน ไดอารีสีแดงเล่มนั้นลอยสูงขึ้นไปอย่างที่ไม่น่าจะเป็น ผมละสายตาจากมันเพื่อพยายามทรงตัวเอาไว้ไม่ให้ล้ม
อะไรบางอย่างสัมผัสเข้ากับด้านบนศีรษะของผม
ยามค่ำ เมืองสีเทา สายฝนที่ตกกระหน่ำ ราวกับเป็นภาพวาดแนวอิมเพรสชันนิสม์ แต่เป็นภาพสามมิติ และสมจริงอย่างที่สุด มีแม้กระทั่งเสียงของสายฝน และกลิ่นชื้นเย็นที่คุ้นเคย ถ้าผมจะไม่ได้สร้างทั้งหมดนั้นขึ้นมาเองเพื่อให้เข้ากันได้กับสิ่งที่เห็น ในม่านฝนแทรกไว้ด้วยร่างเล็กๆ ที่เร่งฝีเท้าพร้อมกับใช้สองมือกอดอก เสื้อผ้าบางที่สวมใส่อยู่แนบลู่ติดกายเผยให้เห็นถึงเค้าลายของชุดชั้นในที่อยู่ด้านใน และเรือนร่างงามสมส่วน ล้อไปกับแสงไฟวับแวมของเมืองอย่างชวนเชิญ เธอยกมือขึ้นปัดผมที่ตกลงมาปิดหน้าไปเหน็บไว้ข้างหูอย่างไม่เป็นผล ซึ่งการทำเช่นนั้นได้เปิดเผยร่องรอยของทรวงอกที่กลมกลึงคู่นั้นให้เห็นเต็มตา
เธอเงยหน้าขึ้นราวกับรับรู้ถึงการจ้องมองของผม สายตาของเราพบกันในชั่วเสี้ยววินาทีนั้น ผมคิดว่าบางทีอาจจะมีสายฟ้าฟาดลงบนยอดตึกใกล้ใกล้พอดี ความรู้สึกบางอย่างที่ผมคุ้นเคย แต่กลับไม่อาจบ่งบอกออกมาแล่นผ่านไปทั่วกายราวกับกระแสไฟฟ้าลัดวงจรก่อนหายไปในบริเวณที่อวัยวะบางอย่างของผมขาดหายไป
ภาพทั้งหมดหายวับ ไดอารีสีแดงหล่นลงบนไหล่ข้างซ้ายของผมก่อนร่วงลงสู่พื้น