ปัจจุบันชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจ ก็จะเชื่อกัน (ผิดๆ) ว่า พระพุทธเจ้าสอนว่า อย่าทำชั่วเพื่อจะได้ไม่ตกนรก (ที่เชื่อกันว่าอยู่ใต้ดิน) แต่สอนให้ทำบุญด้วยการให้ทานด้วยสิ่งของหรือทรัพย์ และรักษาศีล เพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์ (ที่เชื่อกันว่าอยู่บนฟ้า) และ สอนให้ทำสมาธิเจริญปัญญาจะได้หมดกิเลส เพื่อที่จะได้ไม่กลับมาเกิดอีกให้เป็นทุกข์ (คือเชื่อว่านิพพานคือตายแล้วไม่เกิดอีก)
แต่ความจริงก็คือ เรื่องการทำดีแล้วขึ้นสวรรค์, ทำชั่วแล้วตกนรก, หมดกิเลสแล้วตายแล้วไม่กลับเกิดอีกนี้เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ ที่ปอมปนอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนามาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว
ส่วนคำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนนั้น จะสอนเฉพาะเรื่องการแก้ปัญหาที่ใหญ่หลวงที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน ซึ่งปัญหาที่ใหญ่หลวงที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคนก็คือ “ความทุกข์” เพราะความสุขนั้นมันไม่สามารถที่จะตั้งอยู่อย่างถาวรหรือตลอดไปได้ แม้เราจะมีความสุขที่ประณีตอย่างมากมายสักเท่าใด หรือนานสักเท่าใดก็ตาม ไม่ช้าก็เร็ว มันก็ต้องหมดสิ้นไปอย่างแน่นอน แล้วความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นมาแทน
นี่แสดงว่าการมีความสุขนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาที่ใหญ่หลวงที่สุดเรื่องความทุกข์ได้ ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนเฉพาะเรื่องการดับทุกข์ (หรือพ้นทุกข์ ที่เรียกว่า อริยสัจ ๔) เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเรื่องการดับทุกข์ พระพุทธเจ้าจะไม่สอน ซึ่งคำสอนเรื่องการทำดีแล้วได้ขึ้นสวรรค์ ทำชั่วชั่วแล้วตกนรกนั้น ก็มีผู้สอนกันอยู่โดยมากแล้วหรือทุกศาสนาก็มีกันอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่พระพุทธเจ้าจะต้องลดตัวลงมาสอนอีกให้เสียเวลา แต่ถ้ามีคำสอนเรื่องอื่นนอกเหนือจากเรื่องการดับทุกข์ (ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกหรือในตำราของพุทธศาสนา) ก็แสดงว่าไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อกับความจริง เรื่อง คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
แต่ความจริงก็คือ เรื่องการทำดีแล้วขึ้นสวรรค์, ทำชั่วแล้วตกนรก, หมดกิเลสแล้วตายแล้วไม่กลับเกิดอีกนี้เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ ที่ปอมปนอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนามาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว
ส่วนคำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนนั้น จะสอนเฉพาะเรื่องการแก้ปัญหาที่ใหญ่หลวงที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน ซึ่งปัญหาที่ใหญ่หลวงที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคนก็คือ “ความทุกข์” เพราะความสุขนั้นมันไม่สามารถที่จะตั้งอยู่อย่างถาวรหรือตลอดไปได้ แม้เราจะมีความสุขที่ประณีตอย่างมากมายสักเท่าใด หรือนานสักเท่าใดก็ตาม ไม่ช้าก็เร็ว มันก็ต้องหมดสิ้นไปอย่างแน่นอน แล้วความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นมาแทน
นี่แสดงว่าการมีความสุขนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาที่ใหญ่หลวงที่สุดเรื่องความทุกข์ได้ ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนเฉพาะเรื่องการดับทุกข์ (หรือพ้นทุกข์ ที่เรียกว่า อริยสัจ ๔) เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเรื่องการดับทุกข์ พระพุทธเจ้าจะไม่สอน ซึ่งคำสอนเรื่องการทำดีแล้วได้ขึ้นสวรรค์ ทำชั่วชั่วแล้วตกนรกนั้น ก็มีผู้สอนกันอยู่โดยมากแล้วหรือทุกศาสนาก็มีกันอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่พระพุทธเจ้าจะต้องลดตัวลงมาสอนอีกให้เสียเวลา แต่ถ้ามีคำสอนเรื่องอื่นนอกเหนือจากเรื่องการดับทุกข์ (ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกหรือในตำราของพุทธศาสนา) ก็แสดงว่าไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า