การวางแผนจัดสรรการลงทุน และตารางการปรับสมดุล
การวางแผนการลงทุนควรจะรวมถึงการจัดสรรการลงทุนและตารางการปรับสมดุล ตารางควรจะรวมทั้งระดับเป้าหมายของสินทรัพย์ในแต่ละประเภท ระดับต่ำสุด และระดับสูงสุด เพื่อให้สามารถทำการเปลี่ยนแปลงได้ในระดับหนึ่งเพราะการปรับสมดุลทุกครั้งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น รวมถึงค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมหรือภาษีที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย
กระบวนการปรับสมดุล
ในช่วงการสะสมเงินลงทุนนั้น จะมีวิธีการปรับสมดุลอยู่ 2 วิธี วิธีแรกคือ การขายสิ่งที่มีราคาสูงออกไป และซื้อสิ่งที่มีราคาต่ำเข้ามาแทนที่ วิธีที่สองคือการเพิ่มเงินสดใหม่ๆ เข้ามาในการจัดสรรการลงทุนของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่มีระดับต่ำกว่าเป้าหมาย การผสมผสานกลยุทธ์ทั้งสองวิธียังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้อีกด้วย แต่การเพิ่มเงินสดจะเป็นวิธีที่ดีกว่าเกิดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่ำกว่า และยังไม่ก่อให้เกิดภาษีที่เกิดจากกำไรส่วนต่างมูลค่าหุ้นจากการขายสิ่งที่มีราคาสูงออกไปตามวิธีแรกอีกด้วยและในช่วงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ นักลงทุนก็อาจขายสินทรัพย์ที่มีราคาสูงออกไปได้
กลยุทธ์หนึ่งที่ควรจะพิจารณาคือ การกระจายพอร์ตการลงทุนออกไปโดยการใช้เงินสดเพิ่มเข้าไปในการลงทุนเพื่อการปรับสมดุลมากกว่าจะนำผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนเดิมไปลงทุนต่อโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตามคุณควรพิจารณาถึงขนาดของพอร์ตการลงทุนและค่าธรรมเนี่ยมการทำธุรกรรมที่จะเกิดขึ้นด้วย สำหรับนักลงทุนรายย่อยนั้น ค่าธุรกรรมจะยังมีผลอย่างมากซึ่งอาจไม่ใช่เป็นกลยุทธ์ที่ดี และนี่คือคำแนะนำการใช้กระบวนการปรับสมดุล :
จงพิจารณากองทุนที่ให้ผลตอแทนในอนาคตอันใกล้ (เช่น ประโยชน์จากการคืนภาษี โบนัสการขาย หรือได้รับเงินปันผล ) ถ้าการปรับสมดุลทำให้เิกิดภาษีจากกำไรส่วนต่างราคาหุ้นที่ขายออกไปมันอาจจะดีกว่าที่จะรอไว้ก่อน
จงพิจารณาชะลดการปรับสมดุลออกไป ซึ่งในระยะสั้นมักจะก่อให้เกิดส่วนต่างมูลค่าหุ้นจำนวนมาก ขนาดของกำไรที่เกิดขึ้นควรเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาเพราะยิ่งได้กำไรมาก ผลประโยชน์ที่รอคอยซึ่งจะได้รับจากกำไรในระยะยาวก็ยิ่งมาก ซึ่งยังต้องพิจารณาด้วยว่าอีกนานเท่าใดกว่าจะมีเงินทุนก้อนใหม่เพื่อนำไปใช้ปรับสมดุล
ถ้าภาษีส่วนต่างมูลค่าหุ้นเกิดขึ้นจำนวนมาก จงพิจารณาปรับสมดุลเพื่อลดภาษีที่เกิดขึ้นให้ต่ำที่สุด ดีกว่าจะมาปรับปรุงการจัดสรรการลงทุนให้กลับไปสู่ระดับเป้าหมายเดิม
จากนี้ไปเราจะเข้าสู่เรื่องสำคัญมากอีกเรื่องหนึ่งคือ การจัดการภาษี
การจัดการภาษี
กลยุทธ์เพื่อเอาชนะการลงทุนนั้นควรใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้ง แต่การจัดการพอร์ตการลงทึนแบบซื้อขายน้อยครั้งโดยไม่คำนึงถึงภาษีนั้นอาจเป็นสิ่งที่ผิด นักลงทุนจะสามารถปรับปรุงผลตอบแทนหลังภาษีของพอร์ตการลงทุนได้โดยจัดการภาษีล่วงหน้า ดังนั้นการจัดการภาษีจึงต้องเกี่ยวข้องกับการจัดการดังต่อไปนี้ :
จงเลือกประเภทการลงทุนที่สามารถลดภาระภาษีได้สูงสุด
จงพิจารณาขายหุ้นที่มีผลประกอบการขาดทุนมาทั้งปีถ้าผลประโยชน์ทางภาษีที่ได้มากกว่าค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้น และนำเงินจากการขายหุ้นนั้นๆ กลับไปลงทุนอีก (ในสหรัฐอเมริกา ผลขาดทุนจากการขายหุ้นจะนำไปลดหย่อนภาษีได้) ทั้งนี้จะต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นไปตามกฏ wase sale ซึ่งเป็นการกระทำที่ลดหย่อนภาษีไม่ได้ (ในสหรัฐอเมริการ กฏนี้หมายถึงการขายหุ้นอย่างขาดทุนและซื้อหุ้นที่ขายไปกลับมาทั้งหมดภายใน 30 วันเื่พื่อนำผลขาดทุนไปลดภาษี) พอร์ตการลงทุนควรได้รับการตรวจเช็คอยู่เป็นประจำ (อย่างน้อยที่สุดไตรมาสละึครั้ง) เืพื่อพิจารณาว่าถึงเวลาจะขายหุ้นเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แล้วหรือยัง การรอจนถึงสิ้นปีจึงจะจัดการเรื่องภาษีอาจเป็นความผิดพลาด เพราะความสูญเสียอาจอยู่ในช่วงต้นปีและอาจส่งผลครอบคลุมไปไม่ถึงช่วงสิ้นปี
จงขายกองทุนชุดที่มีค่าใช้จ่ายสูงสุดก่อนเพื่อกำไรและก่อให้เกิดความเสียหายสูงสุด ตามกฏหมายในปี 2012 ผู้รับฝากหลักทรัพย์ จะต้องติดตามข้อมูลเหล่านี้และแจ้งให้คุณทราบ
โดยทั่วไป จงอย่าขายกองทุนระยะสั้งเพื่อผลกำไร ให้รอจนกระทั่งผลกำไรดังกล่าวกลายเป็นผลกำไรระยะยาวไปแล้ว จงระลึกเสมอว่าหากการจัดสรรหุ้นของคุณทำได้ดีกว่าเป้าหมายแล้ว คุณอาจจะไม่อยากทำตามคำแนะนำนี้ จงเปรียบเทียบระหว่างความเสี่ยงที่ "มากเกิน" ของการถือครองหุ้น กับผลประโยชน์ทางภาีษีที่จะได้รับในบางกรณีคุณอาจจะต้องยอมขาดทุนจากส่วนต่างมูลค่าหุ้นเสียก่อนจึงจะสามารถได้รับการชดเชยผลขาดทุนเหล่านี้ในภายหลัง
จงซื้อขายในช่วงใกล้กับวันจ่ายเงินปันผล นักลงทุนไม่ควรซื้อจำนวนหุ้นในกองทุนใกล้วันปิดสมุดทะเบียนเพื่อจ่ายเงินปันผล จงระลึกไว้ว่า วันปิดสมุดทะเบียนไม่ใช่วันเดียวกับวันจ่ายเงินปันผลให้ผู้ที่ถือหุ้น วันที่มีสิทธิรับเงินปันผลคือวันที่ชื่อของคุณปรากฏอยู่ในสมุดทะเบียนของบริษัทในฐานะผู้ถือหุ้นที่มีสืทธิรับเงินปันผลแล้ว วันปิดสมุดทะเบียนคือวันถัดจากวันที่มีสิทธิรับเงินปันผลซึ่งมีการจ่ายเงินปันผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ราคากองทุนที่ซื้อขายมักจะตกต่ำลงหลังจากนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของการกระจายพอร์ตการลงทุนที่คาดหวัง คุณจึงไม่ควรพิจารณาซื้อกองทุนภายใน 30-60 วันหลังจากวันปิดสมุดทะเบียนแล้ว
จงซื้อขายในช่วงสิ้นปี กองทุนส่วนใหญ่มักจะกระจายการลงทุนออกมาปีละครั้ง โดยปกติจะทำกันในเดือนธันวาคม กองทุนบางหน่วยอาจจะทำบ่อยครั้งกว่า และบางครั้งพวกเขาก็จะกระจายการลงทุนออกไปเป็นกรณีพิเศษด้วย ลองตรวจสอบดูว่ามีการกระจายการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อทำกำไรตามปกติหรือกำไรระยะสั้งหรือไม่ ถ้าคุณกำลังพิจารณาซื้อกองทุนนั้นๆ ในช่วงที่มันอยู่ระหว่างกระจายการลงทุนอยู่ละก็ คุณควรจะรอจนกว่ากิจกรรมนั้นจะเสร็จสิ้นไปเสียก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงภาระภาษีที่ต้องจ่ายสำหรับกำไรที่ได้รับจากกองทุน ถ้าคุณกำลังพิจารณาขายกองทุน คุณควรจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการขายกองทุนก่อนจะถึงวันสุดท้ายที่มีสิทธิรับเงินปันผล เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้สินทรัพย์สุทธิที่เพิ่มขึ้นกลายเป็นกำไรในระยะยาวและภาษีที่เกิดขึ้นก็เป็นภาษีอัตราต่ำระยะยาวอีกด้วย ถ้าคุณกำลังจะขายกองทุนก้อนใหญ่ออกไปแต่มูลค่าน้อยกว่าภาษีที่คุณจะต้องจ่าย จงพิจารณาขายกองทุนก่อนจะมีการกระจายการลงทุนออกไป ถ้าไม่เช่นนั้น คุณจะต้องจ่ายภาษีจากการกระจายการลงทุนทั้งๆ ที่คุณก็ขาดทุนจากการขายกองทุนนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นจึงควรพิจารณาช่วงเวลาจะซื้อและขายกองทุนอย่างรอบคอบเพื่อคุณจะไม่ต้องมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น
ที่มา
http://www.thaistockvi.com/2014/03/vi_13.html
การวางแผนจัดสรรเงินทุน และตารางการปรับสมดุล
การวางแผนการลงทุนควรจะรวมถึงการจัดสรรการลงทุนและตารางการปรับสมดุล ตารางควรจะรวมทั้งระดับเป้าหมายของสินทรัพย์ในแต่ละประเภท ระดับต่ำสุด และระดับสูงสุด เพื่อให้สามารถทำการเปลี่ยนแปลงได้ในระดับหนึ่งเพราะการปรับสมดุลทุกครั้งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น รวมถึงค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมหรือภาษีที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย
กระบวนการปรับสมดุล
ในช่วงการสะสมเงินลงทุนนั้น จะมีวิธีการปรับสมดุลอยู่ 2 วิธี วิธีแรกคือ การขายสิ่งที่มีราคาสูงออกไป และซื้อสิ่งที่มีราคาต่ำเข้ามาแทนที่ วิธีที่สองคือการเพิ่มเงินสดใหม่ๆ เข้ามาในการจัดสรรการลงทุนของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่มีระดับต่ำกว่าเป้าหมาย การผสมผสานกลยุทธ์ทั้งสองวิธียังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้อีกด้วย แต่การเพิ่มเงินสดจะเป็นวิธีที่ดีกว่าเกิดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่ำกว่า และยังไม่ก่อให้เกิดภาษีที่เกิดจากกำไรส่วนต่างมูลค่าหุ้นจากการขายสิ่งที่มีราคาสูงออกไปตามวิธีแรกอีกด้วยและในช่วงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ นักลงทุนก็อาจขายสินทรัพย์ที่มีราคาสูงออกไปได้
กลยุทธ์หนึ่งที่ควรจะพิจารณาคือ การกระจายพอร์ตการลงทุนออกไปโดยการใช้เงินสดเพิ่มเข้าไปในการลงทุนเพื่อการปรับสมดุลมากกว่าจะนำผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนเดิมไปลงทุนต่อโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตามคุณควรพิจารณาถึงขนาดของพอร์ตการลงทุนและค่าธรรมเนี่ยมการทำธุรกรรมที่จะเกิดขึ้นด้วย สำหรับนักลงทุนรายย่อยนั้น ค่าธุรกรรมจะยังมีผลอย่างมากซึ่งอาจไม่ใช่เป็นกลยุทธ์ที่ดี และนี่คือคำแนะนำการใช้กระบวนการปรับสมดุล :
จงพิจารณากองทุนที่ให้ผลตอแทนในอนาคตอันใกล้ (เช่น ประโยชน์จากการคืนภาษี โบนัสการขาย หรือได้รับเงินปันผล ) ถ้าการปรับสมดุลทำให้เิกิดภาษีจากกำไรส่วนต่างราคาหุ้นที่ขายออกไปมันอาจจะดีกว่าที่จะรอไว้ก่อน
จงพิจารณาชะลดการปรับสมดุลออกไป ซึ่งในระยะสั้นมักจะก่อให้เกิดส่วนต่างมูลค่าหุ้นจำนวนมาก ขนาดของกำไรที่เกิดขึ้นควรเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาเพราะยิ่งได้กำไรมาก ผลประโยชน์ที่รอคอยซึ่งจะได้รับจากกำไรในระยะยาวก็ยิ่งมาก ซึ่งยังต้องพิจารณาด้วยว่าอีกนานเท่าใดกว่าจะมีเงินทุนก้อนใหม่เพื่อนำไปใช้ปรับสมดุล
ถ้าภาษีส่วนต่างมูลค่าหุ้นเกิดขึ้นจำนวนมาก จงพิจารณาปรับสมดุลเพื่อลดภาษีที่เกิดขึ้นให้ต่ำที่สุด ดีกว่าจะมาปรับปรุงการจัดสรรการลงทุนให้กลับไปสู่ระดับเป้าหมายเดิม
จากนี้ไปเราจะเข้าสู่เรื่องสำคัญมากอีกเรื่องหนึ่งคือ การจัดการภาษี
การจัดการภาษี
กลยุทธ์เพื่อเอาชนะการลงทุนนั้นควรใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้ง แต่การจัดการพอร์ตการลงทึนแบบซื้อขายน้อยครั้งโดยไม่คำนึงถึงภาษีนั้นอาจเป็นสิ่งที่ผิด นักลงทุนจะสามารถปรับปรุงผลตอบแทนหลังภาษีของพอร์ตการลงทุนได้โดยจัดการภาษีล่วงหน้า ดังนั้นการจัดการภาษีจึงต้องเกี่ยวข้องกับการจัดการดังต่อไปนี้ :
จงเลือกประเภทการลงทุนที่สามารถลดภาระภาษีได้สูงสุด
จงพิจารณาขายหุ้นที่มีผลประกอบการขาดทุนมาทั้งปีถ้าผลประโยชน์ทางภาษีที่ได้มากกว่าค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้น และนำเงินจากการขายหุ้นนั้นๆ กลับไปลงทุนอีก (ในสหรัฐอเมริกา ผลขาดทุนจากการขายหุ้นจะนำไปลดหย่อนภาษีได้) ทั้งนี้จะต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นไปตามกฏ wase sale ซึ่งเป็นการกระทำที่ลดหย่อนภาษีไม่ได้ (ในสหรัฐอเมริการ กฏนี้หมายถึงการขายหุ้นอย่างขาดทุนและซื้อหุ้นที่ขายไปกลับมาทั้งหมดภายใน 30 วันเื่พื่อนำผลขาดทุนไปลดภาษี) พอร์ตการลงทุนควรได้รับการตรวจเช็คอยู่เป็นประจำ (อย่างน้อยที่สุดไตรมาสละึครั้ง) เืพื่อพิจารณาว่าถึงเวลาจะขายหุ้นเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แล้วหรือยัง การรอจนถึงสิ้นปีจึงจะจัดการเรื่องภาษีอาจเป็นความผิดพลาด เพราะความสูญเสียอาจอยู่ในช่วงต้นปีและอาจส่งผลครอบคลุมไปไม่ถึงช่วงสิ้นปี
จงขายกองทุนชุดที่มีค่าใช้จ่ายสูงสุดก่อนเพื่อกำไรและก่อให้เกิดความเสียหายสูงสุด ตามกฏหมายในปี 2012 ผู้รับฝากหลักทรัพย์ จะต้องติดตามข้อมูลเหล่านี้และแจ้งให้คุณทราบ
โดยทั่วไป จงอย่าขายกองทุนระยะสั้งเพื่อผลกำไร ให้รอจนกระทั่งผลกำไรดังกล่าวกลายเป็นผลกำไรระยะยาวไปแล้ว จงระลึกเสมอว่าหากการจัดสรรหุ้นของคุณทำได้ดีกว่าเป้าหมายแล้ว คุณอาจจะไม่อยากทำตามคำแนะนำนี้ จงเปรียบเทียบระหว่างความเสี่ยงที่ "มากเกิน" ของการถือครองหุ้น กับผลประโยชน์ทางภาีษีที่จะได้รับในบางกรณีคุณอาจจะต้องยอมขาดทุนจากส่วนต่างมูลค่าหุ้นเสียก่อนจึงจะสามารถได้รับการชดเชยผลขาดทุนเหล่านี้ในภายหลัง
จงซื้อขายในช่วงใกล้กับวันจ่ายเงินปันผล นักลงทุนไม่ควรซื้อจำนวนหุ้นในกองทุนใกล้วันปิดสมุดทะเบียนเพื่อจ่ายเงินปันผล จงระลึกไว้ว่า วันปิดสมุดทะเบียนไม่ใช่วันเดียวกับวันจ่ายเงินปันผลให้ผู้ที่ถือหุ้น วันที่มีสิทธิรับเงินปันผลคือวันที่ชื่อของคุณปรากฏอยู่ในสมุดทะเบียนของบริษัทในฐานะผู้ถือหุ้นที่มีสืทธิรับเงินปันผลแล้ว วันปิดสมุดทะเบียนคือวันถัดจากวันที่มีสิทธิรับเงินปันผลซึ่งมีการจ่ายเงินปันผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ราคากองทุนที่ซื้อขายมักจะตกต่ำลงหลังจากนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของการกระจายพอร์ตการลงทุนที่คาดหวัง คุณจึงไม่ควรพิจารณาซื้อกองทุนภายใน 30-60 วันหลังจากวันปิดสมุดทะเบียนแล้ว
จงซื้อขายในช่วงสิ้นปี กองทุนส่วนใหญ่มักจะกระจายการลงทุนออกมาปีละครั้ง โดยปกติจะทำกันในเดือนธันวาคม กองทุนบางหน่วยอาจจะทำบ่อยครั้งกว่า และบางครั้งพวกเขาก็จะกระจายการลงทุนออกไปเป็นกรณีพิเศษด้วย ลองตรวจสอบดูว่ามีการกระจายการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อทำกำไรตามปกติหรือกำไรระยะสั้งหรือไม่ ถ้าคุณกำลังพิจารณาซื้อกองทุนนั้นๆ ในช่วงที่มันอยู่ระหว่างกระจายการลงทุนอยู่ละก็ คุณควรจะรอจนกว่ากิจกรรมนั้นจะเสร็จสิ้นไปเสียก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงภาระภาษีที่ต้องจ่ายสำหรับกำไรที่ได้รับจากกองทุน ถ้าคุณกำลังพิจารณาขายกองทุน คุณควรจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการขายกองทุนก่อนจะถึงวันสุดท้ายที่มีสิทธิรับเงินปันผล เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้สินทรัพย์สุทธิที่เพิ่มขึ้นกลายเป็นกำไรในระยะยาวและภาษีที่เกิดขึ้นก็เป็นภาษีอัตราต่ำระยะยาวอีกด้วย ถ้าคุณกำลังจะขายกองทุนก้อนใหญ่ออกไปแต่มูลค่าน้อยกว่าภาษีที่คุณจะต้องจ่าย จงพิจารณาขายกองทุนก่อนจะมีการกระจายการลงทุนออกไป ถ้าไม่เช่นนั้น คุณจะต้องจ่ายภาษีจากการกระจายการลงทุนทั้งๆ ที่คุณก็ขาดทุนจากการขายกองทุนนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นจึงควรพิจารณาช่วงเวลาจะซื้อและขายกองทุนอย่างรอบคอบเพื่อคุณจะไม่ต้องมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น
ที่มา http://www.thaistockvi.com/2014/03/vi_13.html