นางหิรัญญา สุจินัย รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายในงานสัมมนา “Thailand’s Investment Opportunities on Alternative Energy” จัดโดยบีโอไอร่วมกับอาเซียน โคเรีย เซ็นเตอร์ (เอเคซี) ว่า คณะนักธุรกิจด้านพลังงานทดแทน จากประเทศเกาหลีใต้สนใจศึกษาข้อมูลและลู่ทางการลงทุนด้านพลังงานทดแทนในประเทศไทย โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ โรงไฟฟ้าพลังลม และโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งสอดรับกับนโยบายของบีโอไอ ที่ให้ความสำคัญการลงทุนด้านพลังงานทดแทนในกิจการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด ในกลุ่มเอ 1
ขณะที่โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวมวล ได้รับสิทธิประโยชน์ในกลุ่มเอ 2 ส่วนจากการจับคู่ทางธุรกิจไทย-เกาหลีใต้ คาดว่า จะมีการจัดคู่ธุรกิจมากกว่า 60 คู่ ร่วมกันขยายโอกาสทางการค้า และการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานร่วมกันต่อไป โดยในช่วงที่ผ่านมา นักธุรกิจในกลุ่มพลังงานทดแทนจากเกาหลีใต้ได้เข้ามาลงทุนในไทยบ้างแล้ว เช่น กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะ เงินลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานลม เงินลงทุนกว่า 540 ล้านบาท
นายแฮ มุน ชอง เลขาธิการเอเคซี กล่าวว่า การเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเป็น 25% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศ ทำให้เกาหลีใต้สนใจเข้ามาลงทุน โดยให้ความสนใจการผลิตพลังงานทดแทนจากขยะมากที่สุด เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าในส่วนนี้ยังไม่เติบโตในไทยมากนัก นอกจากนี้ยังสนใจขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเหล็ก และอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล เป็นต้น
นายวรกาญจน์ โกศลพิศิษฐ์กุล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลี กล่าวว่า ในช่วงปี 52-56 มีโครงการจากเกาหลีใต้ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอรวมทั้งสิ้น 235 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 31,148 ล้านบาท การลงทุนส่วนใหญ่กระจายอยู่ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับปีที่ผ่านมามีการลงทุนจากเกาหลีใต้ในไทยถึง 63 โครงการ เงินลงทุนรวม 18,327 ล้านบาท โดยเงินลงทุนเพิ่มขึ้น.
ปล. ถ้ามีบริษัทในตลาด. จับคู่ธุรกิจ ทำธุรกิจด้านพลังงานทดแทนร่วมกันกับนักธุรกิจเกาหลี มีหวังหุ้นตัวนั้น ราคาคงกู่ไม่กลับ ด้วยเพราะนโยบายสนับสนุน การเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเป็น 25% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศ ซึ่งถือว่ามีปริมาณ มหาศาลและยั่งยืนอย่างยิ่ง เดาๆกันๆไปนะครับ คิดเอง อย่าเดินตามข่าว เล่นดักข่าวกันดีกว่า
เล็งตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ เอกชน“แดนกิมจิ”หอบเงินลงทุนในประเทศไทย
นางหิรัญญา สุจินัย รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายในงานสัมมนา “Thailand’s Investment Opportunities on Alternative Energy” จัดโดยบีโอไอร่วมกับอาเซียน โคเรีย เซ็นเตอร์ (เอเคซี) ว่า คณะนักธุรกิจด้านพลังงานทดแทน จากประเทศเกาหลีใต้สนใจศึกษาข้อมูลและลู่ทางการลงทุนด้านพลังงานทดแทนในประเทศไทย โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ โรงไฟฟ้าพลังลม และโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งสอดรับกับนโยบายของบีโอไอ ที่ให้ความสำคัญการลงทุนด้านพลังงานทดแทนในกิจการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด ในกลุ่มเอ 1
ขณะที่โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวมวล ได้รับสิทธิประโยชน์ในกลุ่มเอ 2 ส่วนจากการจับคู่ทางธุรกิจไทย-เกาหลีใต้ คาดว่า จะมีการจัดคู่ธุรกิจมากกว่า 60 คู่ ร่วมกันขยายโอกาสทางการค้า และการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานร่วมกันต่อไป โดยในช่วงที่ผ่านมา นักธุรกิจในกลุ่มพลังงานทดแทนจากเกาหลีใต้ได้เข้ามาลงทุนในไทยบ้างแล้ว เช่น กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะ เงินลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานลม เงินลงทุนกว่า 540 ล้านบาท
นายแฮ มุน ชอง เลขาธิการเอเคซี กล่าวว่า การเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเป็น 25% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศ ทำให้เกาหลีใต้สนใจเข้ามาลงทุน โดยให้ความสนใจการผลิตพลังงานทดแทนจากขยะมากที่สุด เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าในส่วนนี้ยังไม่เติบโตในไทยมากนัก นอกจากนี้ยังสนใจขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเหล็ก และอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล เป็นต้น
นายวรกาญจน์ โกศลพิศิษฐ์กุล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลี กล่าวว่า ในช่วงปี 52-56 มีโครงการจากเกาหลีใต้ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอรวมทั้งสิ้น 235 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 31,148 ล้านบาท การลงทุนส่วนใหญ่กระจายอยู่ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับปีที่ผ่านมามีการลงทุนจากเกาหลีใต้ในไทยถึง 63 โครงการ เงินลงทุนรวม 18,327 ล้านบาท โดยเงินลงทุนเพิ่มขึ้น.
ปล. ถ้ามีบริษัทในตลาด. จับคู่ธุรกิจ ทำธุรกิจด้านพลังงานทดแทนร่วมกันกับนักธุรกิจเกาหลี มีหวังหุ้นตัวนั้น ราคาคงกู่ไม่กลับ ด้วยเพราะนโยบายสนับสนุน การเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเป็น 25% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศ ซึ่งถือว่ามีปริมาณ มหาศาลและยั่งยืนอย่างยิ่ง เดาๆกันๆไปนะครับ คิดเอง อย่าเดินตามข่าว เล่นดักข่าวกันดีกว่า