พี่บูพาทัวร์ ลุยเดี่ยวเที่ยว หลวงพระบาง-วังเวียง-เวียงจันทน์

ทริปนี้ พี่บูพาทัวร์ในต่างแดน กับ สปป.ลาว (ภาคเหนือ) กับสามเมืองใหญ่ หลวงพระบาง-วังเวียง-เวียงจันทน์
ใช้เวลาเดินทางระหว่าง 12-19 มค 2015 ซึ่งเป็นทริปที่เกิดจากอารมณ์เปลี่ยวล้วนๆ เลยตัดสินใจบินเดี่ยว (ก็ได้ว่ะ)
การหาข้อมูลสำหรับการเดินทาง ใช้เวลาแค่ช่วงค่ำของคืนวันก่อนเดินทาง ดังนั้น จึงมีข้อมูลที่เที่ยวแค่ในหลวงพระบางเท่านั้น
ทริปนี้เป็นทริปแรก ที่บินเดี่ยวในต่างแดน แต่เป็นทริปที่ดีมากจริงๆ ได้เดินทางในเส้นทางใหม่ๆ ที่ยังไม่มีใครรีวิวไว้
ได้เจอเพื่อนใหม่หลายคน ได้มีเวลาในการสำรวจตัวเอง และได้ประสบการณ์ดีๆเยอะเลย

เช้ามาก็มีเหตุที่เกือบจะทำให้ทริปล่ม นั่นคือ อาม่าป่วยกระทันหัน กว่าจะเคลียร์ทุกอย่างจบ ก็หมดช่วงเช้าไปเรียบร้อย
โชคดีของจอร์จ (หนที่หนึ่ง) ที่มีตั๋วรถไป อ.เชียงของ ช่วงบ่าย 2 โมง จึงไม่ลังเลที่จะออกเดินทางไปก่อน
ค่าตั๋วรถ เชียงคำ-เชียงของ ของรถเมล์เขียว (Green Bus) = 94 บาท
คิดในใจว่า วันนี้คงได้นอนที่ เชียงของ หรือไม่ก็ ห้วยทราย (ฝั่งลาว) ก่อนหนึ่งคืนแน่ๆเลย แล้วค่อยเดินทางต่อพรุ่งนี้เช้า

โชคดีของจอร์จ (หนที่สอง) พอไปถึงเชียงของประมาณบ่าย 4 โมง ด่านข้ามแดนยังไม่ปิด (ด่านผ่านแดนแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิด)
ความรู้ที่ได้จากคราวนี้ก็คือ ไม่ว่าจะเดินทางไป หลวงพระบาง จากทางเรือ หรือจากทางรถ ก็ต้องไปสแตมป์ Passport ที่ตรงด่านข้ามแดนแห่งใหม่นี้
และถ้าเราจะนั่งเรือจากท่าเรือบั๊ค ของฝั่งเชียงของ ก็ยังต้องสแตมป์ Passport ที่ตรงด่านข้ามแดนแห่งใหม่นี้เช่นเดียวกัน
ผมจึงนั่งรถตุ๊กๆ เหมาไปที่ด่านข้ามแดนใหม่ ราคา 100 บาท/คน มีหนุ่มญี่ปุ่นไปด้วยคนหนึ่ง ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร (แนะนำอย่าเดินไป)
ถึงด่านก็กรอกใบผ่านแดน (แผ่นสีขาวตัวหนังสือสีฟ้า เหมือนบนเครื่องบิน) พร้อมจ่ายค่าผ่านแดน 40 บาท (เขาว่าราคา Overtime)
แล้วก็จ่ายค่ารถรับส่ง จากแดนไทย-ด่านเข้าประเทศลาว อีก 25 บาท (เขาว่าราคา Overtime อีกละ) ระยะทางประมาณ ไม่เกิน 5 กิโลเมตร
จะเข้าแดนลาวก็ต้องกรอกเอกสารเข้าประเทศอีกอันหนึ่ง แล้วจ่ายเงินอีกรอบ ประมาณ 40 บาท
(แนะนำให้แม๊กซ์เย็บติด Passport ไว้เลย เพราะต้องใช้อีกทีในตอนขาออกประเทศ ถ้าทำหายโดนปรับ 80 บาทนะครับ)

จากด่านเข้าประเทศลาว จะมีรถสองแถวมารอรับแล้วไปส่งในเมืองห้วยทราย (เขาเรียก Center) ราคาต่อหัวประมาณ 100 บาทต่อคน
ผมไม่มีข้อมูลอะไรเลยในเมืองห้วยทรายนี้ และยังไม่ได้ที่พักอะไรด้วย มาแบบเบลอมากเลย
โชคดีของจอร์จ (หนที่สาม) ตอนที่รถส่งระหว่างแดนรอคน ผมไปคุยกับคนขับรถว่ามีที่พักแนะนำหรือไม่ มีร้านอาหารอะไรแนะนำมั้ย
ก็ได้คำตอบมาว่า ให้ไปลงที่ เพชรอรุณ แล้วมีร้านอาหารแถวๆนั้น หาไม่ยาก ผมเลยได้เป้าหมายสำหรับคืนแรกนี้

โชคดีของจอร์จ (หนที่สี่) พอไปลงที่ เพชรอรุณ สิ่งที่ผมได้เห็นคือ มันเป็นท่ารถของแขวงบ่อแก้ว สามารถที่จะเดินทางไปแขวงอื่นๆ
เลยจะหาที่แลกเงิน แต่ไปเจอจุดที่แลกเงิน ซึ่งเป็นจุดขายตั๋วเดินรถด้วย และมีรถที่จะไปหลวงพระบางในวันนี้เหลืออยู่รอบหนึ่งพอดี
ผมเลยตัดสินใจซื้อตั๋วรถเดินทางไปหลวงพระบางในคืนนี้เลย ราคา 150 พันกีบ (ประมาณ 600 บาท) ซึ่งเป็นรถ VIP ซะด้วยนะ
และจากการสอบถามพนักงานขายตั๋วรถ เขาบอกว่าถนนเดี๋ยวนี้ค่อนข้างดีมากละ เดินทางไปถึงหลวงพระบางเช้าพรุ่งนี้ ประมาณ 6 โมงเช้า
เลยคิดในใจว่า "โอ้ว! อะไรมันจะโชคดีขนาดนี้ว่ะเนี่ย ไม่ต้องไปหาโรงแรมในห้วยทราย ไม่ต้องไปจองตั๋วเรือ Slow Boat ไม่ต้องใช้เวลาถึง 2 วันในการเดินทาง"

ต้องบอกก่อนว่า ตอนแรกผมคิดว่าจะเดินทางไปหลวงพระบางทางเรือ ซึ่งจากการหาข้อมูลมามันจะมีเรืออยู่ 2 แบบ นั่นคือ
1. Slow Boat >> ใช้เวลาเดินทาง 2 วัน เรือจะออกช่วงเช้า มีสองรอบ ( 9am และ 10am) มันจะต้องไปจอดค้างคืนที่เมืองปากแบ่งก่อนหนึ่งคืน
                         ต้องเช่าโรงแรมนอนเอาเอง และจะเดินทางอีกวันเพื่อไปหลวงพระบาง ... เสียหลายต่อมากวิธีการนี้
                         (ส่วนใหญ่ จาก โรงแรม-ท่ารถ หรือ โรงแรม-ท่าเรือ จะต้องเหมารถสองแถวไปอีกรอบด้วย ราคา 10-20 พันกีบได้)
2. Speed Boat >> ใช้เวลา 6-8 hr ราคาแพงกว่า Slow Boat เขาแนะนำว่ามันอันตราย อาจจะตกน้ำได้

พอรถ VIP ออก ประมาณ 6 โมงเย็น ( รู้ได้โดย มีเสียงเพลงดังขึ้น "จำได้ไหม ตายายยังจำได้ไหม ปู่ย่าจำได้ใช่ไหม สอนหนูอยู่แทบทุกปี" )
ก่อนขึ้นรถเขาจะแจกถุงใหม่ให้ใบหนึ่ง ผมก็คิดว่า เอาแล้วไง ถนนน่าจะไม่ค่อยดี จนเขาต้องแจกถุงสำหรับใส่อ๊วกแน่ๆเลย
แต่ที่ไหนได้ เขาบอกให้ผู้โดยสารทุกคนถอดรองเท้า แล้วเอาใส่ในถุงที่แจกให้ คือว่า บนรถเขาจะปูพื้นด้วยวัสดุคล้ายๆพลาสติกสังเคราะห์ นุ่มๆ ดูสะอาดดี
กลางคืนก็ไม่หนาวเท้าด้วย การเดินทางครั้งนี้ ผมได้เพื่อนใหม่หนึ่งคน เป็นคนลาว นั่งคุยกันนานเลย ก่อนจะง่วงมากจนหลับไป
บนรถ VIP เขาไม่ได้แจกขนม หรือมีหนังให้เราดู เหมือนรถทัวร์เมืองไทย ไม่มีห้องน้ำบนรถ เวลาปวดทั้งหนักและเบา...ก็บอกคนขับ เขาจะแวะจอดข้างทางให้
ฝรั่งตาน้ำข้าว ลงไปเข้าข้างทางกันอุตลุตเลย เห็นแล้วก็ขำมากๆ ผมไม่ได้ลงไปด้วยนะ แต่ที่ท่ารถแต่ละแขวง ก็จะมีห้องน้ำบริการ ค่าเข้า 1-2 พันกีบ
ถนนช่วงแรกๆ เป็นทางทำใหม่ลาดยางมะตอย นิ้งเลย นิ่มตูดมาก พอผ่านไปได้สักสองสามสถานี ก็จะเป็นช่วงค่ำๆพอดี ถนนเริ่มเป็นดินแดง หลุม บ่อ เพียบ ใครปวดห้องน้ำช่วงนี้ น่าจะทรมานน่าดูเชียว ผมนี่ไม่ได้หลับเลยครับการเดินทางวันแรกเนี่ย

พอมาถึงทางรถหลวงพระบาง (ท่ารถสายเหนือ) ต้องนั่งรถเข้าไปที่ตัวเมือง (Center หรือ ตลาดเช้า) ค่ารถสองแถว 20 พันกีบ ระยะทางประมาณ 5-10 กิโลเมตร
ตอนแรกผมก็เดินไปเอง คิดว่าไม่ไกลมาก แต่เราไม่รู้ทาง และถามชาวบ้านแถวนี้ เขาไม่ค่อยบอกทาง แต่กลับบอกให้นั่งรถสองแถวไปเลย เดินไปอีกเป็นชั่วโมง (เขาจะไม่บอกระยะทางเป็นกิโลเมตร แต่จะบอกเป็นเวลาว่าระยะทางไป ใช้เวลาประมาณกี่ชั่วโมง ... ออกแนวฝรั่งบอกทางเลยแฮะ)
เนื่องจากคนเราเขาดูเคเบิ้ลทีวีของไทย ดังนั้นเราพูดภาษาไทยไป เขาฟังเข้าใจนะครับ และเขายินดีกับเงินบาทมากมาย เอาไปใช้ได้เลย
แต่แนะนำให้แลกเป็นใบ 20 บาทไปเยอะๆ เพราะการแลกเงินไทยไปเป็นเงินกีบ ราคามันไม่เท่ากันในแต่ละที่ เราอาจจะขาดทุนได้ (โดนมาแล้วฮะ)

พอไปถึงตลาดเช้า เขาจะเป็นแผงขายพวกขนมปังปิ้งใส่ไส้ต่างๆ (Sanwiches โดยใช้ขนมปังฝรั่งนั่นเอง นึกภาพ Subway ไว้เลยครับ คล้ายๆกัน)
และพวกน้ำผลไม้ปั่น มีกาแฟลาวขายด้วย (กาแฟดำ รสชาติแบบลาวแท้ๆ ไม่เหมือนกาแฟในไทยนะครับ มีเอกลักษณ์ของมันอยู่)
เขาจะขายอย่างเดียวกันอยู่สิบกว่าร้านเลย ราคาขนมปังปิ้งราคา 10-20 พันกีบ แล้วแต่ใส้ที่จะให้เขาใส่ ค่าน้ำประมาณ 10-15 พันกีบ กาแฟลาว 5 พันกีบ
จริงๆแล้ว ตรงตลาดเช้า ก็คือศูนย์กลางเมืองหลวงพระบาง เดินทั่วได้หมด ที่เที่ยวต่างๆไม่ไกลกันมาก

วันแรกนี้ผมไปพักที่ซอยโจมา เป็นย่านที่พักราคาถูก (Economy Hotel) เป็นซอยติดกับไปรษณีย์ลาว และร้านกาแฟโจมา
(กาแฟดังของเมืองลาวเขา มี Wifi แรงดี และที่สำคัญเขาหักกำไร 2% เพื่อพัฒนาชุมชนลาวด้วยนะครับ ร้านก็ออกแนว StarBuck บ้านเราเลย)
ผมเดินจากตลาดเช้าไปยังซอยโจมา แล้วก็กะว่าจะเดินถามเขาเอาว่ามีที่ไหนว่างบ้าง
โชคดีของจอร์จ (หนที่ห้า) โรงแรมพาโชค เขาทักมาพอดีว่า "หาห้องอยู่ก่ะ มีห้องว่างเน้อ เบิ่งพอก่อ" ผมก็ตัดสินใจเอาเลยทันที
เนื่องด้วยวันที่ผมไปถึง เป็นวันอังคาร จึงมีคนเช็คเอ๊าท์ออกพอดี ปกติโรงแรมแถวนี้จะเต็มตลอด ยิ่งมาช่วงวันหยุดยาว หรือ เสาร์อาทิตย์ ไม่ต้องหวังเลย
ราคาต่อคืนอยู่ที่ 500 บาทก็พอรับได้นะครับ ในเมืองหลวงพระบางมีราคาเป็นพันขึ้นสำหรับโรงแรมที่ติดแม่น้ำโขงหรือแม่น้ำคานหรือในย่านไนท์มาเก็ท
ตอนที่ไปดูห้อง ห้องยังไม่ได้เก็บกวาดนะครับ เขาเลยขออนามัยก่อน ผมงงไปแปปนึง ก็เข้าใจได้ว่า อนามัย = ทำความสะอาด นั่นเอง
ซึ่งทำไม่ยากเลย โดยการดึงผ้าห่มให้ตึง เอาขวดน้ำดื่มให้สองอัน สบู่สองก้อน ทิชชู่ 1 อัน เป็นอันเสร็จพิธี ... ฟินเลย บอกตรง 555

ผมนอนที่หลวงพระบาง 2 คืน และวันแรกนี้ก็ขอเช่ารถมอไซด์เขาเลย ราคาประมาณ 120-150 พันกีบ/วัน ต้องใช้ Passport ค้ำไว้ด้วยนะ
นอนเล่นที่ห้องสัก 1-2 ชม ก็เอารถมอไซด์แล้วออกแวนซ์ชมวิวกันเลยครับ อ้อ! ที่เมืองลาวนี่เขาขึ่ชิดขวานะครับ ผมนี่พลาดหลายรอบเลย
แต่ก็ไม่ได้มีอุบัติเหตุอะไร เวลาขี่เพลินๆ ชอบขี่มาทางซ้ายอยู่เรื่อยครับ ระมัดระวังกันด้วยนะครับ
ถ้าไม่อยากขับมอไซด์ สามารถเหมารถสองแถวไปได้นะครับ ราคาไปน้ำตกกวางสี 100 พันกีบ ราคาไปถ้ำปากอู 50 พันกีบ (ราคานี้จองโดยที่พักนะ)
ถ้าไปขึ้นรถเอง ซึ่งมีตรงตลาดเช้า เขาจะคิดไปน้ำตกกวางสี 200 พันกีบนะครับ ... อย่าหลงกลเชียวพี่น้องครับ
ถ้าไปหลายคน เหมารถไปอาจจะถูกกว่านะผมว่า ไปคนเดียวการเดินทางอะไรก็แพงครับ T_T

จากการสอบถามคนในท้องถิ่น ที่หลวงพระบางมีที่เที่ยวหลักๆ ที่เป็นธรรมชาติ อยู่ 3 ที่ครับ (อยู่คนละทางกันหมด) นั่นคือ
1. น้ำตกกวางสี (Kwang Si Waterfall) >> เลือกไปที่นี่ เพราะ อุดมสมบูรณ์ที่สุดละ ไม่ไกลมาก ประมาณ 25 กิโลเมตร (ขับไป 1 ชม)
    ไปถึงแล้วต้องเดินเข้าไปอีกนิดหน่อย ไม่เกิน 5 กิโลเมตร ค่าเข้า 20 พันกีบ และที่นี่จะมีฟาร์มหมีให้ได้ดูด้วยนะ ระหว่างทางไปน้ำตกนั่นแหละ
    ก่อนด่านเก็บค่าเข้า ก็มีร้านอาหารพวกส้มตำ ไก่ย่าง ปลาปิ้ง เหมือนร้านอาหารริมน้ำตกในไทยเลยครับ ผมก็จัดไปหนึ่งมื้อ อิ่มหมีพลีมันมาก ^^
    คนที่เอารถมาจะต้องไปจอดที่จอดรถ เสียค่าฝากด้วยนะ จักรยาน 3 พันกีบ มอไซด์ 5 พันกีบ รถยนต์ก็น่าจะแพงกว่านี้นะ
    นอกจากนี้ จะมีร้านอาหารริมน้ำอะไรสักอย่าง นั่งกินไปดูวิวไปก็โอเคอยู่นะ และจะมีการทอผ้าของคนท้องถิ่นด้วย แต่ผมหาไม่เจอเลยไม่ได้แวะครับ
    
2. น้ำตกตาดแซ (Tat Sae Waterfall) >> ผมไม่ได้ไป แต่สอบถามข้อมูลมาได้ว่า ที่นี่จะมีให้ขี่ช้างชมวิวด้วย แต่ควรมาหน้าฝน เพราะหน้าหนาวน้ำน้อยไม่สวย

3. ถ้ำติ่ง หรือ ถ้ำปากอู (Pak Ou Cave) >> ผมก็ไม่ได้ไป เพราะเวลาไม่พอ และขี้เกียจต้องนอนต่ออีกหนึ่งคืนครับ

ตอนกลางคืน ที่หลวงพระบางจะมีตลาด Night Market ซึ่งจัดอยู่บนถนนเลย ตรงเส้นหลักหน้าตลาดเช้าครับ ยาวไปสัก 2-4 กิโลเมตรได้
สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นพวกเสื้อ พวกรูปวาดพระ รองเท้า จะเหมือนๆกันอยู่ประมาณนี้ครับ แล้วแต่ว่าชอบร้านไหน
ที่น่าสนใจคือ ซอยที่เป็นขายของสดในตอนเช้า กลางคืนเขาจะเป็นที่ขายอาหารแบบถาด ให้ตักใส่จานแบบบุฟเฟ่ จานละ 10-15 พันกีบได้ ของกินเพียบ
พวก Backpackers มักจะมากันที่ซอยนี้ ได้บรรยากาศไปอีกแบบครับ เจอคนไทย ฝรั่ง เอเชีย เพียบเลย
มีอาหารท้องถิ่นอยู่อย่างหนึ่ง ชื่อว่า ม้อหน้อย เป็นลักษณะคล้ายเยลลี่สีดำ กินกับแกงปลาป่น ราคาชุดละ 5000 กีบเท่านั้นเอง
และคืนแรกผมก็จัด เขยลาว หรือ เบียร์ลาว นั่นเอง ไปสองขวดใหญ่ ตึงๆก็เลยนอนสบายคลายเหนื่อยเมื่อยล้าทั้งปวง (ขวดละ 10 พันกีบ)

รุ่งเช้า ตื่นไปเดินตามถนนไปวัดต่างๆในเมืองได้เลย และชื่นชมกับวัฒนธรรมการตักบาตรข้าวเหนียว ที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ครับ
มีข้อแนะนำอยู่ว่า ถ้าเราตื่นสาย ที่ท่องเที่ยวต่างๆในลาว มักจะเก็บค่าเข้าชม 10-20 พันกีบนะครับ
โชคดีของจอร์จ (หนที่หก) ถ้าไปเช้าๆ เขายังไม่ทันได้เก็บค่าเข้าชม คนมาเที่ยวก็ยังน้อย ได้ถ่ายรูปสวยๆ บวกสบายกระเป๋าด้วย
วัดแนะนำ คือ วัดเซียงทอง และ วัดอาราม  จะเป็นสองวัดที่เก่าแก่จริงๆ ไม่มีการปฏิสังขรณ์มากนัก (แต่อยู่คนละทางกันนะสองวัดนี้)
ถ้าอยากดูวิวเมืองแบบ 360 องศา ต้องที่ วัดพระธาตุพูสี อยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ฯ
ที่เที่ยวอื่นๆ เช่น พิพิธภัณฑ์ฯ ที่นี่จะแสดงโขนตอนเย็นด้วย ที่โรงละครของเขา ถ้าชอบก็มาดูได้ มีค่าเข้าชมนะจ๊ะ ไม่ได้สอบถามราคามาเด้อ
และ สะพานไม้ไผ่ข้ามแม่น้ำคาน จะมีอยู่ 2 จุดด้วยกันนะ เดินเลาะแม่น้ำก็จะเห็นเองครับ
และ พวกผับต่างๆ ก็อยู่ที่ถนนเส้นหลัก ถัดจากถนน Night Market เลยไปจนถึงริมน้ำคานครับ
ที่ลาวนี่ เขามี Pizza ขายแบบ Kios ด้วยนะครับ เห็นเกือบทุก คล้ายๆกาแฟถุงบ้านเรา ที่ขายกันเยอะๆอะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่