ก่อนอื่น ขอแปะข้อความที่ เพื่อนสมาชิกได้ถามไว้
ลองไล่ไปตามที่ท่านพระอาจารย์ชาได้สอนไว้ แล้วเอามาเปรียบเทียบกับที่ได้ทำไปจริงๆ
๑ ความคิด
ก.อะไรคือความคิดเกี่ยวกับตลาดหุ้น
คำตอบคือ ผมไม่เคยคิดว่าตลาดหุ้นเป็นบ่อนการพนัน
เพียงแต่คนจำนวนมาก ใช้มันเป็นบ่อนการพนัน
เหมือนกับเหรียญบาท ไม่ใช่การพนัน สะสมไปซื้อของมาขาย ก็เป็นการลงทุน
เอาเหรียญบาทเหรียญเดียว หรือสองเหรียญมารวมกัน ก็กลายเป็นการพนันได้แล้ว
พอมีความคิดว่า ตลาดหุ้นไม่ใช่บ่อนการพนัน
ความคิดที่ตามมาคือ เราไม่สามารถรู้ผลได้เสียจากตลาดหุ้น
โดยก็มีคนหนึ่งได้ แล้วอีกคนหนึ่งต้องเสีย
โดยใช้เวลาที่จะรับรู้ผล ได้อย่างรวดเร็ว
ข อะไรคือความคิดเกี่ยวกับราคาหุ้น
คำตอบคือ
ราคาหุ้นเป็นตัวแทนที่สะท้อนทั้ง
การกระทำของคนในตลาดหุ้น บวกกับการกระทำของคนในบริษัทจดทะเบียน
ดูบ่อยๆ ดูซ้ำๆ ดูนานๆเข้า เราจะแยกออกว่า
การกระทำของคนในตลาดหุ้น จะรู้ผลของราคาหุ้นอย่างรวดเร็ว
การกระทำของคนในบริษัทจดทะเบียน จะรู้ผลของราคาหุ้นช้ามาก
และการรู้ผลที่รวดเร็ว จะกดดันจิตใจของเราตลอดเวลา
เพราะเราอยากให้ ราคาหุ้น เป็นไปตามที่ใจเราต้องการให้มันเป็น
ซึ่งเป็นที่มา ของคำว่า ตกรถ ติดดอย ขายหมู และรู้งี้
ที่เกิดๆดับๆ บางทีวันละนับสิบครั้งก็มี
ส่วนผลที่ช้า นานๆที่จึงจะสร้างแรงกดดันให้เรา
เมื่อผลประกอบการออกมาสามเดือนต่อครั้ง
ค อะไรคือความคิดที่ติดตัวเรามาก่อนเข้าตลาดหุ้น
คำตอบคือ
A มีนิสัย ที่เป็นทั้งผลดีและผลเสียไปในตัว เพียงแต่ผลดีสามารถกลบผลเสียได้สนิท
คือผมไม่ชอบทำตามการกระทำของคนอื่น
โดยไม่ได้หาเหตุผลให้กับตัวเองว่า ทำไมเราต้องทำตาม ทำไมเราไม่ทำตามที่เราคิดเอง ?
เชื่อว่า ทุกคนจะมีนิสัยส่วนตัว ที่สะสมมา จนเรายากที่จะเปลี่ยน
ทำให้จนถึงวันนี้ ขอยืนยันว่าผมยังไม่เคยซื้อขายหุ้นตามใคร
ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายตามผู้ใหญ่แนว กูรุ้ตามสื่อๆต่าง กระทู้ในห้องสินธร ฯลฯ
เลยไม่รวยมากๆ แต่ก็ไม่จนแบบหมดตัวจากตลาดหุ้นอย่างแน่นอนที่สุด
B มีประสบการณ์ที่ได้จากการเปรียบเทียบโดยตรง
มีร้านตัดผมที่ผมเป็นเจ้าประจำนานนับสิบปี ที่ใช้บริการตัดผมตั้งแต่วัยเด็ก จนเป็นวัยรุ่น
ช่างตัดผมทุกคนในร้านนั้น ชอบเล่นการพนันทุกรูปแบบ ตั้งแต่ทายเลขท้ายแบงค์ ไปจนเล่นมวย
สิบปีผ่านไป ช่างทุกคน ก็ยังตัดผมไป เล่นการพนันไปเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง
ส่วนพ่อผม ซึ่งไม่เคยเกี่ยวข้องกับการพนัน ไม่ว่าชนิดไหนทั้งสิ้น
สามารถสร้างตัว จากเงินเริ่มต้นห้าร้อยบาท
จนให้ผม ได้เอาเงินสะสมบางส่วน มาถลุงในตลาดหุ้น
เพราะความโลภเกินพิกัด จากการเล่นมาร์จิ้น
นอกจากไม่ข้องแวะกับการพนันทุกรูปแบบ
อีกสิ่งหนึ่งที่พ่อทำมาตลอดคือ
อะไรที่เสียงเกินตัวจะไม่ทำ
พอเอาสามัญสำนึกเรื่องการเสี่ยงเกินตัวมาใช้ในตลาดหุ้น
ก็ได้ผลดีพอสมควรคือ ไม่ว่าราคาหุ้นจะดีแค่ไหน ถ้าสามัญสำนักเราบอกว่า
มันเป็นราคาที่เหลวไหล ยังไงผมก็จะไม่ซื้อ ไม่ว่าพวกเชียร์ม้าในห้องค้า ยุคแรกๆของตลาดหุ้น
จะส่งเสียงเชียร์ลั่นห้องค้าว่า ราคามันจะไปถึงไหนก็ตาม
มาร์เก็ตติ้งจะบอกว่าหุ้นเด็ด มีข่าววงใน ราคาเป้าหมายคือ...
เรียกว่า สามัญสำนึก มันไปด้วยกันกับนิสัยส่วนตัวพอดี
จุดพลาดครั้งสำคัญที่สุดในตลาดหุ้น
คือใช้สามัญสำนึกกับหุ้นเป็นตัวๆ แต่พอร์ตโดยรวมดันไปโลภเกินความรู้ความสามารถ
๒ ความประพฤติ
ขั้นตอนความประพฤติ ที่ได้มาจากความคิด
เป็นหัวเลี้ยว หัวต่อที่สำคัญมากๆ
เพราะลำพังความคิดของเรา มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตลอดเวลา
ขึ้นอยู่กับว่า เราได้เปลี่ยนความคิดของเรา ให้กลายเป็นการกระทำ
ที่ระดับความคิดไหน
ก ความคิดระดับเปลือก ที่เกี่ยวกับราคาหุ้น
เปลี่ยนแปลงได้เร็วมาก เพราะมันยั่วเย้า ให้เราเครียด
อยากให้ราคาหุ้นเป็นไปตามที่ใจเราต้องการ ตลอดเวลา
คนที่ลงมือเปลี่ยนความคิดเป็นการกระทำในระดับเปลือก
โดยมีความคิดแค่ว่า
ซื้อแล้วจะขายได้แพงกว่าที่ซื้อมา
คนที่ใช้ความคิดแค่นี้ จะเป็นคนที่เจ้ามือปั่นหุ้นชอบมากที่สุด
เพราะไม่ว่าจะทำราคาหุ้นเหลวไหลแค่ไหน ก็จะตามไปร่วมเล่นกับเจ้ามือ
การเปลี่ยนความคิดให้เป็นการกระทำในระดับนี้ ถ้าไม่มีเครื่องมืออื่นใดมาเสริม จะทำให้เครียดหนักมาก
เครื่องมือที่ใช้เสริมความคิด เช่นกราฟ ข่าววงใน ฯลฯ จึงเป็นสิ่งสำคัญพอๆกับ ช่องมันนี่แชนแนล
ข. ความคิดระดับกระพี้ ที่เกี่ยวกับราคาหุ้นและเครื่องมีที่เราใช้ลงมือซื้อขาย
ความคิดระดับนี้ จะเริ่มทำให้เครียดน้อยลง ตัดสินใจได้ดีขึ้น
เพราะเราเริ่มเข้าใจ ความเป็นไปของราคาหุ้น ว่ามีความสัมพันธ์กับวิธีการที่เราใช้ซื้อขายหรือไม่
ของผมเอง เครียดกับราคาหุ้นน้อยลง
เพราะแยกไว้ว่า
ราคาหุ้น เกิดจากการกระทำของคนในตลาดหุ้น นับหมื่นนับแสนคน
มีคนควบคุมอยู่บนสุดคือ คนที่สามารถครอบครองเงินที่อำนาจซื้อนำ และหุ้นที่มีอำนาจขายนำ ในหุ้นตัวนั้นๆ
ซึ่งผมมักจะเรียกเล่นๆ ว่า"เจ้ามือแด๊กส์ด่วน"
ผลประกอบการ เกิดจากการกระทำของคนในบริษัทจดทะเบียน
ซึ่งผมดัดแปลงมาจากคำพูดของคุณลูกอิสานที่ว่า
เจ้ามือตัวจริงคือผลประกอบการ โดยต่อยอดให้เป็นเจ้ามือตัวจริงคือคนที่บริหารงานอยู่ในบริษัทจดทะเบียน
ความคิดระดับแก่น
ประสบการณ์ที่ผ่านมา มันบอกเราว่า
ในที่สุด ไม่ว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงเหลวไหลแค่ไหน
มันจะไม่หนีผลประกอบการ ที่ทอดยาวเป็นเวลาหลายปีๆอย่างแน่นอน
ดังนั้น หุ้นอย่าง kmart steel ที่กลายมาเป็น spgc ในปัจจุบัน
จากที่เคยถูกคนหาว่า เป็นหุ้นต้มตุ๋น ก็กลายเป็นหุ้นชั้นดี (ในปัจจุบัน อนาคตไม่รู้)
ดังนั้น ผมจะเปลี่ยนความคิดให้เป็นการกระทำ ในระดับความคิดที่เชื่อว่า เป็นความคิดระดับแก่นคือ
เมื่อเชื่อว่า ราคาหุ้นมีแต้มต่อ เมื่อเทียบกับผลประกอบการในอดีต บวกปัจจุบัน
ก็ซื้อแล้วถือไปเรื่อยๆ เมื่อแต้มต่อ ด้าน ยีลด์ปันผล พีอี พีบีวี ดีอี ยังมีอยู่
ถ้าไม่มี ต้องจัดการขายเอาทุนตัวเองออกมาให้หมด แล้วถือตามดูต่อไป
จุดอ่อนที่ยอมรับคือ ไม่สามารถต่อยอดมองอนาคตของบริษัทได้แม่นๆ เหมือนพวกเซียนหุ้นวีไอ และเซียนกราฟ
ก็ต้องทำเท่าที่เราทำได้ โดยไม่ต้องเอาตัวเอง ไปเปรียบเทียบกับความสำเร็จของคนอื่น
แต่มีข้อยกเว้นคือ ถ้าเปรียบเทียบแล้วได้กำลังใจ ได้แนวทาง ก็สมควรเปรียบเทียบ
ลองใส่คำว่า ดีๆ หรือแย่ๆ เพิ่มเข้าไป
ผลลัพธ์จะเริ่มแยกทางตั้งแต่ความคิดเลยดีเดียว
ความคิดดีๆ ความคิดแย่ๆ >>ความประพฤติดีๆ ความประพฤติแย่ๆ >> ความเคยชินดีๆ ความเคยชินแย่ๆ >> อุปนิสัยดีๆ อุปนิสัยแย่ๆ
มันเริ่มต้นจากความคิด แล้วลงมือทำ ทำบ่อยๆ โดยไม่มีการแยกแยะว่ามันดีหรือไม่ดี
มันก็จะกลายเป็นความชิน ที่เริ่มสะสมติดตัวเราพอกพูนไปเรื่อยๆ
ความเคยชินแย่ๆ เลยเกิดจากการสะสมประสบการณ์แนวนอน วนลูปอยู่ที่เดิม ไม่ไปไหน
ความเคยชินดีๆ เลยเกิดจากการสะสมประสบการณ์แนวตั้ง ต่อยอดไปได้เรื่อยๆ
หาเหตุผลให้ตัวเองได้ว่า ทำไมเรากำไร ทำไมเราขาดทุน
มาถึงคำถามที่ว่า
ทำไมผมถึงสามารถนั่งดูราคาหุ้น วิ่งขึ้น วิ่งลง ไปมาได้ จนราคาหุ้นสูงกว่าที่ซื้อเกินหนึ่งเท่าตัวได้อย่างสบายๆ
คำตอบคือ
มีความคิดตามที่บอก มีพฤติกรรมตามที่บอก มันได้ค่อยสะสมเป็นความเคยชิน
ให้นั่งดูราคาหุ้น ที่ตัวเองมีส่วนได้ส่วนเสียได้ โดยไม่เสียสุขภาพจิตในระยะยาวเกินเวลาตลาดหุ้นปิดทำการ
ระหว่างนั่งดู ก็มีหงุดหงิดบ้าง เพราะเรายังเป็น "ปุถุชน"
ความเคยชินสะสม ทำให้ผมเลิกคิดถึงราคาหุ้น เมื่อตลาดหุ้นปิดได้
สำหรับขั้นตอนนี้ ผมแยกเงินจริง ออกจากเงินมายา
แล้วนับให้มูลค่าพอร์ต เป็นเงินมายา ตามภาพประกอบ ที่ลงให้ดูหลายครั้งแล้ว
สำหรับตัวผมเอง ความเคยชินในการนั่งดูราคาหุ้นทุกวันได้โดยไม่เสียสุขภาพจิต
มาจากการสะสมประสบการณ์แนวตั้ง ไปตามกาลเวลาที่เพิ่มมากขึ้น มากขึ้น
ใครที่ยังมีประสบการณ์ไม่มากพอ ก็ให้นั่งดูราคาหุ้นไปเรื่อยๆ
แนะนำให้ดูราคาหุ้น ต้มตุ๋น ที่มันเหวียงไป เหวียงมา
แต่ให้ดูเฉยๆ ไม่เอาตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วม
ทำได้บ่อยๆ ก็จะสามารถนั่งดูราคาหุ้นที่เหลวไหลแค่ไหน ได้อย่างสบายๆครับ
๔ อุปนิสัยที่จะตัดสินชะตากรรมในการเดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้น ไปตลอดชีวิต
สำหรับผม ที่ทำสะสมจนเป็นนิสัยในการเดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้นก็คือ
ก ไม่เล่น tfex dw แม้แต่วอร์แรนท์ก็ไม่เคยซื้อจากตลาด นอกจากได้มาฟรีๆ
ใครเล่นแล้วได้กำไรอย่างยั่งยืน ผมยกให้เป็นโคตรเซียนหุ้น
ข ไม่เอาความสำเร็จของคนอื่น มาเปรียบเทียบแล้วทำตาม เพียงเพราะโลภอยากได้เหมือนเขา
ค เป็นคนที่ไม่มีจิตใจเข้มแข็งพอจะรองรับความเครียด
ที่จะเกิดจากราคาหุ้นต้มตุ๋นที่เหวี่ยงไปมา เลยไม่เข้าไปเล่นให้ตัวเองเสียสุขภาพจิต
มีคนจำนวนมากได้เงินจากหุ้นต้มตุ่นก็จริง แต่ก็ต้องแลกกับการเสียสุขภาพจิต
ง ถือหุ้นขายทำกำไรในเวลาอันรวดเร็วไม่เป็น กำไรส่วนใหญ่มาจากการถือหุ้นที่เชื่อว่าดีๆไว้นานๆ
แต่สามารถทนดูราคาหุ้นที่ถือ เหวียงไปเหวียงมา เพื่อบริหารสุขภาพจิตตัวเองได้ดี
บางครั้งเงินมายา หายไปจากพอร์ตภายในวันเดียว สี่ห้าล้านก็มี
จ อะไรที่เชื่อว่า ตัวเองไม่มีแต้มต่อ
ต่อให้ใครว่าดียังไง ราคาหุ้นไปดีแค่ไหน ก็ไม่ซื้อ
สำหรับตัวผมเอง มันไม่มีทางเลือกอื่น เพราะว่า
"ผมจะไม่โลภ เกินความรู้ ความสามารถ ตามปัจจัยพื้นฐานสะสมของตัวเอง"
ไม่ว่าจะลงทุนแนววีไอ แนวเก็งกำไร หรือมวยวัด
ทุกคน ต้องเดินทางแสวงหาเงิน ไปตามแนวทางที่เหมาะสม
กับความคิดดีๆ ความประพฤติดีๆ ความเคยชินดีๆ และอุปนิสัยที่ดีๆ สำหรับตัวเองครับ
๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ นั่งดูราคาหุ้นเกือบทุกวันทำการตลาดได้อย่างไร จนราคาหุ้นปัจจุบัน > ราคาซื้อหนึ่งเท่าตัว ?
ลองไล่ไปตามที่ท่านพระอาจารย์ชาได้สอนไว้ แล้วเอามาเปรียบเทียบกับที่ได้ทำไปจริงๆ
คำตอบคือ ผมไม่เคยคิดว่าตลาดหุ้นเป็นบ่อนการพนัน
เพียงแต่คนจำนวนมาก ใช้มันเป็นบ่อนการพนัน
เหมือนกับเหรียญบาท ไม่ใช่การพนัน สะสมไปซื้อของมาขาย ก็เป็นการลงทุน
เอาเหรียญบาทเหรียญเดียว หรือสองเหรียญมารวมกัน ก็กลายเป็นการพนันได้แล้ว
พอมีความคิดว่า ตลาดหุ้นไม่ใช่บ่อนการพนัน
ความคิดที่ตามมาคือ เราไม่สามารถรู้ผลได้เสียจากตลาดหุ้น
โดยก็มีคนหนึ่งได้ แล้วอีกคนหนึ่งต้องเสีย
โดยใช้เวลาที่จะรับรู้ผล ได้อย่างรวดเร็ว
คำตอบคือ
ราคาหุ้นเป็นตัวแทนที่สะท้อนทั้ง
การกระทำของคนในตลาดหุ้น บวกกับการกระทำของคนในบริษัทจดทะเบียน
ดูบ่อยๆ ดูซ้ำๆ ดูนานๆเข้า เราจะแยกออกว่า
การกระทำของคนในตลาดหุ้น จะรู้ผลของราคาหุ้นอย่างรวดเร็ว
การกระทำของคนในบริษัทจดทะเบียน จะรู้ผลของราคาหุ้นช้ามาก
และการรู้ผลที่รวดเร็ว จะกดดันจิตใจของเราตลอดเวลา
เพราะเราอยากให้ ราคาหุ้น เป็นไปตามที่ใจเราต้องการให้มันเป็น
ซึ่งเป็นที่มา ของคำว่า ตกรถ ติดดอย ขายหมู และรู้งี้
ที่เกิดๆดับๆ บางทีวันละนับสิบครั้งก็มี
ส่วนผลที่ช้า นานๆที่จึงจะสร้างแรงกดดันให้เรา
เมื่อผลประกอบการออกมาสามเดือนต่อครั้ง
คำตอบคือ
A มีนิสัย ที่เป็นทั้งผลดีและผลเสียไปในตัว เพียงแต่ผลดีสามารถกลบผลเสียได้สนิท
คือผมไม่ชอบทำตามการกระทำของคนอื่น
โดยไม่ได้หาเหตุผลให้กับตัวเองว่า ทำไมเราต้องทำตาม ทำไมเราไม่ทำตามที่เราคิดเอง ?
เชื่อว่า ทุกคนจะมีนิสัยส่วนตัว ที่สะสมมา จนเรายากที่จะเปลี่ยน
ทำให้จนถึงวันนี้ ขอยืนยันว่าผมยังไม่เคยซื้อขายหุ้นตามใคร
ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายตามผู้ใหญ่แนว กูรุ้ตามสื่อๆต่าง กระทู้ในห้องสินธร ฯลฯ
เลยไม่รวยมากๆ แต่ก็ไม่จนแบบหมดตัวจากตลาดหุ้นอย่างแน่นอนที่สุด
B มีประสบการณ์ที่ได้จากการเปรียบเทียบโดยตรง
มีร้านตัดผมที่ผมเป็นเจ้าประจำนานนับสิบปี ที่ใช้บริการตัดผมตั้งแต่วัยเด็ก จนเป็นวัยรุ่น
ช่างตัดผมทุกคนในร้านนั้น ชอบเล่นการพนันทุกรูปแบบ ตั้งแต่ทายเลขท้ายแบงค์ ไปจนเล่นมวย
สิบปีผ่านไป ช่างทุกคน ก็ยังตัดผมไป เล่นการพนันไปเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง
ส่วนพ่อผม ซึ่งไม่เคยเกี่ยวข้องกับการพนัน ไม่ว่าชนิดไหนทั้งสิ้น
สามารถสร้างตัว จากเงินเริ่มต้นห้าร้อยบาท
จนให้ผม ได้เอาเงินสะสมบางส่วน มาถลุงในตลาดหุ้น
เพราะความโลภเกินพิกัด จากการเล่นมาร์จิ้น
นอกจากไม่ข้องแวะกับการพนันทุกรูปแบบ
อีกสิ่งหนึ่งที่พ่อทำมาตลอดคือ
อะไรที่เสียงเกินตัวจะไม่ทำ
พอเอาสามัญสำนึกเรื่องการเสี่ยงเกินตัวมาใช้ในตลาดหุ้น
ก็ได้ผลดีพอสมควรคือ ไม่ว่าราคาหุ้นจะดีแค่ไหน ถ้าสามัญสำนักเราบอกว่า
มันเป็นราคาที่เหลวไหล ยังไงผมก็จะไม่ซื้อ ไม่ว่าพวกเชียร์ม้าในห้องค้า ยุคแรกๆของตลาดหุ้น
จะส่งเสียงเชียร์ลั่นห้องค้าว่า ราคามันจะไปถึงไหนก็ตาม
มาร์เก็ตติ้งจะบอกว่าหุ้นเด็ด มีข่าววงใน ราคาเป้าหมายคือ...
เรียกว่า สามัญสำนึก มันไปด้วยกันกับนิสัยส่วนตัวพอดี
จุดพลาดครั้งสำคัญที่สุดในตลาดหุ้น
คือใช้สามัญสำนึกกับหุ้นเป็นตัวๆ แต่พอร์ตโดยรวมดันไปโลภเกินความรู้ความสามารถ
ขั้นตอนความประพฤติ ที่ได้มาจากความคิด
เป็นหัวเลี้ยว หัวต่อที่สำคัญมากๆ
เพราะลำพังความคิดของเรา มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตลอดเวลา
ขึ้นอยู่กับว่า เราได้เปลี่ยนความคิดของเรา ให้กลายเป็นการกระทำ
ที่ระดับความคิดไหน
ก ความคิดระดับเปลือก ที่เกี่ยวกับราคาหุ้น
เปลี่ยนแปลงได้เร็วมาก เพราะมันยั่วเย้า ให้เราเครียด
อยากให้ราคาหุ้นเป็นไปตามที่ใจเราต้องการ ตลอดเวลา
คนที่ลงมือเปลี่ยนความคิดเป็นการกระทำในระดับเปลือก
โดยมีความคิดแค่ว่า
คนที่ใช้ความคิดแค่นี้ จะเป็นคนที่เจ้ามือปั่นหุ้นชอบมากที่สุด
เพราะไม่ว่าจะทำราคาหุ้นเหลวไหลแค่ไหน ก็จะตามไปร่วมเล่นกับเจ้ามือ
การเปลี่ยนความคิดให้เป็นการกระทำในระดับนี้ ถ้าไม่มีเครื่องมืออื่นใดมาเสริม จะทำให้เครียดหนักมาก
เครื่องมือที่ใช้เสริมความคิด เช่นกราฟ ข่าววงใน ฯลฯ จึงเป็นสิ่งสำคัญพอๆกับ ช่องมันนี่แชนแนล
ข. ความคิดระดับกระพี้ ที่เกี่ยวกับราคาหุ้นและเครื่องมีที่เราใช้ลงมือซื้อขาย
ความคิดระดับนี้ จะเริ่มทำให้เครียดน้อยลง ตัดสินใจได้ดีขึ้น
เพราะเราเริ่มเข้าใจ ความเป็นไปของราคาหุ้น ว่ามีความสัมพันธ์กับวิธีการที่เราใช้ซื้อขายหรือไม่
ของผมเอง เครียดกับราคาหุ้นน้อยลง
เพราะแยกไว้ว่า
ราคาหุ้น เกิดจากการกระทำของคนในตลาดหุ้น นับหมื่นนับแสนคน
มีคนควบคุมอยู่บนสุดคือ คนที่สามารถครอบครองเงินที่อำนาจซื้อนำ และหุ้นที่มีอำนาจขายนำ ในหุ้นตัวนั้นๆ
ซึ่งผมมักจะเรียกเล่นๆ ว่า"เจ้ามือแด๊กส์ด่วน"
ผลประกอบการ เกิดจากการกระทำของคนในบริษัทจดทะเบียน
ซึ่งผมดัดแปลงมาจากคำพูดของคุณลูกอิสานที่ว่า
เจ้ามือตัวจริงคือผลประกอบการ โดยต่อยอดให้เป็นเจ้ามือตัวจริงคือคนที่บริหารงานอยู่ในบริษัทจดทะเบียน
ความคิดระดับแก่น
ประสบการณ์ที่ผ่านมา มันบอกเราว่า
ในที่สุด ไม่ว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงเหลวไหลแค่ไหน
มันจะไม่หนีผลประกอบการ ที่ทอดยาวเป็นเวลาหลายปีๆอย่างแน่นอน
ดังนั้น หุ้นอย่าง kmart steel ที่กลายมาเป็น spgc ในปัจจุบัน
จากที่เคยถูกคนหาว่า เป็นหุ้นต้มตุ๋น ก็กลายเป็นหุ้นชั้นดี (ในปัจจุบัน อนาคตไม่รู้)
ดังนั้น ผมจะเปลี่ยนความคิดให้เป็นการกระทำ ในระดับความคิดที่เชื่อว่า เป็นความคิดระดับแก่นคือ
เมื่อเชื่อว่า ราคาหุ้นมีแต้มต่อ เมื่อเทียบกับผลประกอบการในอดีต บวกปัจจุบัน
ก็ซื้อแล้วถือไปเรื่อยๆ เมื่อแต้มต่อ ด้าน ยีลด์ปันผล พีอี พีบีวี ดีอี ยังมีอยู่
จุดอ่อนที่ยอมรับคือ ไม่สามารถต่อยอดมองอนาคตของบริษัทได้แม่นๆ เหมือนพวกเซียนหุ้นวีไอ และเซียนกราฟ
ก็ต้องทำเท่าที่เราทำได้ โดยไม่ต้องเอาตัวเอง ไปเปรียบเทียบกับความสำเร็จของคนอื่น
แต่มีข้อยกเว้นคือ ถ้าเปรียบเทียบแล้วได้กำลังใจ ได้แนวทาง ก็สมควรเปรียบเทียบ
ลองใส่คำว่า ดีๆ หรือแย่ๆ เพิ่มเข้าไป
ผลลัพธ์จะเริ่มแยกทางตั้งแต่ความคิดเลยดีเดียว
ความคิดดีๆ ความคิดแย่ๆ >>ความประพฤติดีๆ ความประพฤติแย่ๆ >> ความเคยชินดีๆ ความเคยชินแย่ๆ >> อุปนิสัยดีๆ อุปนิสัยแย่ๆ
มันเริ่มต้นจากความคิด แล้วลงมือทำ ทำบ่อยๆ โดยไม่มีการแยกแยะว่ามันดีหรือไม่ดี
มันก็จะกลายเป็นความชิน ที่เริ่มสะสมติดตัวเราพอกพูนไปเรื่อยๆ
ความเคยชินแย่ๆ เลยเกิดจากการสะสมประสบการณ์แนวนอน วนลูปอยู่ที่เดิม ไม่ไปไหน
ความเคยชินดีๆ เลยเกิดจากการสะสมประสบการณ์แนวตั้ง ต่อยอดไปได้เรื่อยๆ
หาเหตุผลให้ตัวเองได้ว่า ทำไมเรากำไร ทำไมเราขาดทุน
มาถึงคำถามที่ว่า
ทำไมผมถึงสามารถนั่งดูราคาหุ้น วิ่งขึ้น วิ่งลง ไปมาได้ จนราคาหุ้นสูงกว่าที่ซื้อเกินหนึ่งเท่าตัวได้อย่างสบายๆ
คำตอบคือ
มีความคิดตามที่บอก มีพฤติกรรมตามที่บอก มันได้ค่อยสะสมเป็นความเคยชิน
ให้นั่งดูราคาหุ้น ที่ตัวเองมีส่วนได้ส่วนเสียได้ โดยไม่เสียสุขภาพจิตในระยะยาวเกินเวลาตลาดหุ้นปิดทำการ
ระหว่างนั่งดู ก็มีหงุดหงิดบ้าง เพราะเรายังเป็น "ปุถุชน"
ความเคยชินสะสม ทำให้ผมเลิกคิดถึงราคาหุ้น เมื่อตลาดหุ้นปิดได้
สำหรับขั้นตอนนี้ ผมแยกเงินจริง ออกจากเงินมายา
แล้วนับให้มูลค่าพอร์ต เป็นเงินมายา ตามภาพประกอบ ที่ลงให้ดูหลายครั้งแล้ว
สำหรับตัวผมเอง ความเคยชินในการนั่งดูราคาหุ้นทุกวันได้โดยไม่เสียสุขภาพจิต
มาจากการสะสมประสบการณ์แนวตั้ง ไปตามกาลเวลาที่เพิ่มมากขึ้น มากขึ้น
ใครที่ยังมีประสบการณ์ไม่มากพอ ก็ให้นั่งดูราคาหุ้นไปเรื่อยๆ
แนะนำให้ดูราคาหุ้น ต้มตุ๋น ที่มันเหวียงไป เหวียงมา
แต่ให้ดูเฉยๆ ไม่เอาตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วม
ทำได้บ่อยๆ ก็จะสามารถนั่งดูราคาหุ้นที่เหลวไหลแค่ไหน ได้อย่างสบายๆครับ
๔ อุปนิสัยที่จะตัดสินชะตากรรมในการเดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้น ไปตลอดชีวิต
สำหรับผม ที่ทำสะสมจนเป็นนิสัยในการเดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้นก็คือ
ก ไม่เล่น tfex dw แม้แต่วอร์แรนท์ก็ไม่เคยซื้อจากตลาด นอกจากได้มาฟรีๆ
ใครเล่นแล้วได้กำไรอย่างยั่งยืน ผมยกให้เป็นโคตรเซียนหุ้น
ข ไม่เอาความสำเร็จของคนอื่น มาเปรียบเทียบแล้วทำตาม เพียงเพราะโลภอยากได้เหมือนเขา
ค เป็นคนที่ไม่มีจิตใจเข้มแข็งพอจะรองรับความเครียด
ที่จะเกิดจากราคาหุ้นต้มตุ๋นที่เหวี่ยงไปมา เลยไม่เข้าไปเล่นให้ตัวเองเสียสุขภาพจิต
มีคนจำนวนมากได้เงินจากหุ้นต้มตุ่นก็จริง แต่ก็ต้องแลกกับการเสียสุขภาพจิต
ง ถือหุ้นขายทำกำไรในเวลาอันรวดเร็วไม่เป็น กำไรส่วนใหญ่มาจากการถือหุ้นที่เชื่อว่าดีๆไว้นานๆ
แต่สามารถทนดูราคาหุ้นที่ถือ เหวียงไปเหวียงมา เพื่อบริหารสุขภาพจิตตัวเองได้ดี
บางครั้งเงินมายา หายไปจากพอร์ตภายในวันเดียว สี่ห้าล้านก็มี
ต่อให้ใครว่าดียังไง ราคาหุ้นไปดีแค่ไหน ก็ไม่ซื้อ
สำหรับตัวผมเอง มันไม่มีทางเลือกอื่น เพราะว่า
"ผมจะไม่โลภ เกินความรู้ ความสามารถ ตามปัจจัยพื้นฐานสะสมของตัวเอง"
ไม่ว่าจะลงทุนแนววีไอ แนวเก็งกำไร หรือมวยวัด
ทุกคน ต้องเดินทางแสวงหาเงิน ไปตามแนวทางที่เหมาะสม
กับความคิดดีๆ ความประพฤติดีๆ ความเคยชินดีๆ และอุปนิสัยที่ดีๆ สำหรับตัวเองครับ