เริ่มจากดิฉันมีอาชีพรับราชการครูค่ะ ด้วยการแข่งขันในอาชีพสูง จึงต้องพลัดถิ่นมาบรรจุไกลบ้าน ช่วงนั้นท้องแก่ด้วยค่ะ ไปสอบ พอวันบรรรจุก็คลอดลูกพอดี ออกโรงบาลตอนกลางคืน ตื่นเช้าก็ไปบรรจุเลย และเขียนใบลาคลอดในวันถัดมาเลยค่ะ
หลังจากลาคลอดเสร็จ ก็กลับไปทำงาน เอาลูกน้อยวัย 2 เดือนเศษไปด้วย อารมณ์นั้นสู้สุดฤทธิ์ค่ะ วันนั้นสามีเอาเรากับลูกไปส่งไว้ แล้วเค้าก็หันหลัง แอบปาดน้ำตา ขึ้นรถกลับกทม. (สามีเป็นครูกทม.ค่ะ) เราเองกับลูกน้อย พักบ้านพักอนามัย เป็นบ้านพักหลังเดียว ท่ามกลางพื้นที่ 5 ไร่ รอบข้างไม่มีบ้านคนเพราะมันเป็นสถานที่ราชการหมด ข้างหลังเป็นทุ่งนาโล่งกว้าง ถึงเวลาเลิกงาน กลางคืน แทบไม่อยากบอกว่าเงียบแค่ไหน แค่เสียงจิ้งจกวิ่งผ่านกล่องโฟมยังได้ยิน ใจตอนนั้นไม่นึกกลัวสิ่งเหล่านั้นหรอกค่ะ นึกแต่ว่าทำอย่างไรจะอยู่กันสองแม่ลูกให้พ้นวันไป
ส่วนลูก ดิฉันจ้างพี่เลี้ยงที่เป็นชาวบ้านเลี้ยงค่ะ ให้ไปเช้าเย็นกลับ แต่เค้าก็มีน้ำใจอยู่กับเราจน 2 ทุ่ม เธอเป็นหญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่งงานแล้ว ไม่มีลูก สามีเค้าเป็นเจ้าหน้าที่ห้องคอมฯ ที่โรงเรียนดิฉันเองค่ะ เราอยู่กันและช่วยเหลือกันเหมือนญาติคนหนึ่งที่มี
แต่ปัญหาในที่ทำงาน มันช่างเยอะเหลือเกิน เล่าให้ครูที่อื่นฟัง เค้าบอกว่า "แล้วเห็นเราลูกเล็กอย่างนี้ เค้าไม่ช่วยอะไรเลยหรือ ใจร้ายจัง"
- ถ้ามีการไปทัศนศึกษาหรือต้องเดินทางไกล เพื่อนครูจะแนะนำว่า "ให้สามีลางานสิ แล้วเอาลูกไปด้วย" โถแล้วสามีเราไม่มีหน้าที่หรือไงถึงจะให้ลางานพาเราไปเที่ยวกับคณะครู เด็กเล็กนั่งรถข้ามันข้ามคืน นั่งเรือข้ามเกาะ ที่หลับที่นอนไม่สะดวก สงสารลูกค่ะ ถ้าเป็นที่อื่น เค้าจะให้มาอยู่เวรเฝ้าร.ร.ค่ะ แต่ที่นี่ให้เขียนใบลาเลย
- ถ้าต้องถูกส่งไปอบรมแบบค้างคืน เป็นหน้าที่ของคุณที่จะแก้ปัญหาเอาเอง เราจัดการโดยขอวิทยากรไป-กลับค่ะ แต่ที่อื่นเค้าจะส่งคนอื่นไปแทน
- ถ้ามีงานนอกเวลา เค้าแนะนำว่า "จ้างพี่เลี้ยงพิเศษสิ" ใช่ค่ะ เรื่องการจ้างไม่มีปัญหา แต่เราด้วยความที่เป็นพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน ก็ย่อมห่วงลูกเป็นสองเท่า ลูกจะได้กินนมแม่ไหม ลูกจะกินอะไร เสื้อผ้า ที่หลับที่นอน สารพัดเรื่องที่แม่อย่างเราต้องทิ้งไม่ได้ งานในเวลาเราเองช่วยเหลือเต็มที่ แต่นอกเวลาเราแทบไม่ได้พักเลย
สรุปคือหน้าที่ต่างๆเหล่านี้ มันเป็นแค่ส่วนเสริมของอาชีพครู แต่หลักๆแล้ว เราไม่ได้ทิ้งการทิ้งงานไปเลี้ยงลูก เวลาสอนเด็กเราสอนเต็มที่ เต็มเวลา ส่วนใหญ่เค้าจะช่วยเหลือกันค่ะ โดยไม่กระทบครอบครัวของแต่ละคน แต่สังคมที่นี่มันไม่น่าอยู่ จึงเป็นสาเหตุทำให้ดิฉันรอการย้ายอย่างใจจดใจจ่อ ที่ทำงานใหม่อาจจะไม่ได้ดีกว่าที่นัก ซึ่งก็เข้าใจธรรมชาติค่ะ แต่การที่เราได้ย้ายไปอยู่กับครอบครัว มีพ่อของลูกช่วยดูแลอีกแรงหนึ่ง มันทำให้ภาระเราเบาลงเยอะ
สุดท้ายก็แค่มาบ่นอ่ะค่ะ แค่เบื่อๆชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ตื่นขึ้นตอนเช้า แทบไม่อยากไปร.ร.ค่ะ
คุณแม่ลูกหนึ่ง แอบท้อในการทำงาน รอความหวังจะได้ย้ายกลับไปอยู่กับครอบครัว
หลังจากลาคลอดเสร็จ ก็กลับไปทำงาน เอาลูกน้อยวัย 2 เดือนเศษไปด้วย อารมณ์นั้นสู้สุดฤทธิ์ค่ะ วันนั้นสามีเอาเรากับลูกไปส่งไว้ แล้วเค้าก็หันหลัง แอบปาดน้ำตา ขึ้นรถกลับกทม. (สามีเป็นครูกทม.ค่ะ) เราเองกับลูกน้อย พักบ้านพักอนามัย เป็นบ้านพักหลังเดียว ท่ามกลางพื้นที่ 5 ไร่ รอบข้างไม่มีบ้านคนเพราะมันเป็นสถานที่ราชการหมด ข้างหลังเป็นทุ่งนาโล่งกว้าง ถึงเวลาเลิกงาน กลางคืน แทบไม่อยากบอกว่าเงียบแค่ไหน แค่เสียงจิ้งจกวิ่งผ่านกล่องโฟมยังได้ยิน ใจตอนนั้นไม่นึกกลัวสิ่งเหล่านั้นหรอกค่ะ นึกแต่ว่าทำอย่างไรจะอยู่กันสองแม่ลูกให้พ้นวันไป
ส่วนลูก ดิฉันจ้างพี่เลี้ยงที่เป็นชาวบ้านเลี้ยงค่ะ ให้ไปเช้าเย็นกลับ แต่เค้าก็มีน้ำใจอยู่กับเราจน 2 ทุ่ม เธอเป็นหญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่งงานแล้ว ไม่มีลูก สามีเค้าเป็นเจ้าหน้าที่ห้องคอมฯ ที่โรงเรียนดิฉันเองค่ะ เราอยู่กันและช่วยเหลือกันเหมือนญาติคนหนึ่งที่มี
แต่ปัญหาในที่ทำงาน มันช่างเยอะเหลือเกิน เล่าให้ครูที่อื่นฟัง เค้าบอกว่า "แล้วเห็นเราลูกเล็กอย่างนี้ เค้าไม่ช่วยอะไรเลยหรือ ใจร้ายจัง"
- ถ้ามีการไปทัศนศึกษาหรือต้องเดินทางไกล เพื่อนครูจะแนะนำว่า "ให้สามีลางานสิ แล้วเอาลูกไปด้วย" โถแล้วสามีเราไม่มีหน้าที่หรือไงถึงจะให้ลางานพาเราไปเที่ยวกับคณะครู เด็กเล็กนั่งรถข้ามันข้ามคืน นั่งเรือข้ามเกาะ ที่หลับที่นอนไม่สะดวก สงสารลูกค่ะ ถ้าเป็นที่อื่น เค้าจะให้มาอยู่เวรเฝ้าร.ร.ค่ะ แต่ที่นี่ให้เขียนใบลาเลย
- ถ้าต้องถูกส่งไปอบรมแบบค้างคืน เป็นหน้าที่ของคุณที่จะแก้ปัญหาเอาเอง เราจัดการโดยขอวิทยากรไป-กลับค่ะ แต่ที่อื่นเค้าจะส่งคนอื่นไปแทน
- ถ้ามีงานนอกเวลา เค้าแนะนำว่า "จ้างพี่เลี้ยงพิเศษสิ" ใช่ค่ะ เรื่องการจ้างไม่มีปัญหา แต่เราด้วยความที่เป็นพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน ก็ย่อมห่วงลูกเป็นสองเท่า ลูกจะได้กินนมแม่ไหม ลูกจะกินอะไร เสื้อผ้า ที่หลับที่นอน สารพัดเรื่องที่แม่อย่างเราต้องทิ้งไม่ได้ งานในเวลาเราเองช่วยเหลือเต็มที่ แต่นอกเวลาเราแทบไม่ได้พักเลย
สรุปคือหน้าที่ต่างๆเหล่านี้ มันเป็นแค่ส่วนเสริมของอาชีพครู แต่หลักๆแล้ว เราไม่ได้ทิ้งการทิ้งงานไปเลี้ยงลูก เวลาสอนเด็กเราสอนเต็มที่ เต็มเวลา ส่วนใหญ่เค้าจะช่วยเหลือกันค่ะ โดยไม่กระทบครอบครัวของแต่ละคน แต่สังคมที่นี่มันไม่น่าอยู่ จึงเป็นสาเหตุทำให้ดิฉันรอการย้ายอย่างใจจดใจจ่อ ที่ทำงานใหม่อาจจะไม่ได้ดีกว่าที่นัก ซึ่งก็เข้าใจธรรมชาติค่ะ แต่การที่เราได้ย้ายไปอยู่กับครอบครัว มีพ่อของลูกช่วยดูแลอีกแรงหนึ่ง มันทำให้ภาระเราเบาลงเยอะ
สุดท้ายก็แค่มาบ่นอ่ะค่ะ แค่เบื่อๆชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ตื่นขึ้นตอนเช้า แทบไม่อยากไปร.ร.ค่ะ