ไปฟังคำพิพากษากับผมมั๊ยครับ ?

เจอใน Facebook ของเพื่อนโดยอาจารย์ สุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ เลยขอเอามาแชร์ครับ



เห็นตัวหนังสือเยอะๆ ลองดูรายการเจาะใจ
เมื่อ ปี 2556 ก่อนแล้วจะมีสมาธิในการอ่านครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

      ***   ไปฟังคำพิพากษากับผมมั๊ยครับ ?  ***

       บ่ายโมงวันพุธที่ ๒๑ มกราคมนี้ผมจะไปฟังคำพิพากษาที่ศาลปกครองสูงสุด
เป็นสิ่งที่ท้าทายว่าคนไทยมีสิทธิเสรีภาพและอิสรภาพที่จะเดินทางได้อย่างเท่าเทียมกันหรือไม่
ถ้าศาลยุติธรรมไม่สามารถให้การคุ้มครองต่อสิทธิความเป็นพลเมืองได้
เราจะไปแสวงหาความยุติธรรมและอิสรภาพในการเดินทางจากที่ไหน
สืบเนื่องจากผมและเพื่อนมนุษย์ล้ออีก ๒ ท่าน คือคุณเสาวลักษณ์ ทองก๋วย
และคุณพิเชฎฐ์ รักตะบุตร ผู้แทนของเพื่อนมนุษย์ล้อที่ประสบปัญหาจากการที่กรุงเทพมหานครและบริษัทรถไฟฟ้าบีทีเอส
ไม่ติดตั้งลิฟท์และสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการในรถไฟลอยฟ้าบีทีเอส (BTS)
ทั้งที่ได้ตกลงที่จะดำเนินการให้ตั้งแต่ก่อนเปิดใช้งานในปี พ.ศ. ๒๕๔๒
จึงต้องนำเรื่องฟ้องต่อศาลปกครองเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๐ ต่อมาแต่ศาลได้ยกฟ้องในวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๒
ศาลยกฟ้องโดยให้เหตุผลว่าถึงแม้มีกฎหมายว่าด้วยคนพิการตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๔
แต่การที่กฎหมายกำหนดเพียงหลักการว่าให้มีการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ
แต่ไม่ได้กำหนดลักษณะอุปกรณ์ไว้โดยละเอียด
กรุงเทพมหานครและบริษัทบีทีเอสย่อมไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร
จึงไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
เรื่องนี้โดยข้อเท็จจริงเราทราบดีว่าการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนตามมาตรฐานสากลนั้น
จะต้องจัดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับประชาชนอย่างไรบ้าง
องค์กรคนพิการก็ได้เคยนำเสนอรายละเอียดเหล่านี้
ให้กรุงเทพมหานครและบริษัทบีทีเอสมาโดยตลอดระหว่างการก่อสร้างโครงการ... แต่ศาลปกครองก็ยกฟ้อง

เราได้อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดในเดือนตุลาคม ๒๕๕๒
โดยเชื่อว่าการจัดตั้งศาลปกครองก็เพื่อขจัดปัดเป่าปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม
อีกทั้งการลงทุนบริการสาธารณะขนาดใหญ่เช่นนี้ควรปฏิบัติตามมาตรฐานสากล
ตามหลักสิทธิมนุษยชนและการไม่เลือกปฏิบัติต่อคนพิการ
ซึ่งบ่งชี้ชัดไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและกฎหมายรัฐธรรมนูญ
เราจึงหวังว่าศาลปกครองสูงสุดจะสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้สังคมเพื่ออิสรภาพในการเดินทางของประชาชนอย่างเท่าเทียม...
จึงได้ยื่นอุทธรณ์ดังกล่าว
ภายหลังการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดเราไม่ย่อท้อต่อความพยายาม
จึงได้เจรจากับกรุงเทพมหานครมาโดยตลอด จนกระทั่ง มรว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
เสนอและได้รับอนุมัติจากสภากรุงเทพมหานครให้ติดตั้งลิฟท์ ๑๙ สถานีจำนวน ๕๖ ชุด
โดยได้เริ่มสัญญาก่อสร้างตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๕๗
ถึงแม้ว่าการดำเนินงานจะล่าช้ากว่ากำหนดมากแต่ก็ถือได้ว่ากรุงเทพมหานครได้ใส่ใจและเห็นคุณค่าในความเป็นมนุษย์ของประชาชนทุกคน
ผมขอขอบคุณและชื่นชมมา ณ โอกาสนี้ด้วย
อย่างไรก็ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดนับว่ามีความสำคัญยิ่ง
เพราะอิสรภาพในการเดินทางของประชาชนยังถูกจองจำไว้ด้วยความไม่เสมอภาคจำนวนมาก
เช่น รถเมล์ขึ้นไม่ได้ รถแท็กซี่ไม่จอดรับ รถไฟฟ้าใต้ดินขึ้นได้แค่บางสถานี
สายการบินแห่งชาติปฏิเสธบริการคนพิการ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นในยุคปฏิรูป
แต่ดูเหมือนว่าปัญหาเหล่านี้กลับรุนแรงมากขึ้น
เสียงของประชาชนไม่ดังพอที่ผู้บริหารหน่วยงานพึงจะมีจิตสำนึกในการแก้ไขปัญหา
โดยไม่ต้องรอให้คนพิการต้องออกมาเดินขบวนเรียกร้องในรูปแบบเดิมๆ
ผมจึงยังมีความหวังว่าคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดจะช่วยสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้สังคม
หรืออย่างน้อยสามารถให้ทางออกอย่างใดอย่างหนึ่งได้
หากเป็นไปในทางตรงกันข้าม แสดงว่าสังคมนี้เป็นสังคมที่ต่างคนต่างต้องดิ้นรนเอาตัวรอดใช่หรือไม่
สิทธิความเสมอภาคของประชาชนที่เขียนไว้ในกฎหมายสูงสุดของประเทศก็คงไม่มีความหมายใดๆ
จะปฏิรูปปฏิวัติกันกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่มีความหมายใดๆ ใช่หรือไม่ !!!
ผมยังไม่อยากจินตนาการไปไกลกว่านี้
อะไรจะเกิดขึ้นหลังการอ่านคำพิพากษาในวันพุธที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๓.๓๐ น.
สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงการให้กำลังใจแก่กันและกัน
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะอยู่เคียงข้างเคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อร่วมคิดร่วมสร้างสรรค์สังคมที่ดีงามของเราอย่างไม่ท้อถอยต่อไป
ผมจะไปฟังคำพิพากษาด้วยความหวัง ท่านจะไปฟังคำพิพากษากับผมมั๊ยครับ !!!

นายสุภรธรรม มงคลสวัสดิ์
ในนามผู้ฟ้องคดี

ติดต่อสอบถาม
นายสัมฤทธิ์ ชาภิรมย์ โทรศัพท์ ๐๘๑ ๘๖๓ ๙๑๓๘ email: samrit.apr@gmail.com
นางสาววิมลรัตน์ สิงห์นิกร โทรศัพท์ ๐๘๑ ๕๖๒ ๙๕๔๑ email: vimolrat_sing@hotmail.com
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่