สวัสดีครับทุกท่าน
หลังจากที่ต้องสูญเสียแม่ไป เมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปี ที่แม่ต้องต่อสู้กับโรคมะเร็ง แม่ต้องทุกข์ทรมานกับโรค ที่ลุกลามไปทั่วทั้งตัว และมีเพียงผมกับน้องสาวที่ดูแล จวบจนลมหายใจสุดท้ายของแม่
ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปี ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน หาข้อมูลทุกอย่าง เท่าที่จะทำได้ เพื่อรักษา เพื่อบรรเทาอาการต่างๆ ดิ้นรนหาเงิน หาวิธีรักษาต่างๆ และยังต้องต่อสู้กับโรค กับอาการของโรค ที่ในชีวิตนี้ไม่เคยพบไม่เคยเจอ หมอที่รักษาก็ให้คำแนะนำอะไรไม่ได้เลย
บางครั้งก็อารมณ์เสียใส่แม่ เวลาที่แม่ไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมกินยา เคยว่าแม่ เพราะแม่ชอบที่จะพูดเวลากินข้าว แล้วแม่ก็จะสำลักทุกครั้ง
บางทีก็หลับคาข้าว ก็ไปตีแขนแม่ เพื่อให้แม่รู้สึกตัว บางครั้งก็รู้สึกผิดว่าเราทำเกินไปหรือเปล่า
ยอมรับเลยครับว่า ชีวิต 1 ปีที่ผ่านมา เต็มไปด้วยความเศร้า ความเครียด จนบางครั้งยังรู้สึกผิด ที่ไปลงกับคนป่วยแบบนั้น
จนกระทั่งอาการของแม่ทรุดลงเรื่อยๆ และไม่มีสัญญาณใดๆเลย ที่จะบ่งบอกว่าอาการของแม่จะดีขึ้น
จวบจนกระทั่งอาทิตย์สุดท้าย ก่อนที่แม่จะจากไป แม่ไม่สามารถที่จะพูด หรือส่งเสียงใดๆ ออกมาได้อีก
เป็นช่วงเวลา ที่รู้สึกว่าตัวเองผิดมาตลอด ที่ไปห้ามแม่ไม่ให้พูดเวลากินข้าว
จากคนที่เคยจู้จี้ขี้บ่น มาวันนึงพูดไม่ได้ ไม่มีเสียง มันรู้สึกถึงความเหงาอย่างบอกไม่ถูก
คืนสุดท้าย แม่หายใจแรงมาก เพราะก้อนที่หน้าอกไปกดทับหลอดลม แม่ต้องทรมานอยู่ทั้งคืน
กระทั่ง 7 โมงเช้า แม่ก็ลืมตาขึ้นมา หลังจากที่ไม่เคยลืมตามองพวกเราเลย มาเกือบ 2 อาทิตย์
แม่มองพวกเรา ผมลูบหน้าแม่ มันเหมือนเป็นสัญชาติญาณว่าแม่กำลังจะไปแล้ว
ผมบอกกับแม่ว่า "แม่ จะไปแล้วใช่มั๊ย ไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้วนะ"
ผมลูบแก้มแม่ แล้วแม่ก็หลับตาลง แม่หยุดหายใจ ไปเกือบนาที
จากนั้น มีเสียงเฮือกใหญ่ 2 ครั้ง
และแม่ ก็ได้จากพวกเราไปตลอดกาล
ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แต่ก่อนหน้านั้น ผมได้เคยเตือนน้องเอาไว้ก่อนแล้วว่า จะร้องไห้ร้องได้นะ แต่อย่าฟูมฟาย อย่าเขย่าตัวแม่ ถ้าแม่จะไป ให้แกไปสงบๆ
ผมน้ำตาไหล และได้กระซิบข้างหูแม่ "ขอบคุณแม่มากนะ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง"
ที่งานศพ ใครๆ กระทั่งพระสงฆ์ที่มาทำพิธี ต่างก็พูดเหมือนกันว่า "เหมือนแม่หลับ"
วันเผาศพ ผมลูบหน้าแม่ แล้วยิ้ม และขอบคุณแม่สำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา
ผมได้ส่งแม่ไปแล้ว โดยที่ไม่มีน้ำตาสักหยด
ทุกวันนี้ บางครั้งก็คิดถึง มีน้ำตาซึมๆ บ้าง บางทีก็สงสัยตัวเองว่า เราเป็นคนแล้งน้ำใจ หรือใจดำหรือเปล่า แม่ตายทั้งคนไม่ร้องไห้เลย เคยเห็นบางคนร้องไห้แทบขาดใจ นั่งอมทุกข์อยู่เป็นเดือนเป็นปีกับญาติที่ต้องมาจากไป
มันบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากร้องไห้ มันเป็นความรู้สึกเคว้งๆ เหงาๆ มากกว่า ทั้งที่ชีวิตนี้ ก็สนิทกับแม่มากที่สุด ครอบครัวเราเป็นครอบครัวเล็กๆ มีกันอยู่แค่แม่ลูก ส่วนพ่อเสียไปเกือบ 20 ปีแล้ว
นึกถึงเค้าว่า ถ้าแม่ยังอยู่ คงได้มากินข้าว มาไหว้พระกัน เสียดายที่แม่ไม่อยู่ซะแล้ว ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันอีกแล้ว
นึกถึงตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่คงเจ็บปวด และคงเสียใจมาก ว่าทำไมชั้นถึงได้เป็นโรคแบบนี้ ทั้งที่ตลอดชีวิตก็ดูแลสุขภาพมาโดยตลอด
นึกถึงวันสุดท้ายของเค้า แม่คงจะทรมานมาก ที่หายใจไม่ค่อยออกอยู่อย่างนั้นทั้งคืน
ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อไพศาลบ่อยมาก แทบจะทุกวัน เกี่ยวกับเรื่องการป่วยการตายนี้ เลยพอทำใจได้บ้าง ผมเปิดให้แม่ฟังทุกวันตลอดระยะเวลาที่แกนอนป่วยอยู่
ทุกวันนี้ก็ได้แต่ทำบุญ ถวายสังฆทาน กรวดน้ำให้แม่ ทำบุญครบรอบวันตาย ก็ทำอาหารที่แม่ชอบถวายพระ เพราะคิดว่า คงเป็นทางเดียวที่จะทำเพื่อตอบแทนบุญคุณแกได้ หลังจากที่แกจากไป
บางทียังอดสงสัยไม่ได้ว่า ตกลงที่เราเป็นแบบนี้ เพราะเราเข้าใจในธรรม หรือจิตใจเรามันเย็นชาต่อความตายกันแน่ แม่ตายแต่ไม่มีน้ำตาสักหยด
ท่านใด เคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาบ้างครับ
รบกวนขอคำแนะนำด้วยนะครับ
ขอบคุณมากครับ
สงสัยตัวเองว่า เป็นคนที่แล้งน้ำใจหรือเปล่า
หลังจากที่ต้องสูญเสียแม่ไป เมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปี ที่แม่ต้องต่อสู้กับโรคมะเร็ง แม่ต้องทุกข์ทรมานกับโรค ที่ลุกลามไปทั่วทั้งตัว และมีเพียงผมกับน้องสาวที่ดูแล จวบจนลมหายใจสุดท้ายของแม่
ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปี ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน หาข้อมูลทุกอย่าง เท่าที่จะทำได้ เพื่อรักษา เพื่อบรรเทาอาการต่างๆ ดิ้นรนหาเงิน หาวิธีรักษาต่างๆ และยังต้องต่อสู้กับโรค กับอาการของโรค ที่ในชีวิตนี้ไม่เคยพบไม่เคยเจอ หมอที่รักษาก็ให้คำแนะนำอะไรไม่ได้เลย
บางครั้งก็อารมณ์เสียใส่แม่ เวลาที่แม่ไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมกินยา เคยว่าแม่ เพราะแม่ชอบที่จะพูดเวลากินข้าว แล้วแม่ก็จะสำลักทุกครั้ง
บางทีก็หลับคาข้าว ก็ไปตีแขนแม่ เพื่อให้แม่รู้สึกตัว บางครั้งก็รู้สึกผิดว่าเราทำเกินไปหรือเปล่า
ยอมรับเลยครับว่า ชีวิต 1 ปีที่ผ่านมา เต็มไปด้วยความเศร้า ความเครียด จนบางครั้งยังรู้สึกผิด ที่ไปลงกับคนป่วยแบบนั้น
จนกระทั่งอาการของแม่ทรุดลงเรื่อยๆ และไม่มีสัญญาณใดๆเลย ที่จะบ่งบอกว่าอาการของแม่จะดีขึ้น
จวบจนกระทั่งอาทิตย์สุดท้าย ก่อนที่แม่จะจากไป แม่ไม่สามารถที่จะพูด หรือส่งเสียงใดๆ ออกมาได้อีก
เป็นช่วงเวลา ที่รู้สึกว่าตัวเองผิดมาตลอด ที่ไปห้ามแม่ไม่ให้พูดเวลากินข้าว
จากคนที่เคยจู้จี้ขี้บ่น มาวันนึงพูดไม่ได้ ไม่มีเสียง มันรู้สึกถึงความเหงาอย่างบอกไม่ถูก
คืนสุดท้าย แม่หายใจแรงมาก เพราะก้อนที่หน้าอกไปกดทับหลอดลม แม่ต้องทรมานอยู่ทั้งคืน
กระทั่ง 7 โมงเช้า แม่ก็ลืมตาขึ้นมา หลังจากที่ไม่เคยลืมตามองพวกเราเลย มาเกือบ 2 อาทิตย์
แม่มองพวกเรา ผมลูบหน้าแม่ มันเหมือนเป็นสัญชาติญาณว่าแม่กำลังจะไปแล้ว
ผมบอกกับแม่ว่า "แม่ จะไปแล้วใช่มั๊ย ไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้วนะ"
ผมลูบแก้มแม่ แล้วแม่ก็หลับตาลง แม่หยุดหายใจ ไปเกือบนาที
จากนั้น มีเสียงเฮือกใหญ่ 2 ครั้ง
และแม่ ก็ได้จากพวกเราไปตลอดกาล
ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แต่ก่อนหน้านั้น ผมได้เคยเตือนน้องเอาไว้ก่อนแล้วว่า จะร้องไห้ร้องได้นะ แต่อย่าฟูมฟาย อย่าเขย่าตัวแม่ ถ้าแม่จะไป ให้แกไปสงบๆ
ผมน้ำตาไหล และได้กระซิบข้างหูแม่ "ขอบคุณแม่มากนะ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง"
ที่งานศพ ใครๆ กระทั่งพระสงฆ์ที่มาทำพิธี ต่างก็พูดเหมือนกันว่า "เหมือนแม่หลับ"
วันเผาศพ ผมลูบหน้าแม่ แล้วยิ้ม และขอบคุณแม่สำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา
ผมได้ส่งแม่ไปแล้ว โดยที่ไม่มีน้ำตาสักหยด
ทุกวันนี้ บางครั้งก็คิดถึง มีน้ำตาซึมๆ บ้าง บางทีก็สงสัยตัวเองว่า เราเป็นคนแล้งน้ำใจ หรือใจดำหรือเปล่า แม่ตายทั้งคนไม่ร้องไห้เลย เคยเห็นบางคนร้องไห้แทบขาดใจ นั่งอมทุกข์อยู่เป็นเดือนเป็นปีกับญาติที่ต้องมาจากไป
มันบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากร้องไห้ มันเป็นความรู้สึกเคว้งๆ เหงาๆ มากกว่า ทั้งที่ชีวิตนี้ ก็สนิทกับแม่มากที่สุด ครอบครัวเราเป็นครอบครัวเล็กๆ มีกันอยู่แค่แม่ลูก ส่วนพ่อเสียไปเกือบ 20 ปีแล้ว
นึกถึงเค้าว่า ถ้าแม่ยังอยู่ คงได้มากินข้าว มาไหว้พระกัน เสียดายที่แม่ไม่อยู่ซะแล้ว ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันอีกแล้ว
นึกถึงตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่คงเจ็บปวด และคงเสียใจมาก ว่าทำไมชั้นถึงได้เป็นโรคแบบนี้ ทั้งที่ตลอดชีวิตก็ดูแลสุขภาพมาโดยตลอด
นึกถึงวันสุดท้ายของเค้า แม่คงจะทรมานมาก ที่หายใจไม่ค่อยออกอยู่อย่างนั้นทั้งคืน
ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อไพศาลบ่อยมาก แทบจะทุกวัน เกี่ยวกับเรื่องการป่วยการตายนี้ เลยพอทำใจได้บ้าง ผมเปิดให้แม่ฟังทุกวันตลอดระยะเวลาที่แกนอนป่วยอยู่
ทุกวันนี้ก็ได้แต่ทำบุญ ถวายสังฆทาน กรวดน้ำให้แม่ ทำบุญครบรอบวันตาย ก็ทำอาหารที่แม่ชอบถวายพระ เพราะคิดว่า คงเป็นทางเดียวที่จะทำเพื่อตอบแทนบุญคุณแกได้ หลังจากที่แกจากไป
บางทียังอดสงสัยไม่ได้ว่า ตกลงที่เราเป็นแบบนี้ เพราะเราเข้าใจในธรรม หรือจิตใจเรามันเย็นชาต่อความตายกันแน่ แม่ตายแต่ไม่มีน้ำตาสักหยด
ท่านใด เคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาบ้างครับ
รบกวนขอคำแนะนำด้วยนะครับ
ขอบคุณมากครับ