เป็นหนังฟอร์มยักษ์พล็อตเยี่ยมที่เป็นที่คาดหวังของใครหลายๆคนแน่นอน แถมยังเป็นงานกำกับของลุงโครวอีกตะหาก แต่ทำไมพอดาวดูแล้วดาวรู้สึกว่าดาวจะหลับ ดาวไม่รู้จะเขียนอะไรดี ...
เนื้อเรื่องย่อ : ฉากหลังเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 ในตุรกี เมื่อพ่อคนหนึ่งได้เสียลูกชาย 3 คนไปในสนามรบ จึงออกเดินทางตามหาเพื่อจะนำมาฝังที่บ้านเกิด
- หนังทั้งเรื่องจะโคจรอยู่รอบพระเอกอย่าง Connor (Russell Crowe) ชนิดว่าให้เห็นหน้าลุงโครวจนหายเบื่อเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่คุมบทบาทคุณพ่อผู้สิ้นหวังได้ดี อีกทั้งการแสดงออกผ่านทางสีหน้าทำให้เราค่อนข้างจะเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครได้ไม่ยาก ถึงแม้บางช่วงบางตอนเราอาจจะรู้สึกอิ่มเสียดกับแกไปบ้าง (บททั้งเรื่องจริงๆ) ซึ่งโดยส่วนตัวคิดว่าความขลังของ character แกหายไปกับ flashback ของหนังในเรื่องเยอะเลยแหละ
อีกตัวละครหนึ่งที่หมั่นออกฉากบ่อย จนเราติดหูติดตากับการแสดงของแกก็คือ Major Hasan (Yilmaz Erdogan) ซึ่งแรกๆดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ไปๆมาๆกลายเป็นตัวปล่อยคำคมของเรื่องไปซะได้! ซึ่งความนุ่มลึกสุขุมของแกก็ทำให้ติดกับอิมเมจตัวละครไม่น้อยไปกว่าตัวเอกเลยทีเดียว แต่ในบางฉากบางตอนก็แอบรู้สึกว่าตัวละครนี้มาอยู่ผิดที่ผิดทางบ้าง แต่โดยรวมถือว่าเป็นอีกหนึ่งคนที่เท่มาก
- ว่าถึงการดำเนินเรื่องของเรื่องนี้ มีพล็อตที่ค่อนข้างใหญ่ เนื่องจากมีการโยงความสัมพันธ์ของตัวละครเข้ากับเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งการตามหาลูกชายที่หายไปเนี่ย มันช่วยผลักดันให้หนังมาทางดราม่าเต็มๆอยู่แล้ว ซึ่งในหนังเรื่องนี้เราจะได้บันเทิงไปกับคำคมข้อคิดดีๆในความขัดแย้งระหว่างสงคราม ผสมผสานไปกับดราม่าพระเอกตามหาลูก แถมพ่วงความรักกุ๊กกิ๊กเข้าไปอีก
แต่ในความหลากหลายนั้นกลับเป็นจุดอ่อนของหนังที่ไม่สามารถจับเอาประเด็นหนึ่งมาขยี้ให้สุดได้ เปรียบเสมือนจะไปเชียงใหม่แต่จอดปั้มทุกๆ 20 นาที, ฉากดราม่าที่ควรจะทรงพลังกับถูกคั่นบ่อยๆด้วยพล็อตโรแมนติกระหว่างพระ-นางแทน อีกทั้งการใช้ฉาก flashback ที่ฟุ่มเฟือยไร้จุดหมายทำให้หนังเสียพลังไปโข รวมถึงการแก้ปมของพระเอกที่ค่อนข้างจะไร้เหตุไร้ผลไปนิดนึง (แทบจะกลายเป็นจิตสัมผัสไปแล้ว) รวมถึงฉากจบท้ายเรื่องที่ดูเนือยๆมาก ไม่พาให้เราอินเอาเสียเลย
ถึงแม้การขยี้ปมจะไม่ถึงอารมณ์อย่างที่เราคาดไว้ แต่การเดินทางของพระเอกก็ให้ความรู้สึกน่าสนใจได้เกินคาด ซึ่งผู้เขียนค่อนข้างชอบประเด็นโดยไม่ได้ตั้งใจตรงนี้มากกว่า มุกเล็กๆน้อยๆที่แฝงไว้ตามฉากมีเสน่ห์มากพออาทิเช่นกิมมิกกาแฟ ก็เล่นได้อย่างเหมาะเจาะมีจังหวะอยู่
- งานภาพ-เพลงประกอบ ขอสารภาพว่าจำไม่ได้เลย มันเรียบง่ายมากชนิดไม่มีอะไรให้จำ อารมณ์หนังที่มีขาดช่วงขาดตอนบ้างอาจจะถือเป็นจุดบกพร่องของหนังเรื่องนี้ หากจะพูดถึงซาวน์ที่เด่นที่สุด ก็คงเป็นเสียงกระสุนปืนในสนามรบนี่แหละ
"Water Diviner เป็นหนังดราม่าพล็อตน่าสนใจ แต่กลับนำเสนอได้ค่อนข้างจืดจางน่าหาวนอน แต่การแสดงที่สอดคล้องกับบทบาทของตัวละคร ก็ยังถือเป็นจุดน่าสนใจของหนัง ถือว่าว่างๆก็ไปดูได้ แต่ถ้าคาดหวังความรู้สึก epicๆ กลับมาล่ะก็ .. ไม่แนะนำเท่าไหร่"
คะแนนความเห็นส่วนตัว : 6.5/10
กาแฟยิ่งหวาน ความรักยิ่งแนบแน่น by Jayz Hunhaboon
[REVIEW] The Water Diviner ; ลูกหาย ได้เมีย
เนื้อเรื่องย่อ : ฉากหลังเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 ในตุรกี เมื่อพ่อคนหนึ่งได้เสียลูกชาย 3 คนไปในสนามรบ จึงออกเดินทางตามหาเพื่อจะนำมาฝังที่บ้านเกิด
- หนังทั้งเรื่องจะโคจรอยู่รอบพระเอกอย่าง Connor (Russell Crowe) ชนิดว่าให้เห็นหน้าลุงโครวจนหายเบื่อเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่คุมบทบาทคุณพ่อผู้สิ้นหวังได้ดี อีกทั้งการแสดงออกผ่านทางสีหน้าทำให้เราค่อนข้างจะเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครได้ไม่ยาก ถึงแม้บางช่วงบางตอนเราอาจจะรู้สึกอิ่มเสียดกับแกไปบ้าง (บททั้งเรื่องจริงๆ) ซึ่งโดยส่วนตัวคิดว่าความขลังของ character แกหายไปกับ flashback ของหนังในเรื่องเยอะเลยแหละ
อีกตัวละครหนึ่งที่หมั่นออกฉากบ่อย จนเราติดหูติดตากับการแสดงของแกก็คือ Major Hasan (Yilmaz Erdogan) ซึ่งแรกๆดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ไปๆมาๆกลายเป็นตัวปล่อยคำคมของเรื่องไปซะได้! ซึ่งความนุ่มลึกสุขุมของแกก็ทำให้ติดกับอิมเมจตัวละครไม่น้อยไปกว่าตัวเอกเลยทีเดียว แต่ในบางฉากบางตอนก็แอบรู้สึกว่าตัวละครนี้มาอยู่ผิดที่ผิดทางบ้าง แต่โดยรวมถือว่าเป็นอีกหนึ่งคนที่เท่มาก
- ว่าถึงการดำเนินเรื่องของเรื่องนี้ มีพล็อตที่ค่อนข้างใหญ่ เนื่องจากมีการโยงความสัมพันธ์ของตัวละครเข้ากับเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งการตามหาลูกชายที่หายไปเนี่ย มันช่วยผลักดันให้หนังมาทางดราม่าเต็มๆอยู่แล้ว ซึ่งในหนังเรื่องนี้เราจะได้บันเทิงไปกับคำคมข้อคิดดีๆในความขัดแย้งระหว่างสงคราม ผสมผสานไปกับดราม่าพระเอกตามหาลูก แถมพ่วงความรักกุ๊กกิ๊กเข้าไปอีก
แต่ในความหลากหลายนั้นกลับเป็นจุดอ่อนของหนังที่ไม่สามารถจับเอาประเด็นหนึ่งมาขยี้ให้สุดได้ เปรียบเสมือนจะไปเชียงใหม่แต่จอดปั้มทุกๆ 20 นาที, ฉากดราม่าที่ควรจะทรงพลังกับถูกคั่นบ่อยๆด้วยพล็อตโรแมนติกระหว่างพระ-นางแทน อีกทั้งการใช้ฉาก flashback ที่ฟุ่มเฟือยไร้จุดหมายทำให้หนังเสียพลังไปโข รวมถึงการแก้ปมของพระเอกที่ค่อนข้างจะไร้เหตุไร้ผลไปนิดนึง (แทบจะกลายเป็นจิตสัมผัสไปแล้ว) รวมถึงฉากจบท้ายเรื่องที่ดูเนือยๆมาก ไม่พาให้เราอินเอาเสียเลย
ถึงแม้การขยี้ปมจะไม่ถึงอารมณ์อย่างที่เราคาดไว้ แต่การเดินทางของพระเอกก็ให้ความรู้สึกน่าสนใจได้เกินคาด ซึ่งผู้เขียนค่อนข้างชอบประเด็นโดยไม่ได้ตั้งใจตรงนี้มากกว่า มุกเล็กๆน้อยๆที่แฝงไว้ตามฉากมีเสน่ห์มากพออาทิเช่นกิมมิกกาแฟ ก็เล่นได้อย่างเหมาะเจาะมีจังหวะอยู่
- งานภาพ-เพลงประกอบ ขอสารภาพว่าจำไม่ได้เลย มันเรียบง่ายมากชนิดไม่มีอะไรให้จำ อารมณ์หนังที่มีขาดช่วงขาดตอนบ้างอาจจะถือเป็นจุดบกพร่องของหนังเรื่องนี้ หากจะพูดถึงซาวน์ที่เด่นที่สุด ก็คงเป็นเสียงกระสุนปืนในสนามรบนี่แหละ
"Water Diviner เป็นหนังดราม่าพล็อตน่าสนใจ แต่กลับนำเสนอได้ค่อนข้างจืดจางน่าหาวนอน แต่การแสดงที่สอดคล้องกับบทบาทของตัวละคร ก็ยังถือเป็นจุดน่าสนใจของหนัง ถือว่าว่างๆก็ไปดูได้ แต่ถ้าคาดหวังความรู้สึก epicๆ กลับมาล่ะก็ .. ไม่แนะนำเท่าไหร่"
คะแนนความเห็นส่วนตัว : 6.5/10
กาแฟยิ่งหวาน ความรักยิ่งแนบแน่น by Jayz Hunhaboon