ในพงศาวดารพม่า ระบุว่า "ยังไม่ทันที่จะได้รบตัดสินแพ้-ชนะกัน อะแซหวุ่นกี้ต้องยกทัพกลับกรุงอังวะอย่างกะทันหัน"
ทั้งนี้พงศาวดารต้องเขียนให้ประวัติอะแซหวุ่นกี้ขาวสะอาดนั่นเอง คือ "ไม่แพ้ใคร" ทั้งๆที่ใครๆในสมัยนั้นก็รู้ว่าแพ้
มีหลัฐานหลายอย่างระบุว่ากองทัพอะแซหวุ่นกี้แพ้
หลักฐานของเซอร์ อาเธอร์ แฟร์ที่ว่า
“ ...เมื่อสิ้นฝน มหาสีหสุระ ( อะแซหวุ่นกี้ ) ก็นำทัพเข้าทางด่านระแหงได้พบการต่อสู้ไม่เข้มแข็งเท่าใดนัก แต่เกิดการขัดแย้งขึ้นในกองทัพพม่า แม่ทัพรอง เซยาคะโย ( Zeya Kyo ) ไม่เห็นด้วยกับแผนการรบ แต่มหาสีหสุระก็ปฏิบัติไปตามแผนของท่าน ท่านตีได้เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย แล้วก็ ประสบความพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวง ต้องถอยทัพกลับไปสู่พรมแดนอย่างแสนอัปยศ ...นายทหารหลายคนถูกลงโทษประหารชีวิต ตัวมหาสีหสุระถูกถอดจากยศตำแหน่ง ได้รับความอัปยศยิ่งนัก... ”
ส่วนจดหมายเหตุความทรงจำของฝ่ายไทยบันทึกไว้ว่า
“ ...ปีมะโรง เมืองเมาะตะมะแตก พระยาเจ่ง พาครัวหนีมาพึ่งพระบารมี พระยาจ่าบ้านแข็งเมืองอยู่ไม่ลงมา เสด็จขึ้นไปตีไม่ได้ ถอยล่าทัพยั้งอยู่เนิน รื้อกลับขึ้นไปตีเชียงใหม่กลับลงมา ณ ปลายปี พม่ายกไล่หลังมา 5 ทาง ล้วนทัพหมื่น แต่สู้รบกันอยู่เป็น 3 เดือน เสียพิษณุโลก กลับขุดอุโมงค์เข้าไปตีค่าย พม่าแตกออกจากค่าย รื้อตั้งล้อมกลางแปลง จับได้พม่าแม่ทัพใหญ่ ได้พม่าหลายหมื่น พม่าแตกเลิกทัพไป... ”
หลักฐานต่างๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าอะแซหวุ่นกี้จะตีเมืองพิษณุโลกได้ แต่ในที่สุดก็ถูกสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตีแตกพ่ายไป
แผนที่ทางภูมิศาสตร์มีเนินดินอะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรี ตกลงศึกอะแซหวุ่นกี้ ใครแพ้ใครชนะ
ทั้งนี้พงศาวดารต้องเขียนให้ประวัติอะแซหวุ่นกี้ขาวสะอาดนั่นเอง คือ "ไม่แพ้ใคร" ทั้งๆที่ใครๆในสมัยนั้นก็รู้ว่าแพ้
มีหลัฐานหลายอย่างระบุว่ากองทัพอะแซหวุ่นกี้แพ้
หลักฐานของเซอร์ อาเธอร์ แฟร์ที่ว่า
“ ...เมื่อสิ้นฝน มหาสีหสุระ ( อะแซหวุ่นกี้ ) ก็นำทัพเข้าทางด่านระแหงได้พบการต่อสู้ไม่เข้มแข็งเท่าใดนัก แต่เกิดการขัดแย้งขึ้นในกองทัพพม่า แม่ทัพรอง เซยาคะโย ( Zeya Kyo ) ไม่เห็นด้วยกับแผนการรบ แต่มหาสีหสุระก็ปฏิบัติไปตามแผนของท่าน ท่านตีได้เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย แล้วก็ ประสบความพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวง ต้องถอยทัพกลับไปสู่พรมแดนอย่างแสนอัปยศ ...นายทหารหลายคนถูกลงโทษประหารชีวิต ตัวมหาสีหสุระถูกถอดจากยศตำแหน่ง ได้รับความอัปยศยิ่งนัก... ”
ส่วนจดหมายเหตุความทรงจำของฝ่ายไทยบันทึกไว้ว่า
“ ...ปีมะโรง เมืองเมาะตะมะแตก พระยาเจ่ง พาครัวหนีมาพึ่งพระบารมี พระยาจ่าบ้านแข็งเมืองอยู่ไม่ลงมา เสด็จขึ้นไปตีไม่ได้ ถอยล่าทัพยั้งอยู่เนิน รื้อกลับขึ้นไปตีเชียงใหม่กลับลงมา ณ ปลายปี พม่ายกไล่หลังมา 5 ทาง ล้วนทัพหมื่น แต่สู้รบกันอยู่เป็น 3 เดือน เสียพิษณุโลก กลับขุดอุโมงค์เข้าไปตีค่าย พม่าแตกออกจากค่าย รื้อตั้งล้อมกลางแปลง จับได้พม่าแม่ทัพใหญ่ ได้พม่าหลายหมื่น พม่าแตกเลิกทัพไป... ”
หลักฐานต่างๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าอะแซหวุ่นกี้จะตีเมืองพิษณุโลกได้ แต่ในที่สุดก็ถูกสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตีแตกพ่ายไป