(REVIEW) INTO THE WOOD เมื่อเทพนิยายไม่เป็นดั่งฝัน และ "คนดี" กับ "คนนิสัยดี" นั้นต่างกัน

กระทู้สนทนา
(มีสปอยส์)
เมื่อวานได้มีโอกาสไปดู INTO THE WOOD มา
เป็นหนังเรื่องแรกที่ไม่ได้อ่านเรื่องย่อ ไม่ได้อ่านรีวิว ไม่ได้ศึกษาอะไรก่อนไปดูเลย
ปกติเราไม่ดูละครเพลงนะ ไม่ค่อยชอบ ปวดหัว (แต่เคยดู เหยื่ออธรรม ก็เลยพอมีภูมิต้านทานมาบ้าง)
เราไปดูเรื่องนี้มา บอกเลยไม่ใช่หนังของเด็กเเน่นอน เป็นหนังของผู้ใหญ่
.

ในด้านตัวละคร
ตัวละครทุกตัวเเสดงได้ทรงพลังดีมากเลย
ทั้งสีหน้าเเววตาและการร้องเพลง ถ้าใครชอบชมการแสดงไตล์ละครเวที จะรู้สึกว่าคุ้มค่าตั๋วมากๆ เลย เพราะอัดเเน่นคุณภาพ
ตั้งแต่คนแก่ไปจนถึงเด็ก แสดง เต้น ร้อง รำได้ตามบทบาทของตัวเองเเละก็น่ารักมากๆ
ทุกตัวละครมีความสำคัญกับเรื่อง มีความหมายและเเง่คิดบางอย่างซ่อนไว้ แล้วเเต่ว่าผู้ชมจะเก็บเกี่ยวได้มากน้อยแค่ไหน
ที่ชอบมากที่สุดก็คงเป็นแม่มดล่ะมั้ง แสดงได้เกรียนมากๆ ตอนเเรกมาอย่างโหด ตอนจบก็จากไปแบบเกรียนๆ เลยทีเดียว
แถมยังร้องเพลงได้เพราะสุดๆ โดยเฉพาะเพลงที่ร้องบนหอคอยให้ราพันเซลฟัง เข้าใจหัวอกคนเป็นแม่เลย
ชอบแจ็คด้วย เป็นเด็กผู้ชายที่น่ารักมาก แอบน้ำตาซึมตอนที่แจ็คโกรธและจะไปฆ่ามหาดเล็กที่ทำร้ายแม่ของตนเอง ฉากนั้นเรารู้สึกสะเทือนใจมาก
มันบ่งบอกว่าเด็กคนหนึ่งได้รับผลกระทบจาก "สังคม" มากขนาดไหน
.
ในด้านเทคนิค ฉาก เสื้อผ้า
เทคนิคและฉาก รวมถึงเสื้อผ้า การจัดเเสงสีเป็นสไตล์ละครเวทีทุกอย่างเลย
เช่น ฉากเปิดตัวละคร ฉากร้องเพลง ก็จะมีเเสงไฟส่องลงมาจากเบื้องบนสาดใส่นักแสดง
ให้อารมณ์เหมือนกำลังชมบลอดเวร์
คือไม่ยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างแบบเเฟนตาซีทั่วไป
แต่เป็นการสร้างข้อตกลงระหว่างผู้ชมเเละผู้สร้างให้เกิดการเข้าใจตรงกัน
ให้ผู้ชมตระหนักว่าสิ่งที่เรากำลังรับชมอยู่นั้นเป็น "เรื่องแต่งและเรื่องโกหก"
ส่วนผู้ชมจะเก็บเกี่ยวอะไรได้จาก "เรื่องแต่งและเรื่องโกหกนี้" ก็แล้วแต่ทักษะของเเต่ละคน
ดังนะั้นคนที่ไปดูเรื่องนี้จึงควรมีสกิลการจินตนาการในระดับหนึ่ง
เพื่อจะได้จินตนาการได้ตรงกับที่ผู้เขียนบทภาพยนตร์ต้องการสื่อ
แต่แอบรู้สึกว่าเสียงมันดังและแหกปากตลอดเรื่องไปหน่อยนะ ฮ่าๆ หรือโรงภาพยนตร์ที่เราไปดูมันเปิดดังเกินไปไม่รู้
.
ในด้านโครงเรื่องและการดำเนินเรื่อง
วิธีการเล่าเรื่องเป็นแบบสไตล์ละครเวที ร้องเพลงตลอดเรื่อง
คนที่สกิลในการอ่านเเละการฟังค่อนข้างต่ำจะติดตามไม่ทันเเน่ๆ
และคนที่ไม่ชอบหนังประเภทร้องเพลง ท่าทางแอคติ้งโอเวอร์เเบบละครเวทีก็จะไม่ชอบ
ตัวละครในเรื่องไม่ได้ดำเนินด้วยความสมจริงทั้งหมด ออกแนวเหนือจริง เหนือกฏของเหตุและผล
แต่ในความ "ไม่สมจริง" ในภาพยนตร์ มันกลับทำให้เราเห็น "ความจริง" ของโลก
ชวนให้นึกถึงคำกล่าวที่ว่า
"ศิลปิน เล่าเรื่องโกหกเพื่อบอกความจริงของโลก"
ภาพยนตร์แบ่งเป็นสองช่วง
ช่วงเเรกจบแฮปปี้เเบบในนิยาย ซึ่งเป็นไปตามโลกแห่งความฝันของทุกคน
ปกติเวลาเด็กนักเรียนเอาละครเรื่องนี้ไปแสดงตามโรงเรียน
ก็มักจะเเสดงกันถึงเเค่ครึ่งเเรกนี้เพราะมันเป็นไปตามความฝันแบบฉบับเทพนิยาย
คนที่ชอบอะไรสวยงามก็จะชอบครึ่งเเรกนี้มาก ทั้งตลก ฮา บ้าบอ เเละเกินจริง (แต่แอบสยองเเละตรกร้ายหลายจุด)
ถ้าคุณชอบแค่นี้ก็สามารถเดินออกจากโรงหนังได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องดูต่อ ถ้าพาลูกมาดูก็คิดว่าให้ดูแค่นี้พอ
เพราะในครึ่งหลังต่อมา มันคืออีกด้านที่เทพนิยายไม่ได้บอกเรา
นั่นก็คือผลแห่งการกระทำของเหล่าพระเอกนางเอกในเทพนิยายเมื่อครึ่งเรื่องแรกจะมาปรากฏในครึ่งหลังนี้
แอบเสียดายตรงที่ครึ่งหลังยังดาร์คไม่สุด และเยิ่นเย้อร้องเพลงหนึ่งในซีนหนึ่งนานไปหน่อย
พยายามสั่งสอนคนดูมากเกินไป จนทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกยัดเยียดข้อคิดและก็ยกมือหาวเบาๆ
.
ในด้านแก่นของเรื่อง
หลังจากดูจบคิดในใจว่าจะต้องไปดูสักสามรอบ =.=
รู้สึกว่ามีอะไรให้เก็บเกี่ยวอีกเยอะมาก เต็มไปด้วยปรัชญาที่หลากหลาย
ครึ่งเเรกออกแนวโลกสวยตามแบบฉบับเทพนิยาย
ครึ่งหลังคือโลกความจริงที่เทพนิยายไม่ได้บอกไว้
บางทีตัวละครเอกในเทพนิยายก็ไม่คู่ควรจะเป็นตัวละครเอกเลยสักนิด
เพราะคนดีกับคนนิสัยดีนั้นต่างกัน
ต่อไป เวลาจะเล่านิทานให้เด็ก ก็ต้องระวัง
เพราะนิทานบางทีสอนให้เด็กนิสัยดี แต่ก็ไม่ได้สอนให้เด็กเป็นคนดี
หนังได้ตั้งคำถามให้คนดูฉุกคิดว่าเทพนิยายชวนฝันมากมาย
แท้จริงกำลังมอบอะไรให้เด็กกันแน่ ?
เทพนิยายส่วนมากสอนให้เด็กเป็นคนนิสัยดี อยู่ในกฏของสังคม
แต่อย่างไรก็ตาม เทพนิยายไม่ได้สอนให้เด็กเป็นคนดีจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็น ซินเดอเรลล่าที่อยากแต่งงานกับเจ้า
ก็ได้สร้างค่านิยายให้ผู้หญิงอยากแต่งานกับคนหล่อรวยมีเสน่ห์
จนลืมไปว่าผู้ชายประเภทนี้อาจจะไม่ได้มีความรักความจริงใจ ความซื่อสัตย์เสมอไป
ผู้หญิงประเภทซินเดอเรลร่าสมควรเป็นนางเอกเเล้วหรือ ?
หรือหนูน้อยหมวกแดงก็สอนว่าเด็กที่ดีจะต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่วางใจคนแปลกหน้า
แต่การไม่วางใจคน มันจะส่งผลอะไรกับเด็กไหม ? เด็กจะกลายเป็นคนก้าวร้าวหรือเปล่า ?
เด็กจะกลายเป็นคนมองโลกแง่ร้าย และกลัวการหลอกลวงหรือไม่ ?
หรือแจ็คผู้ฆ่ายักษ์...หนังก็ได้ตั้งคำถามกับเราว่าแจ็คหัวขโมยสมควรจะเป็นพระเอกจริงๆ หรือ ?
กระทั่งราพันเซลที่อยากหนีออกไปจากหอคอย ก็เหมือนเด็กที่อยากหนีตามผู้ชายออกบ้าน
แต่ทำไมเธอยังได้เป็นนางเอก ?
หรือแม่มดที่รักลูกเสียจนกักขังลูกไว้ในหอคอย ก็ไม่ต่างกับแม่หลายๆ คนที่เลี้ยงลูกแบบกดดัน
้ท้ายที่สุด แม้จะทำด้วยความรักแต่ก็ได้สร้างความร้าวฉานในครอบครัว
แบบนี้เรียกว่าเเม่ที่ดีเเล้วหรือยัง ?
และสุดท้ายคือคนทำขนมปังที่อยากได้ลูก ก็ไม่ต่างจากครอบครัวทั่วไปที่อยากมีลูก
หนังก็ได้ตั้งคำถามว่าคุณพร้อมเเล้วหรือยังที่จะเลี้ยงดูทารกคนหนึ่ง และพร้อมจะอุ้มเด็กคนนั้นฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคไปด้วยได้ ?
.
สรุป
เรื่องนี้ให้ 8 คะเเนน
ตัดคะเเนนออก 2 คะเเนนเพราะความเยิ่นเย้อช่วงท้ายหนังที่ทำให้แอบอ้าปากหาวตั้งสองครั้ง
และก็รู้สึกเหมือนยัดเยียดคำสอนมากไปหน่อย จริงๆ ให้คนดูคิดเองเอาบ้างก็ได้
ถ้าคุณเป็นคอภาพยนตร์แนวมิวสิคคัล ชอบปรัชญาและมีมุมองเเบบ realistic ชอบตั้งคำถามเชิงวิพากษ์แนะนำเรื่องนี้เลย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่