เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา
ครูคนสุดท้าย
"เพทาย"
ครูคนแรกของผมที่สอนชั้นประถม ในโรงเรียนซึ่งตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนินนอก
จนกระทั่งย้ายมาตั้งที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ แล้วก็ยังใช้ชื่อเดิมนั้น
ท่านเป็นหม่อมหลวง เป็นครูผู้หญิง ซึ่งผมจำเค้าได้ราง ๆ ว่าท่านเป็น สาวสวยมากคนหนึ่ง
เห็นได้จากการแสดงละคร ในงานอะไรก็จำไม่ได้ของโรงเรียน
ท่านได้แสดงเป็นนางเอก คู่กับพระเอกซึ่งเป็นพี่ชายของท่านเอง
แต่ที่จำได้แม่นยำอย่างยิ่งก็คือครูใหญ่ ซึ่งท่านเป็น หม่อมราชวงศ์
เพราะเป็นบิดาของครูน้อยสองคนพี่น้องที่กล่าวถึงข้างต้นนั่นเอง
ท่านเคยทำโทษผมเรื่องอะไรก็ลืมไปแล้ว ท่านพยากรณ์ไว้ว่า
หน้าอย่างผมนี่ทำอะไรก็ไม่ทันคนไม่ทันกินตลอดชาติ
ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นความจริงดังที่ท่านว่าเสียด้วย
ครูชั้นมัธยมต้นของผมที่โรงเรียนวัดสมอรายนั้น
บังเอิญท่านเคยเป็นครูใหญ่ ที่โรงเรียนประจำจังหวัดกระบี่
ซึ่งขณะนั้นพ่อของผมเป็นศึกษาธิการจังหวัดอยู่
และตัวผมเองก็เกิดที่บ้านพักของท่าน โดยมีภรรยาของท่านเป็นผู้ทำคลอดด้วย
เมื่อแม่พาผมไปฝากเข้าเรียน ท่านจึงรับเป็นธุระจัดการให้ตลอด โดยแม่ผมไม่ต้องยุ่งเลย
และเมื่อท่านได้เป็นครูประจำชั้น ตลอดเวลา ๓ ปีในชั้นมัธยมปีที่ ๑ - ๓
ท่านก็กวดผมทั้งวิชา ความรู้และความประพฤติ จนก้นของผมและเพื่อนร่วมชั้นน่วมไปตาม ๆ กัน
อาจจะเป็นเรื่องแปลกที่ครูในสมัยนั้น มักจะเลื่อนชั้นสอนตามนักเรียน
จนจบประโยคมัธยมต้น หรือ มัธยมปลาย แล้วจึงย้อนกลับมาสอนชั้นแรกอีก
ส่วนผลการเรียนนั้น ชั้นมัธยมปีที่ ๒ ก่อนจะถึงเวลาสอบไล่ ก็ได้เกิดสงครามมหาเอเซียบูรพา
ญี่ปุ่นบุกผ่านประเทศไทยไปตีมาลายูและสิงคโปร์ บานปลายออกไปเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๒
พวกเราก็ได้เลื่อนชั้นโดยไม่ต้องสอบ ขึ้นชั้นมัธยมปีที่ ๓
ถึงเดือนตุลาคมเกิดน้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศ จนเรือเอี้ยมจุ๊นสามารถขึ้นมาแล่นบนถนนสามเสนได้อย่างสบาย
และต้องนั่งเรือไปวางพวงมาลาที่พระบรมรูปทรงม้า
เมื่อน้ำแห้งลงพวกเราเลยสอบผ่านได้โดยไม่ต้องถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์
ชั้นมัธยมปีที่ ๔ ผมผ่านไปได้อย่างเฉียดฉิวเต็มที พอถึงชั้นมัธยมปีที่ ๕ สงครามดุเดือดขึ้น
นักเรียนไม่เป็นอันเรียน เพราะต้องวิ่งลงหลุมหลบภัยทางอากาศไม่เว้นแต่ละวัน
จึงต้องปิดโรงเรียน ให้ประชาชนอพยพไปอยู่ในต่างจังหวัดที่ไม่มีจุดยุทธศาสตร์
แต่ความจริง ดูเหมือนทางราชการ จะเตรียมต่อสู้กับญี่ปุ่นมหามิตรให้ถนัดมือมากกว่า
ตัวของผมเอง ไม่ได้อพยพไปไหนเลยเพราะเป็นชาวกรุงเทพทั้งตระกูล
ต้องนอนดูเครื่องบินสี่เครื่องยนต์ของสัมพันธมิตร ที่แห่กันมาทิ้งระเบิด คืนแล้วคืนเล่า วันแล้ววันเล่า
จนสะพานพุทธยอดฟ้าพัง โรงไฟฟ้าวัดเลียบราบเรียบไป แล้วปล่องโรงไฟฟ้าสามเสนก็โค่นลงมากองกับพื้น
จนถึงสะพานพระราม ๖ ที่ลูกระเบิดเวลา ส่งเสียงเสทือนเลื่อนลั่นทั้งคืน
รุ่งเช้าก็เห็นช่วงกลางหักลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา
แล้วอยู่ ๆ สงครามก็สงบลง โดยปัจจุบันทันด่วนแทบไม่ทันได้เตรียมตัวยินดี
ผมจึงได้กลับ มาเข้าเรียนโรงเรียนเดิม ในชั้นมัธยมปีที่ ๖
และพอถึงปลายปีก็สอบตกอย่างไม่เป็นท่า เพราะเรียนกระพร่องกระแพร่งมาตลอดปี
มัวแต่ไปเที่ยวเร่ขายขนมเลี้ยงท้อง ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยจะพอกิน
ผมต้องออกจากโรงเรียน เพราะไม่มีค่าเทอมเรียนต่อ
ไปสมัครสอบโรงเรียนจ่าทหารเรือก็ตกว่ายน้ำ
เคราะห์ดีที่มีญาติเป็นใหญ่อยู่ที่กรมพาหนะทหารบก
จึงได้รับการช่วยเหลือให้เข้าเป็นลูกจ้างใช้แรงงานตั้งแต่อายุเพียง ๑๕ ปี
ตัวเล็กนิดเดียว ผมบนหัวยังเกรียนอยู่ จนมีผู้ทักว่าใครเอาลูกมาทำงานด้วย
คราวนี้ผมจึงมีครูมากมาย หลายคน เพราะทำอะไรกับเขาไม่เป็นเลย
ครูคนหนึ่งสอนให้เข็นถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร จากท่าเรือ วัดแก้วฟ้าจุฬามณี ที่เรียกว่าท่าตาแหน
ซึ่งต้องออกเสียงว่าตาแหน ไม่ใช่ ตาแหน เอ...เขียนไม่ถูก
ว่า หอ นอ แอ แหน ไม่ใช่ หอ แอ นอ แหน
เอาเถอะไม่ถูกก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก
ถังน้ำมันที่ว่านั้นไม่ใช่ถังเปล่า แต่เป็นถังที่มีน้ำมันเต็ม ๒๐๐ ลิตร
เข็นไปตามถนนขรุขระที่ยังไม่ได้ลาดยาง จากท่าเรือเข้าไปในคลัง
ซึ่งเป็นโรงเรียนทหารขนส่งเดี๋ยวนี้ โดยมีไม้กระดานแผ่นเดียวรองพื้นเป็นเครื่องทุ่นแรง
ครูสอนวิธีออกแรงแต่น้อย ให้ถังเลี้ยงตัวอยู่บนแผ่นกระดาน ในระหว่างที่กลิ้งไป จะได้ไม่เกิดความฝืด
พอมีความรู้ความชำนาญ ก็เลื่อนขั้นไปเข็นถังจาระบี ที่มีขนาดเดียวกัน
แต่ดูเหมือนน้ำหนักจะมากกว่าน้ำมันถึงเท่าตัว
สมัยนั้นสิ้นสงครามใหม่ ๆ กรมพาหนะทหารบก ย้ายสิ่งอุปกรณ์จากคลังต่างจังหวัดเข้ามาเก็บยังที่ตั้งปกติ
ที่เรียกว่าคลัง พน.๓ เกียกกาย ครูอีกคนหนึ่งก็สอนให้รู้จักวิธีแบกลังไม้ ขนาดกว้างยาวเท่ากับปี๊บน้ำมันก๊าด ๒ ใบเรียงกัน
ซึ่งเป็นลังบรรจุเครื่องอะไหล่รถยนต์ ที่ส่วนใหญ่เป็นเหล็กเต็มลัง แต่คราวนี้แม้จะรู้แล้วก็ทำไม่ได้
เพราะแบกน้ำหนักของมันไม่ไหว ต้องคอยช่วยกันกับคนงานตัวเล็ก ๆ สองคนยกขึ้นบ่าผู้ใหญ่ให้แบก ไป
และช่วยเขานับจำนวนสิ่งอุปกรณ์เหล่านั้น ขนเข้าไปเก็บในคลัง
จึงทำให้รู้จักชื่อชิ้นส่วนของรถยนต์มากมาย โดยไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนในเครื่องยนต์
ครูคนถัดไปก็สอนให้รู้จักวิธีร้อยโซ่มัดยางรถยนต์ที่เก็บอยู่ในคลัง
อาศัยที่เป็นเด็กตัวเล็ก เขาก็สอนให้คลานเข้าไปในช่องว่างกลางวงของยางรถยนต์บรรทุก
ที่เรียงกันเป็นแถวเป็นแนว แล้วลากเอาสายโซ่เส้นเกือบเท่าข้อมือของตนเอง
จากด้านหลังออกมาด้านหน้าเพื่อใส่กุญแจ ไม่ให้มันแตกแถว หรือสูญหายไปได้
กว่าจะเรียบร้อยเป็นแถวเต็มห้องคลัง หัวเข่าก็ดูเหมือนจะช้ำชอก จนถลอกปอกเปิก
ต้องใส่ยาแดงนั่งยอง ๆ ไม่ถนัดไปนานพอสมควร
ครูคนสุดท้ายท่านเป็นหัวหน้าของคนงานทั้งหมด เดิมมียศเป็นร้อยเอก แต่ปลดออกรับบำนาญเมื่อสิ้นสงคราม
ท่านเป็นนักดื่มคอทองแดง เย็นลงเสร็จงานที่เหน็ดเหนื่อยหนักหนาสาหัสแล้ว ก็ชวนลูกน้องคอเดียวกัน ตั้งวงสุราหลังคลัง
ดวดกันพอหายเหนื่อยจึงจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ซึ่งเป็นบ้านพักของทางราชการที่อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานเท่าไรนัก
ผมเจียมตัวว่าเป็นเด็กจึงไม่เคยอยู่ร่วมวงกับเขา เลิกงานก็รีบกลับบ้านทุกวัน ซึ่งก็ไม่มีใครว่าอะไร
จนกระทั่งถึงวันส่งท้ายปีเก่า ซึ่งรุ่งขึ้นจะเป็นวันหยุดราชการติดต่อกัน จนถึงปีใหม่ วันนั้นไม่ทราบว่าชักช้าทำอะไรอยู่
พอเดินผ่านวงก็ได้ยินเสียงคุยดังกว่าทุกวัน ซึ่งปกติมักจะเป็นเวลาที่เพิ่งเริ่มต้น คราวนี้หัวหน้ามองมาเห็นผมเข้าเต็มตา
จึงร้องตะโกนเรียก
" ไอ้ห่อ มานี่ " ท่านเรียกชื่อเล่นของผม
ผมจำต้องเดินเข้าไปหาด้วยความเคยชิน ท่านก็สั่งให้นั่งร่วมวง แล้วก็ให้ลูกน้องหาน้ำเย็นให้ผมดื่ม
คือวงนั้นเขาดื่มเหล้ายี่ห้ออะไรก็ไม่ทราบ กระดกแก้วดื่มกันเพียว ๆ ทีละคำ แล้วตามด้วยน้ำเย็น ที่เขาเรียกกันว่าตบตูด
ท่านบอกว่าทำงานมาเกือบครบปีแล้ว จะสอนให้กินเหล้าเป็นเสียที ผมก็อึกอักปฏิเสธว่ากลัวแม่ดุ
ท่านก็ตัดบทว่าโตแล้ว ลูกผู้ชายถ้ากินเหล้าไม่เป็นก็ใช้ไม่ได้ ท่านก็ดื่มให้ดูเป็นตัวอย่าง แล้วก็ถามว่า
" ไอ้ห่อ...เอ็งเป็นลูกน้องใคร ? "
ผมก็ตอบว่าเป็นลูกน้องผู้กอง ท่านก็ถามต่อ
" ข้าสั่งให้ทำอะไร เอ็งจะทำไหม ? "
ผมก็รับว่าทำครับ
" งั้นข้าสั่งให้เอ็งกินเหล้า จะกินไหม ? "
" กินครับ " ผมโพล่งออกไปด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายอายุสิบห้า
ท่านส่งแก้วที่มีน้ำสีอำพันติดก้นแก้วให้ผม ซึ่งผมรับมาดื่มกร๊วบเดียว ให้เหมือนกับที่เห็นทั้งวงเขาดื่มกันมาเป็นเวลานาน
แต่คุณพระ ! ผมเกือบสำลัก น้ำหูน้ำตาปริ่ม ร้อนวาบไปตามลำคอถึงลำใส้ใหญ่น้อย ม้ามกึ๋นและขอบกระด้ง
เพื่อนผู้อาวุโสในวง รีบส่งแก้วน้ำมาให้ตบตูด อาการจึงดีขึ้น
แล้วผมก็กินเหล้าเป็นตั้งแต่วันนั้นมา และกินอยู่ร่วมสามสิบปี จนกระทั่งเป็นโรคตับ บวมไปทั้งตัว
หมอที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งรักษาโรคตับโตของผมจึงบอกให้งดดื่มเหล้า
ผมกินยารักษาตัวอยู่ร่วมปี แล้วก็หันมาดื่มเบียร์ต่ออีกยี่สิบปี
จนเป็นแผลในกระเพาะอาหารอีกโรคหนึ่ง ที่ทำให้คิดอยู่จนทุกวันนี้
ว่าจะเลิกเสียทีจะดีไหม ?
###########
จากคุณ : เจียวต้าย - [8 ก.ย. 52 06:07:05]
ครูคนสุดท้าย ๑๖ ม.ค.๕๘
ครูคนสุดท้าย
"เพทาย"
ครูคนแรกของผมที่สอนชั้นประถม ในโรงเรียนซึ่งตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนินนอก
จนกระทั่งย้ายมาตั้งที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ แล้วก็ยังใช้ชื่อเดิมนั้น
ท่านเป็นหม่อมหลวง เป็นครูผู้หญิง ซึ่งผมจำเค้าได้ราง ๆ ว่าท่านเป็น สาวสวยมากคนหนึ่ง
เห็นได้จากการแสดงละคร ในงานอะไรก็จำไม่ได้ของโรงเรียน
ท่านได้แสดงเป็นนางเอก คู่กับพระเอกซึ่งเป็นพี่ชายของท่านเอง
แต่ที่จำได้แม่นยำอย่างยิ่งก็คือครูใหญ่ ซึ่งท่านเป็น หม่อมราชวงศ์
เพราะเป็นบิดาของครูน้อยสองคนพี่น้องที่กล่าวถึงข้างต้นนั่นเอง
ท่านเคยทำโทษผมเรื่องอะไรก็ลืมไปแล้ว ท่านพยากรณ์ไว้ว่า
หน้าอย่างผมนี่ทำอะไรก็ไม่ทันคนไม่ทันกินตลอดชาติ
ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นความจริงดังที่ท่านว่าเสียด้วย
ครูชั้นมัธยมต้นของผมที่โรงเรียนวัดสมอรายนั้น
บังเอิญท่านเคยเป็นครูใหญ่ ที่โรงเรียนประจำจังหวัดกระบี่
ซึ่งขณะนั้นพ่อของผมเป็นศึกษาธิการจังหวัดอยู่
และตัวผมเองก็เกิดที่บ้านพักของท่าน โดยมีภรรยาของท่านเป็นผู้ทำคลอดด้วย
เมื่อแม่พาผมไปฝากเข้าเรียน ท่านจึงรับเป็นธุระจัดการให้ตลอด โดยแม่ผมไม่ต้องยุ่งเลย
และเมื่อท่านได้เป็นครูประจำชั้น ตลอดเวลา ๓ ปีในชั้นมัธยมปีที่ ๑ - ๓
ท่านก็กวดผมทั้งวิชา ความรู้และความประพฤติ จนก้นของผมและเพื่อนร่วมชั้นน่วมไปตาม ๆ กัน
อาจจะเป็นเรื่องแปลกที่ครูในสมัยนั้น มักจะเลื่อนชั้นสอนตามนักเรียน
จนจบประโยคมัธยมต้น หรือ มัธยมปลาย แล้วจึงย้อนกลับมาสอนชั้นแรกอีก
ส่วนผลการเรียนนั้น ชั้นมัธยมปีที่ ๒ ก่อนจะถึงเวลาสอบไล่ ก็ได้เกิดสงครามมหาเอเซียบูรพา
ญี่ปุ่นบุกผ่านประเทศไทยไปตีมาลายูและสิงคโปร์ บานปลายออกไปเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๒
พวกเราก็ได้เลื่อนชั้นโดยไม่ต้องสอบ ขึ้นชั้นมัธยมปีที่ ๓
ถึงเดือนตุลาคมเกิดน้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศ จนเรือเอี้ยมจุ๊นสามารถขึ้นมาแล่นบนถนนสามเสนได้อย่างสบาย
และต้องนั่งเรือไปวางพวงมาลาที่พระบรมรูปทรงม้า
เมื่อน้ำแห้งลงพวกเราเลยสอบผ่านได้โดยไม่ต้องถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์
ชั้นมัธยมปีที่ ๔ ผมผ่านไปได้อย่างเฉียดฉิวเต็มที พอถึงชั้นมัธยมปีที่ ๕ สงครามดุเดือดขึ้น
นักเรียนไม่เป็นอันเรียน เพราะต้องวิ่งลงหลุมหลบภัยทางอากาศไม่เว้นแต่ละวัน
จึงต้องปิดโรงเรียน ให้ประชาชนอพยพไปอยู่ในต่างจังหวัดที่ไม่มีจุดยุทธศาสตร์
แต่ความจริง ดูเหมือนทางราชการ จะเตรียมต่อสู้กับญี่ปุ่นมหามิตรให้ถนัดมือมากกว่า
ตัวของผมเอง ไม่ได้อพยพไปไหนเลยเพราะเป็นชาวกรุงเทพทั้งตระกูล
ต้องนอนดูเครื่องบินสี่เครื่องยนต์ของสัมพันธมิตร ที่แห่กันมาทิ้งระเบิด คืนแล้วคืนเล่า วันแล้ววันเล่า
จนสะพานพุทธยอดฟ้าพัง โรงไฟฟ้าวัดเลียบราบเรียบไป แล้วปล่องโรงไฟฟ้าสามเสนก็โค่นลงมากองกับพื้น
จนถึงสะพานพระราม ๖ ที่ลูกระเบิดเวลา ส่งเสียงเสทือนเลื่อนลั่นทั้งคืน
รุ่งเช้าก็เห็นช่วงกลางหักลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา
แล้วอยู่ ๆ สงครามก็สงบลง โดยปัจจุบันทันด่วนแทบไม่ทันได้เตรียมตัวยินดี
ผมจึงได้กลับ มาเข้าเรียนโรงเรียนเดิม ในชั้นมัธยมปีที่ ๖
และพอถึงปลายปีก็สอบตกอย่างไม่เป็นท่า เพราะเรียนกระพร่องกระแพร่งมาตลอดปี
มัวแต่ไปเที่ยวเร่ขายขนมเลี้ยงท้อง ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยจะพอกิน
ผมต้องออกจากโรงเรียน เพราะไม่มีค่าเทอมเรียนต่อ
ไปสมัครสอบโรงเรียนจ่าทหารเรือก็ตกว่ายน้ำ
เคราะห์ดีที่มีญาติเป็นใหญ่อยู่ที่กรมพาหนะทหารบก
จึงได้รับการช่วยเหลือให้เข้าเป็นลูกจ้างใช้แรงงานตั้งแต่อายุเพียง ๑๕ ปี
ตัวเล็กนิดเดียว ผมบนหัวยังเกรียนอยู่ จนมีผู้ทักว่าใครเอาลูกมาทำงานด้วย
คราวนี้ผมจึงมีครูมากมาย หลายคน เพราะทำอะไรกับเขาไม่เป็นเลย
ครูคนหนึ่งสอนให้เข็นถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร จากท่าเรือ วัดแก้วฟ้าจุฬามณี ที่เรียกว่าท่าตาแหน
ซึ่งต้องออกเสียงว่าตาแหน ไม่ใช่ ตาแหน เอ...เขียนไม่ถูก
ว่า หอ นอ แอ แหน ไม่ใช่ หอ แอ นอ แหน
เอาเถอะไม่ถูกก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก
ถังน้ำมันที่ว่านั้นไม่ใช่ถังเปล่า แต่เป็นถังที่มีน้ำมันเต็ม ๒๐๐ ลิตร
เข็นไปตามถนนขรุขระที่ยังไม่ได้ลาดยาง จากท่าเรือเข้าไปในคลัง
ซึ่งเป็นโรงเรียนทหารขนส่งเดี๋ยวนี้ โดยมีไม้กระดานแผ่นเดียวรองพื้นเป็นเครื่องทุ่นแรง
ครูสอนวิธีออกแรงแต่น้อย ให้ถังเลี้ยงตัวอยู่บนแผ่นกระดาน ในระหว่างที่กลิ้งไป จะได้ไม่เกิดความฝืด
พอมีความรู้ความชำนาญ ก็เลื่อนขั้นไปเข็นถังจาระบี ที่มีขนาดเดียวกัน
แต่ดูเหมือนน้ำหนักจะมากกว่าน้ำมันถึงเท่าตัว
สมัยนั้นสิ้นสงครามใหม่ ๆ กรมพาหนะทหารบก ย้ายสิ่งอุปกรณ์จากคลังต่างจังหวัดเข้ามาเก็บยังที่ตั้งปกติ
ที่เรียกว่าคลัง พน.๓ เกียกกาย ครูอีกคนหนึ่งก็สอนให้รู้จักวิธีแบกลังไม้ ขนาดกว้างยาวเท่ากับปี๊บน้ำมันก๊าด ๒ ใบเรียงกัน
ซึ่งเป็นลังบรรจุเครื่องอะไหล่รถยนต์ ที่ส่วนใหญ่เป็นเหล็กเต็มลัง แต่คราวนี้แม้จะรู้แล้วก็ทำไม่ได้
เพราะแบกน้ำหนักของมันไม่ไหว ต้องคอยช่วยกันกับคนงานตัวเล็ก ๆ สองคนยกขึ้นบ่าผู้ใหญ่ให้แบก ไป
และช่วยเขานับจำนวนสิ่งอุปกรณ์เหล่านั้น ขนเข้าไปเก็บในคลัง
จึงทำให้รู้จักชื่อชิ้นส่วนของรถยนต์มากมาย โดยไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนในเครื่องยนต์
ครูคนถัดไปก็สอนให้รู้จักวิธีร้อยโซ่มัดยางรถยนต์ที่เก็บอยู่ในคลัง
อาศัยที่เป็นเด็กตัวเล็ก เขาก็สอนให้คลานเข้าไปในช่องว่างกลางวงของยางรถยนต์บรรทุก
ที่เรียงกันเป็นแถวเป็นแนว แล้วลากเอาสายโซ่เส้นเกือบเท่าข้อมือของตนเอง
จากด้านหลังออกมาด้านหน้าเพื่อใส่กุญแจ ไม่ให้มันแตกแถว หรือสูญหายไปได้
กว่าจะเรียบร้อยเป็นแถวเต็มห้องคลัง หัวเข่าก็ดูเหมือนจะช้ำชอก จนถลอกปอกเปิก
ต้องใส่ยาแดงนั่งยอง ๆ ไม่ถนัดไปนานพอสมควร
ครูคนสุดท้ายท่านเป็นหัวหน้าของคนงานทั้งหมด เดิมมียศเป็นร้อยเอก แต่ปลดออกรับบำนาญเมื่อสิ้นสงคราม
ท่านเป็นนักดื่มคอทองแดง เย็นลงเสร็จงานที่เหน็ดเหนื่อยหนักหนาสาหัสแล้ว ก็ชวนลูกน้องคอเดียวกัน ตั้งวงสุราหลังคลัง
ดวดกันพอหายเหนื่อยจึงจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ซึ่งเป็นบ้านพักของทางราชการที่อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานเท่าไรนัก
ผมเจียมตัวว่าเป็นเด็กจึงไม่เคยอยู่ร่วมวงกับเขา เลิกงานก็รีบกลับบ้านทุกวัน ซึ่งก็ไม่มีใครว่าอะไร
จนกระทั่งถึงวันส่งท้ายปีเก่า ซึ่งรุ่งขึ้นจะเป็นวันหยุดราชการติดต่อกัน จนถึงปีใหม่ วันนั้นไม่ทราบว่าชักช้าทำอะไรอยู่
พอเดินผ่านวงก็ได้ยินเสียงคุยดังกว่าทุกวัน ซึ่งปกติมักจะเป็นเวลาที่เพิ่งเริ่มต้น คราวนี้หัวหน้ามองมาเห็นผมเข้าเต็มตา
จึงร้องตะโกนเรียก
" ไอ้ห่อ มานี่ " ท่านเรียกชื่อเล่นของผม
ผมจำต้องเดินเข้าไปหาด้วยความเคยชิน ท่านก็สั่งให้นั่งร่วมวง แล้วก็ให้ลูกน้องหาน้ำเย็นให้ผมดื่ม
คือวงนั้นเขาดื่มเหล้ายี่ห้ออะไรก็ไม่ทราบ กระดกแก้วดื่มกันเพียว ๆ ทีละคำ แล้วตามด้วยน้ำเย็น ที่เขาเรียกกันว่าตบตูด
ท่านบอกว่าทำงานมาเกือบครบปีแล้ว จะสอนให้กินเหล้าเป็นเสียที ผมก็อึกอักปฏิเสธว่ากลัวแม่ดุ
ท่านก็ตัดบทว่าโตแล้ว ลูกผู้ชายถ้ากินเหล้าไม่เป็นก็ใช้ไม่ได้ ท่านก็ดื่มให้ดูเป็นตัวอย่าง แล้วก็ถามว่า
" ไอ้ห่อ...เอ็งเป็นลูกน้องใคร ? "
ผมก็ตอบว่าเป็นลูกน้องผู้กอง ท่านก็ถามต่อ
" ข้าสั่งให้ทำอะไร เอ็งจะทำไหม ? "
ผมก็รับว่าทำครับ
" งั้นข้าสั่งให้เอ็งกินเหล้า จะกินไหม ? "
" กินครับ " ผมโพล่งออกไปด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายอายุสิบห้า
ท่านส่งแก้วที่มีน้ำสีอำพันติดก้นแก้วให้ผม ซึ่งผมรับมาดื่มกร๊วบเดียว ให้เหมือนกับที่เห็นทั้งวงเขาดื่มกันมาเป็นเวลานาน
แต่คุณพระ ! ผมเกือบสำลัก น้ำหูน้ำตาปริ่ม ร้อนวาบไปตามลำคอถึงลำใส้ใหญ่น้อย ม้ามกึ๋นและขอบกระด้ง
เพื่อนผู้อาวุโสในวง รีบส่งแก้วน้ำมาให้ตบตูด อาการจึงดีขึ้น
แล้วผมก็กินเหล้าเป็นตั้งแต่วันนั้นมา และกินอยู่ร่วมสามสิบปี จนกระทั่งเป็นโรคตับ บวมไปทั้งตัว
หมอที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งรักษาโรคตับโตของผมจึงบอกให้งดดื่มเหล้า
ผมกินยารักษาตัวอยู่ร่วมปี แล้วก็หันมาดื่มเบียร์ต่ออีกยี่สิบปี
จนเป็นแผลในกระเพาะอาหารอีกโรคหนึ่ง ที่ทำให้คิดอยู่จนทุกวันนี้
ว่าจะเลิกเสียทีจะดีไหม ?
###########
จากคุณ : เจียวต้าย - [8 ก.ย. 52 06:07:05]