จากเด็กหญิงที่เป็นข่าวโด่งดังกระทั่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของความ "กตัญญู" เมื่อเรื่องราวชีวิตถูกนำไปเขียนเป็นหนังสือ สร้างเป็นละคร-ภาพยนตร์เมื่อหลายสิบปีก่อน ล่าสุดชื่อของ "วัลลี" ในวัย 46 ปีที่วันนี้มีสถานะเป็นแม่ของลูกชายคนโตวัย 21 และลูกสาววัย 15 ได้กลับมาเป็นข่าวขึ้นมาอีกครั้ง
หลังเมื่อปลายปีที่ผ่านมาเจ้าตัวได้ตัดสินใจเดินทางไปที่ สภ.เมืองสมุทรสงคราม เพื่อเข้าไปแจ้งความเอาผิดกับ 3 รายการโทรทัศน์ ที่ประกอบไปด้วย 1.รายการชิงร้อยชิงล้าน โดยบริษัทเวิร์คพ้อย นายปัญญา นิรันดร์กุล, เท่ง เถิดเทิง และตุ๊กกี้ 2.รายการวันวานยังหวานอยู่ โดยบริษัทโพลีพัส ที่ประกอบไปด้วย ตุ๊กกี้, เจ็ค แฟนฉันและ ซูโม่ กิ๊ก และ 3.รายการปลาช่อนลุยสวนทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ในฐานความผิดหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328
ด้วยเหตุผลที่ว่าในช่วงระหว่างปี 2566 - 2557 ทั้งตัวผู้พิธีกรและรายการได้มีการนำเอาเรื่องราวสุดรันทดของเธอในวัยเด็กมาล้อเลียนจนกลายเป็นเรื่องตลก สร้างความหดหู่ใจ ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และบุพการี ผ่านทั้งทางทีวีรวมถึงในเวบยูทูบนั่นเอง
ผ่านไป 3 เดือนนับตั้งแต่การเข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมปีที่แล้ว วันวานที่ผ่านมา (13 มกราคม 2558) เจ้าตัวก็ได้เดินทางไปยัง สภ.เมืองสมุทรสงครามอีกครั้งเนื่องจากเกรงว่าคดีจะไม่มีความคืบหน้า ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เผยว่าเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกไปยังทั้ง 3 บริษัทแล้ว แต่มีเพียงเวิร์คพอยท์ฯ เจ้าเดียวที่ติดต่อมา
โดยจากนี้ไปทางตำรวจก็จะออกหมายเรียกอีกครั้ง หากไม่มีการติดต่อกลับมาก็จะขอศาลอนุมัติออกหมายจับต่อไป
เรื่องราวของ "วัลลี" หรือนางวัลลี กองเส็ง นั้นเป็นที่รู้จักขึ้นมาเมื่อครั้งที่เธอยังเป็น "ด.ญ.วัลลี ณรงค์เวทย์" (นามสกุลเดิม) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดโรงธรรม (มิตรภาพที่ 70) หมู่ 5 ตำบลบ้านปรก อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม เมื่อเธอต้องเดินทางไปกลับจากโรงเรียนในช่วงพักเที่ยงเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรเพื่อต้องกลับมาป้อนข้าวป้อนน้ำดูแลแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาต และยายตาบอดเพียงลำพังโดยไม่มีใครรู้แม้แต่ตัวของครูที่โรงเรียนเองซึ่งเมื่อมารู้เรื่องในภายหลังก็ได้พยายามช่วยเหลือเธอเท่าที่จะทำได้
เมื่อเรื่องราวความกตัญญูของวัลลีกลายเป็นข่าวโด่งดังขึ้นมาก็ได้มีผู้นำเอาชีวิตของเธอไปเขียนเป็นหนังสือรวมถึงละคร, ภาพยนตร์ อาทิ "วัลลี ชื่อนี้อยู่ในหัวใจคุณ" โดยมีนักแสดงอย่าง อภิชาติ หาลำเจียก, เปียทิพย์ คุ้มวงศ์ ฯ แสดงนำ และทำให้ชื่อของวัลลีกลายเป็นสัญลักษณ์ของความกตัญญูในความรู้สึกของใครหลายต่อหลายคนตั้งแต่นั้นมา
อย่างไรก็ตามในระยะหลังๆ เป็นที่น่าสังเกตว่าเรื่องราวความดีงามและความน่าชื่นชมของเธอนั้นกลับมีรายการทีวีหลายรายการนำไปเสนอในเชิงตลกขบขันอยู่เป็นประจำและนั่นเองที่ทำให้เจ้าตัวซึ่งปัจจุบันได้แต่งงานและมีบุตรด้วยกัน 2 คนต้องลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิ์ของตนเองโดยยืนยันว่าสิ่งที่เธอต้องการนั้นไม่ใช่เรื่องเงินทองแต่อยากได้คำขอโทษมากกว่า
ทั้งนี้เจ้าตัวยังเคยให้สัมภาษณ์ผ่านทีม "เฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์" ถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่าตนเองต้องทนกับเรื่องแบบนี้มานานหลายสิบๆ ปีตั้งแต่ลูกสาวยังเล็กจนเริ่มโตและรู้สึกรับไม่ไหวแล้วที่มีคนเอาความพิการของแม่และยายมาเห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน รวมถึงต้องมาเห็นคนที่แสดงเป็นตัวเองวิ่งในชุดนักเรียนแต่งตัวบ้าๆ บอๆ ทำท่าทางเพี้ยนๆ ป้อนข้าวแม่ที่เหมือนคนเสียสติมากกว่าคนพิการ
"ส่วนมากจะเล่นแบบแนวป้อนข้าวให้ จากนั้นก็จะใช้ช้อนยัดปาก อุดปาก ไม่กินใช่มั้ย...ก็กระทืบเลย นี่คือภาพของวัลลีที่ออกสู่สาธารณะหรือ..? ที่ผ่านมา เราทำดีมาตลอด แต่ทำไม ถ้าจะทำเรื่องวัลลี ต้องทำเรื่องตลก ไม่เข้าใจ...ทำไม วันนี้เรารับไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะการดูหมิ่นบุพการี"
"สิ่งที่อยากจะถามผู้เกี่ยวข้องวงการตลกว่า การที่คนๆ หนึ่งนอนเป็นอัมพาตต้องมีคนป้อนข้าวให้มันตลกใช่มั้ย มันใช่สิ่งที่เฮฮาหรือ (วัลลีเริ่มมีเสียงสั่นเครือ) อยากขอให้คนที่ทำรายการมีวิจารณญาณ มีสามัญสำนึก จะทำอะไรให้เคารพสิทธิ์คนอื่น นึกจะทำอะไร หากทำโดยไม่เคารพคนอื่น คุณจะอยู่ในสังคมได้ยังไง"
คงต้องรอดูกันว่าเรื่องราวในครั้งนี้จะกระตุ้นต่อมสำนึกของบรรดาคนทำรายการทีวีในบ้านเราที่มุ่งแต่จะขายสิ่งที่ตนเองคิดว่าตลกขบขันโดยไม่เคยคิดว่าจะไปกระทบสิทธิตลอดจนความรู้สึกของใครๆ ได้มากน้อยเพียงใด?
ข่าวจาก : ASTVผู้จัดการออนไลน์
http://manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9580000005120
"วัลลี" กับความตลกที่ไร้จิตสำนึกของรายการทีวีไทย
จากเด็กหญิงที่เป็นข่าวโด่งดังกระทั่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของความ "กตัญญู" เมื่อเรื่องราวชีวิตถูกนำไปเขียนเป็นหนังสือ สร้างเป็นละคร-ภาพยนตร์เมื่อหลายสิบปีก่อน ล่าสุดชื่อของ "วัลลี" ในวัย 46 ปีที่วันนี้มีสถานะเป็นแม่ของลูกชายคนโตวัย 21 และลูกสาววัย 15 ได้กลับมาเป็นข่าวขึ้นมาอีกครั้ง
หลังเมื่อปลายปีที่ผ่านมาเจ้าตัวได้ตัดสินใจเดินทางไปที่ สภ.เมืองสมุทรสงคราม เพื่อเข้าไปแจ้งความเอาผิดกับ 3 รายการโทรทัศน์ ที่ประกอบไปด้วย 1.รายการชิงร้อยชิงล้าน โดยบริษัทเวิร์คพ้อย นายปัญญา นิรันดร์กุล, เท่ง เถิดเทิง และตุ๊กกี้ 2.รายการวันวานยังหวานอยู่ โดยบริษัทโพลีพัส ที่ประกอบไปด้วย ตุ๊กกี้, เจ็ค แฟนฉันและ ซูโม่ กิ๊ก และ 3.รายการปลาช่อนลุยสวนทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ในฐานความผิดหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328
ด้วยเหตุผลที่ว่าในช่วงระหว่างปี 2566 - 2557 ทั้งตัวผู้พิธีกรและรายการได้มีการนำเอาเรื่องราวสุดรันทดของเธอในวัยเด็กมาล้อเลียนจนกลายเป็นเรื่องตลก สร้างความหดหู่ใจ ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และบุพการี ผ่านทั้งทางทีวีรวมถึงในเวบยูทูบนั่นเอง
ผ่านไป 3 เดือนนับตั้งแต่การเข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมปีที่แล้ว วันวานที่ผ่านมา (13 มกราคม 2558) เจ้าตัวก็ได้เดินทางไปยัง สภ.เมืองสมุทรสงครามอีกครั้งเนื่องจากเกรงว่าคดีจะไม่มีความคืบหน้า ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เผยว่าเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกไปยังทั้ง 3 บริษัทแล้ว แต่มีเพียงเวิร์คพอยท์ฯ เจ้าเดียวที่ติดต่อมา
โดยจากนี้ไปทางตำรวจก็จะออกหมายเรียกอีกครั้ง หากไม่มีการติดต่อกลับมาก็จะขอศาลอนุมัติออกหมายจับต่อไป
เรื่องราวของ "วัลลี" หรือนางวัลลี กองเส็ง นั้นเป็นที่รู้จักขึ้นมาเมื่อครั้งที่เธอยังเป็น "ด.ญ.วัลลี ณรงค์เวทย์" (นามสกุลเดิม) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดโรงธรรม (มิตรภาพที่ 70) หมู่ 5 ตำบลบ้านปรก อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม เมื่อเธอต้องเดินทางไปกลับจากโรงเรียนในช่วงพักเที่ยงเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรเพื่อต้องกลับมาป้อนข้าวป้อนน้ำดูแลแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาต และยายตาบอดเพียงลำพังโดยไม่มีใครรู้แม้แต่ตัวของครูที่โรงเรียนเองซึ่งเมื่อมารู้เรื่องในภายหลังก็ได้พยายามช่วยเหลือเธอเท่าที่จะทำได้
เมื่อเรื่องราวความกตัญญูของวัลลีกลายเป็นข่าวโด่งดังขึ้นมาก็ได้มีผู้นำเอาชีวิตของเธอไปเขียนเป็นหนังสือรวมถึงละคร, ภาพยนตร์ อาทิ "วัลลี ชื่อนี้อยู่ในหัวใจคุณ" โดยมีนักแสดงอย่าง อภิชาติ หาลำเจียก, เปียทิพย์ คุ้มวงศ์ ฯ แสดงนำ และทำให้ชื่อของวัลลีกลายเป็นสัญลักษณ์ของความกตัญญูในความรู้สึกของใครหลายต่อหลายคนตั้งแต่นั้นมา
อย่างไรก็ตามในระยะหลังๆ เป็นที่น่าสังเกตว่าเรื่องราวความดีงามและความน่าชื่นชมของเธอนั้นกลับมีรายการทีวีหลายรายการนำไปเสนอในเชิงตลกขบขันอยู่เป็นประจำและนั่นเองที่ทำให้เจ้าตัวซึ่งปัจจุบันได้แต่งงานและมีบุตรด้วยกัน 2 คนต้องลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิ์ของตนเองโดยยืนยันว่าสิ่งที่เธอต้องการนั้นไม่ใช่เรื่องเงินทองแต่อยากได้คำขอโทษมากกว่า
ทั้งนี้เจ้าตัวยังเคยให้สัมภาษณ์ผ่านทีม "เฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์" ถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่าตนเองต้องทนกับเรื่องแบบนี้มานานหลายสิบๆ ปีตั้งแต่ลูกสาวยังเล็กจนเริ่มโตและรู้สึกรับไม่ไหวแล้วที่มีคนเอาความพิการของแม่และยายมาเห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน รวมถึงต้องมาเห็นคนที่แสดงเป็นตัวเองวิ่งในชุดนักเรียนแต่งตัวบ้าๆ บอๆ ทำท่าทางเพี้ยนๆ ป้อนข้าวแม่ที่เหมือนคนเสียสติมากกว่าคนพิการ
"ส่วนมากจะเล่นแบบแนวป้อนข้าวให้ จากนั้นก็จะใช้ช้อนยัดปาก อุดปาก ไม่กินใช่มั้ย...ก็กระทืบเลย นี่คือภาพของวัลลีที่ออกสู่สาธารณะหรือ..? ที่ผ่านมา เราทำดีมาตลอด แต่ทำไม ถ้าจะทำเรื่องวัลลี ต้องทำเรื่องตลก ไม่เข้าใจ...ทำไม วันนี้เรารับไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะการดูหมิ่นบุพการี"
"สิ่งที่อยากจะถามผู้เกี่ยวข้องวงการตลกว่า การที่คนๆ หนึ่งนอนเป็นอัมพาตต้องมีคนป้อนข้าวให้มันตลกใช่มั้ย มันใช่สิ่งที่เฮฮาหรือ (วัลลีเริ่มมีเสียงสั่นเครือ) อยากขอให้คนที่ทำรายการมีวิจารณญาณ มีสามัญสำนึก จะทำอะไรให้เคารพสิทธิ์คนอื่น นึกจะทำอะไร หากทำโดยไม่เคารพคนอื่น คุณจะอยู่ในสังคมได้ยังไง"
คงต้องรอดูกันว่าเรื่องราวในครั้งนี้จะกระตุ้นต่อมสำนึกของบรรดาคนทำรายการทีวีในบ้านเราที่มุ่งแต่จะขายสิ่งที่ตนเองคิดว่าตลกขบขันโดยไม่เคยคิดว่าจะไปกระทบสิทธิตลอดจนความรู้สึกของใครๆ ได้มากน้อยเพียงใด?
ข่าวจาก : ASTVผู้จัดการออนไลน์
http://manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9580000005120