คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
ผมขอแสดงความเห็นในฐานะที่ศึกษาเรื่อง Elliottt wave มาหลายปี คนหนึ่ง และต้องการรู้ให้ลึกซึ้งจริงๆถึงขั้นนำมาใช้งานให้ได้ เมื่อศึกษา EW จริงๆ ต้องถือว่า การนับคลื่นตามที่ทฤษฎีวางกำหนดไว้นั้น มันมีที่มาที่ไปและมีเหตุผลทั้งสิ้น ไม่ได้มโนไปเอง อย่างที่หลายคนเข้าใจ หลักๆของการศึกษาทฤษฎีคลื่นเป็นการศึกษาโมเมนตัม ที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมของนักลงทุน และถือเป็น Chart Pattern แบบหนึ่ง
ผมจะลองยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่น เวลาราคาหุ้นวิ่งขึ้นจาก 10 บาทขึ้นไปที่ 20 บาท แล้วเริ่มปรับตัวลงมาเรื่อยๆ นักโต้คลื่นจะคำนวณแนวรับทางจิตวิทยาว่า " บริเวณราคาไหนบ้างที่อาจรับการปรับตัว(ตก)ของราคาได้ " โดยใช้ Fibonacci Retracement Lines ช่วยกำหนดให้ โดยทั่วไปก็มักจะดูที่ 38.2% 50% 61.8% 78.6% ซึ่งการที่ราคาปรับตัวลงมาถึงแต่ละแนวรับนั้น จะเป็นการบ่งบอกถึงความมั่นใจของนักลงทุนต่อแนวโน้มหลัก ( ขาขึ้น ) ว่ามีมากน้อยแค่ไหน
หากราคาปรับตัว (ตก) ลงมาแค่ 38.2 %- 50% (จากที่ราคาปรับตัวขึ้นไป) แสดงว่า นักลงทุนที่ถือหุ้นตัวนี้ไว้ มีการขายทำกำไรออกมา ยังไม่มากนัก และยังถือต่อเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อราคาจบการปรับตัว ( Retracement ) ราคาจะวิ่งกลับขึ้นไปทำ New high ได้ไม่ยาก แต่หากราคาปรับตัวลงมามากถึง 61.8% หรือมากกว่านั้น แสดงว่า นักลงทุนไม่ค่อยมั่นใจถือหุ้นนั้นต่อมากนัก จึงขายทำกำไรหุ้นที่ถือนั้นออกมากันมากทำให้ราคาหุ้นลงต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้นโอกาสที่ราคาหุ้นตัวนั้น จะวิ่งกลับขึ้นมาทำ New high ใหม่จะต้องใช้เวลามากกว่า และยากกว่า เป็นต้น
นอกจากนี้รูปแบบการพักตัว หรือ Correction Phase ที่เป็น Flat Zigzag หรือ Triangle แต่ละรูปแบบนั้น ก็จะบอกนัยยะให้เรารู้ว่า ตลาดมีความแข็งแรงมากน้อยเพียงใด และราคาจะลงต่อไปได้ลึกแค่ไหน เนื่องจาก รูปแบบ Correction แต่ละแบบนั้น ก็เกิดจากอารมณ์ของนักลงทุนที่มีความโลภ และความกลัว ก่อให้เกิดรูปแบบดังกล่าวขึ้นมา และเกิดขึ้นซ้ำๆ เพราะพฤติกรรม สัญชาติญาณของมนุษย์ในอดีต กับปัจจุบันมันไม่เปลี่ยนแปลงนั่นเอง จึงก่อให้เกิดรูปแบบเหล่านั้นขึ้นมา .........เคยดู ซีรี่ย์ " Lie To Me " ไหม
ส่วนประโยชน์ของการนำ EW ไปใช้ เช่น ใช้มองหาเป้าหมายราคาที่อาจทำหน้าที่เป็นแนวรับได้ เมื่อราคาปรับตัว โดยใช้ Fibonacci ทั้งแบบ retracement หรือ Extension หรือใช้วิธีอื่นๆตามเครื่องมือที่ให้มาอีกหลายอย่าง หรือใช้ทำนายแนวโน้มราคาว่า จบขาขึ้น หรือ ขาลงในรอบนั้น หรือขณะนั้นหรือยัง เพื่อหาโอกาสเข้าลงทุน หรือทำกำไร ให้มีประสิทธิภาพต่อการลงทุนมากที่สุด
การศึกษาเรื่อง EW เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เพราะต้องจำกฎต่างๆได้แม่นยำ และเข้าใจในเรื่อง Trend & Momentum เป็นอย่างดี ด้วย เข้าใจเรื่อง จิตวิทยามวลชน เรื่อง Demand & Supply จึงจะทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลเพื่อแปลภาพในอนาคตออกมาได้ ตรงนี้ก็ขึ้นกับความรู้และประสบการณ์ของแต่ละคน
สำหรับตัวผมเองนั้น มองว่า การศึกษาของมือใหม่ทางด้านเทคนิคนั้น ไม่ควรเริ่มที่ EW เพราะทุกรายจะตกม้าตายหมดเกือบ 100% เพราะไม่เข้าใจเรื่องพื้นฐานทางเทคนิคอื่นๆมาก่อน เช่นเรื่อง Trend และ Momentum ว่าจะนิยามหรือตรวจสอบอย่างไร ด้วยเครื่องชนิดไหน ดังนั้นทางศึกษา EW จึงควรศึกษาหลังจากมีความรู้เรื่อง Indicators ต่างๆมาก่อนเป็นอย่างดีแล้ว เข้าใจเรื่องแนวโน้มราคา ( Trend ) เข้าใจเรื่องแรงซื้อ/แรงขาย และความเร็วของการเปลี่ยนแปลงราคา ( Momentum ) และฝึกฝนการใช้เครื่องมือเหล่านั้นจนเข้าใจดีแล้ว จึงค่อยมาศึกษา EW จะทำให้มีความเข้าใจ และเรียนรู้ได้รวดเร็วมากขึ้น เพราะ EW เป็นรูปแบบของกลุ่ม Chart Patterns เช่นเดียวกับรูปแบบ H&S Double top หรือรูปแบบอื่นๆ ที่แต่ละรูปแบบมันจะมีนัยยะความหมายในตัวเองอยู่แล้วว่ารูปแบบนั้นเกิดขึ้นมาเพราะนักลงทุนรู้สึกอย่างไร แล้วราคาจะไปในทิศทางไหนต่อไป และไปไหนแค่ไหน แม้จะไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะเป็นแค่การวางเป้าหมาย แต่ก็ช่วยให้การลงทุนหรือเก็งกำไร เป็นไปด้วยความมีเหตุผลตามหลักสถิติ มีที่มาที่ไปของแนวคิด ไม่ได้เลื่อนลอย หรือมั่วไปเองครับ
ผมจะลองยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่น เวลาราคาหุ้นวิ่งขึ้นจาก 10 บาทขึ้นไปที่ 20 บาท แล้วเริ่มปรับตัวลงมาเรื่อยๆ นักโต้คลื่นจะคำนวณแนวรับทางจิตวิทยาว่า " บริเวณราคาไหนบ้างที่อาจรับการปรับตัว(ตก)ของราคาได้ " โดยใช้ Fibonacci Retracement Lines ช่วยกำหนดให้ โดยทั่วไปก็มักจะดูที่ 38.2% 50% 61.8% 78.6% ซึ่งการที่ราคาปรับตัวลงมาถึงแต่ละแนวรับนั้น จะเป็นการบ่งบอกถึงความมั่นใจของนักลงทุนต่อแนวโน้มหลัก ( ขาขึ้น ) ว่ามีมากน้อยแค่ไหน
หากราคาปรับตัว (ตก) ลงมาแค่ 38.2 %- 50% (จากที่ราคาปรับตัวขึ้นไป) แสดงว่า นักลงทุนที่ถือหุ้นตัวนี้ไว้ มีการขายทำกำไรออกมา ยังไม่มากนัก และยังถือต่อเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อราคาจบการปรับตัว ( Retracement ) ราคาจะวิ่งกลับขึ้นไปทำ New high ได้ไม่ยาก แต่หากราคาปรับตัวลงมามากถึง 61.8% หรือมากกว่านั้น แสดงว่า นักลงทุนไม่ค่อยมั่นใจถือหุ้นนั้นต่อมากนัก จึงขายทำกำไรหุ้นที่ถือนั้นออกมากันมากทำให้ราคาหุ้นลงต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้นโอกาสที่ราคาหุ้นตัวนั้น จะวิ่งกลับขึ้นมาทำ New high ใหม่จะต้องใช้เวลามากกว่า และยากกว่า เป็นต้น
นอกจากนี้รูปแบบการพักตัว หรือ Correction Phase ที่เป็น Flat Zigzag หรือ Triangle แต่ละรูปแบบนั้น ก็จะบอกนัยยะให้เรารู้ว่า ตลาดมีความแข็งแรงมากน้อยเพียงใด และราคาจะลงต่อไปได้ลึกแค่ไหน เนื่องจาก รูปแบบ Correction แต่ละแบบนั้น ก็เกิดจากอารมณ์ของนักลงทุนที่มีความโลภ และความกลัว ก่อให้เกิดรูปแบบดังกล่าวขึ้นมา และเกิดขึ้นซ้ำๆ เพราะพฤติกรรม สัญชาติญาณของมนุษย์ในอดีต กับปัจจุบันมันไม่เปลี่ยนแปลงนั่นเอง จึงก่อให้เกิดรูปแบบเหล่านั้นขึ้นมา .........เคยดู ซีรี่ย์ " Lie To Me " ไหม
ส่วนประโยชน์ของการนำ EW ไปใช้ เช่น ใช้มองหาเป้าหมายราคาที่อาจทำหน้าที่เป็นแนวรับได้ เมื่อราคาปรับตัว โดยใช้ Fibonacci ทั้งแบบ retracement หรือ Extension หรือใช้วิธีอื่นๆตามเครื่องมือที่ให้มาอีกหลายอย่าง หรือใช้ทำนายแนวโน้มราคาว่า จบขาขึ้น หรือ ขาลงในรอบนั้น หรือขณะนั้นหรือยัง เพื่อหาโอกาสเข้าลงทุน หรือทำกำไร ให้มีประสิทธิภาพต่อการลงทุนมากที่สุด
การศึกษาเรื่อง EW เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เพราะต้องจำกฎต่างๆได้แม่นยำ และเข้าใจในเรื่อง Trend & Momentum เป็นอย่างดี ด้วย เข้าใจเรื่อง จิตวิทยามวลชน เรื่อง Demand & Supply จึงจะทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลเพื่อแปลภาพในอนาคตออกมาได้ ตรงนี้ก็ขึ้นกับความรู้และประสบการณ์ของแต่ละคน
สำหรับตัวผมเองนั้น มองว่า การศึกษาของมือใหม่ทางด้านเทคนิคนั้น ไม่ควรเริ่มที่ EW เพราะทุกรายจะตกม้าตายหมดเกือบ 100% เพราะไม่เข้าใจเรื่องพื้นฐานทางเทคนิคอื่นๆมาก่อน เช่นเรื่อง Trend และ Momentum ว่าจะนิยามหรือตรวจสอบอย่างไร ด้วยเครื่องชนิดไหน ดังนั้นทางศึกษา EW จึงควรศึกษาหลังจากมีความรู้เรื่อง Indicators ต่างๆมาก่อนเป็นอย่างดีแล้ว เข้าใจเรื่องแนวโน้มราคา ( Trend ) เข้าใจเรื่องแรงซื้อ/แรงขาย และความเร็วของการเปลี่ยนแปลงราคา ( Momentum ) และฝึกฝนการใช้เครื่องมือเหล่านั้นจนเข้าใจดีแล้ว จึงค่อยมาศึกษา EW จะทำให้มีความเข้าใจ และเรียนรู้ได้รวดเร็วมากขึ้น เพราะ EW เป็นรูปแบบของกลุ่ม Chart Patterns เช่นเดียวกับรูปแบบ H&S Double top หรือรูปแบบอื่นๆ ที่แต่ละรูปแบบมันจะมีนัยยะความหมายในตัวเองอยู่แล้วว่ารูปแบบนั้นเกิดขึ้นมาเพราะนักลงทุนรู้สึกอย่างไร แล้วราคาจะไปในทิศทางไหนต่อไป และไปไหนแค่ไหน แม้จะไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะเป็นแค่การวางเป้าหมาย แต่ก็ช่วยให้การลงทุนหรือเก็งกำไร เป็นไปด้วยความมีเหตุผลตามหลักสถิติ มีที่มาที่ไปของแนวคิด ไม่ได้เลื่อนลอย หรือมั่วไปเองครับ
แสดงความคิดเห็น
ใครเคยใช้ elliot wave