สวัสดีครับ หลังจากเกริ่นไปในตอนแรกถึงการเตรียมตัวและแผนการต่างๆ นานา วันนี้ขอมาต่อกับเรื่องราวใน New Delhi นะครับ (เป็นตอนที่ 2 ของอินเดีย แต่เป็นตอนที่ 1 ของ New Delhi ละกันนะครับ เหมือนเล่าไปเรื่อยชักยาวเลยขอตัดตอนซะหน่อย..)
link สำหรับตอนที่แล้วครับผม
Hmmm India :: ประสบการณ์ลุยเดี่ยวเที่ยวอินเดีย Delhi - Agra - Varanasi - Kolkata (ตอนที่ 1 - การเตรียมตัวและแผนการ)
http://ppantip.com/topic/33020136/
ผมเล่าไปเรื่อยๆ นะครับ ถ้ามีข้อมูลที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ก็จะสอดแทรกเข้าไปนะครับ คงไม่ได้เป็นสไตล์การรีวิวขนาดนั้น รูปแบบการเดินทางก็ไม่ได้เป็น budget style มาก เรียกว่ากลางๆ แต่ก็ไม่ได้แพงครับผม
เริ่มเลยละกันนะครับ
ตาม plan คือเราจะเดินทางมาถึง New Delhi Airport แต่เช้า ตอนแรกผมกะจะหาอะไรกินมื้อเช้าที่ Airport ก่อน แต่ Airport ที่มาถึงนี่ เล็กมาก เพราะเป็น low cost domestic terminal เลยเป็นอันว่าต้องพับแผนนี้ไป เพราะใน Airport ไม่มีอะไรกินเลย..
ตามที่ศึกษาหาข้อมูลมาสำหรับการเดินทางเข้าเมืองคือ ให้ใช้บริการของ Pre-paid taxi เท่านั้น จะปลอดภัยและไม่เจ็บตัวที่สุด เพราะถ้าเป็น taxi ทั่วไปด้านนอกนี่ เขาเตรียมฟันเราหัวแบะอยู่แล้วครับ..
พอลงจากเครื่องเดินเข้ามาก็มองหาป้าย pre-paid taxi ซึ่งก็หาไม่ยาก (อันนี้มีทุก terminal นะครับ แต่ที่ terminal นี้เป็น counter เล็กๆ) ก็เดินเข้าไปแล้วก็ยื่นที่อยู่โรงแรมให้เขาดู ว่าเราจะไปที่ไหน เขาก็จะบอกราคามา ซึ่งที่เช็คๆ ไว้ ราคาจาก airport เข้าเมืองก็จะอยู่ประมาณ 300 รูปี +/- (วันที่ไปราคา 295 รูปี ครับ)
(ต้องยอมรับว่า ด้วยชื่อเสียงอันน่ากลัว ทำให้ก่อนมาอินเดียนี่ต้องหาข้อมูลเตรียมตัวเยอะมาก เพราะกลัวโดนโกงจัด เช่นเช็คราคาการเดินทางต่างๆ ด้วย taxi, rickshaw ว่าราคาน่าจะประมาณเท่าไหร่)
พอจ่ายตังค์เสร็จเขาก็จะให้เป็นใบเสร็จมาให้เราไปติดต่อ taxi ที่อยู่ด้านนอก เดินออกมาก็ถามๆ เขาดูก็ได้ครับ ผมถามๆ เขาก็ชี้ๆ ไป แล้วก็จะมีคนขับมาพาเดินไปขึ้นรถ ที่เดลีนี่ taxi สีดำๆ คันเล็กๆ อย่างที่เห็นในรูป แต่อันนี้ไม่ได้ถ่ายที่ airport นะครับ
ลุงคนขับรถคนแรกของผมในอินเดียนี่หน้าตาดีเชียว แต่พูดอังกฤษไม่ค่อยได้ ภายในรถก็ตามสภาพครับ ไม่ได้สะอาดแต่ก็ไม่ได้แย่ เรื่องแอร์นี่ไม่ต้องพูดถึง แต่ยังดีผมไปช่วงนี้ อากาศเย็น เลยสบายๆ กระจกข้างก็อย่างที่เขาร่ำลือจริงๆ ครับ ไม่ต้องมี มีก็ไม่ต้องใช้ เพราะเขาขับเฉียดใกล้กันมาก เครื่องรางของขลังนี่ก็มีกันทุกคัน เป็นประเทศที่ผู้คนมีความเชื่อศรัทธาสูงมาก
พอขึ้น taxi ได้โดยสวัสดิภาพก็เริ่มรู้สึกใจชื้นว่าเราน่าจะเอาตัวรอดในอินเดียได้แน่ๆ (เพิ่งวันแรก..) มองไปสองข้างทางก็เริ่มตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจครับ นั่งรถแป๊บเดียวนี่เห็นทุกอย่างแล้วครับ ขยะ ฝุ่นควัน ขอทาน คนอาศัยอยู่ตามริมถนน นักพรตนักบวช ร้านค้าต่างๆ แหม มันตื่นตาตืนใจมากครับ ตากผ้ากันตรงเกาะกลางถนนก็มี ได้เห็นในสิ่งที่อยากเห็นมานานด้วยตาตัวเอง
และแล้วก็ได้สัมผัสประสบการณ์แรกที่เป็นที่ร่ำลือกันครับ เสียงแตร...
โอ้โห ไม่รู้มันจะบีบอะไรกันขนาดนี้ คือบีบตลอดทาง บีบทุกจุด บีบทุกอย่าง ได้ยินเสียงแตรประสานเสียงกันตลอดเวลา ผ่านแยกก็บีบ จะเปลี่ยนเลนส์ก็บีบ ใครขับมาใกล้ก็บีบ อื้ออึงไปหมดครับ..
แล้วเลนรถนี่ ผมว่าสำหรับอินเดีย ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ครับ.. ประหยัดงบตีเส้นถนนได้เลย เขาขับ flow กันไปตามธรรมชาติกันเองครับ sense ในการขับดีเลิศ ไม่นับความอดทน บีบแตรมองหน้ากัน แต่ก็แค่นั้น ไม่มีด่าชูไม้ชูมืออะไร เป็นเมืองไทยนี่เละกันแล้วจริงๆ ครับ..
(กลับมาเมืองไทยนี่ยัง culture shock อยู่นิดๆ เลยครับ งงๆ ว่าทำไมมันไม่มีเสียงแตร ตอนขับรถก็อยากบีบแบบที่โน่นบ้าง... ท่าจะบ้าไปแล้ว)
นั่งมาได้เพลินๆ แล้วลุงคนขับก็จอดแล้วบอกว่าถึงแล้ว ผมก็ต้องอึ้งครับ เพราะตรงที่ลุงจอดให้นี่ มีผู้ชายอินเดียนั่งริมถนนกินโจ๊กหรืออะไรซักอย่างก็ไม่รู้ แต่มันเละและก็เลอะเทอะที่ตัวเขามาก เสื้อก็ไม่ใส่ แล้วนั่งตรงประตูที่ผมจะเปิดลงพอดี กลัวก็กลัวแต่ก็ทำใจกล้าเปิดลงมาแล้วเบี่ยงๆ ตัวหลบเอา..
แล้วก็ได้สัมผัสถนนอินเดียของจริง ที่มันเจิ่งนองเลอะๆ เทอะๆ มีขยะกระจายอยู่ทั่วไป ที่เล่านี่ไม่ได้ว่าเขานะครับ แค่เล่าให้ฟังว่า มันเป็นแบบนี้จริงๆ ผมว่า เมืองไทยซัก 30-40 ปีที่แล้วก็อาจจะประมาณนี้แหล่ะครับ แค่เราพัฒนามาได้เร็วกว่าเขามากแล้ว
พอกำลังเดินๆ งงๆ หาว่าต้องเดินไปทางไหนต่อที่จะไปโรงแรมที่จองไว้ ก็มีคนอินเดียเข้ามารับน้องตามสูตรเลยครับ.. เขาเดินเข้ามาทักทายถามว่าเราพักที่ไหน พอบอกชื่อโรงแรม เขาก็บอกว่า อ๋อ ออฟฟิศโรงแรมอยู่ตรงนี้ โรงแรมนี้มีหลายสาขา ต้องมาติดต่อที่ออฟฟิศนี้ก่อนให้เขาดูว่าต้องไปสาขาไหน.. แจ่มมั๊ยล่ะครับ
ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาหลอก แต่ที่ผมหาคือชื่อถนนที่โรงแรมผมตั้งอยู่ คือ Main Bazaar Street ผมก็พยายามถามแต่ว่ามันคือเส้นไหน เพราะตรงที่ยืนอยู่มันมีสองเส้นอยู่ข้างหน้า ถามไปมาเขาก็จะพาไปแต่ออฟฟิศนี้ให้ได้ ผมเลยตัดสินใจ ถามผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น กะว่าเราฉลาดแน่ เลือกถามคนทั่วไป เขาต้องช่วยเรา ปรากฎเขาก็บอกให้ไปออฟฟิศนี้... สรุปพวกเดียวกัน
สุดท้ายเขาคงเบื่อ เลยชี้บอกผมว่า Main Bazaar คือเส้นทางขวา ผมก็เลยเดินแบกกระเป๋าไป แล้วก็มองไล่หาตามเลขที่ เดินไปเรื่อยๆ ราว 500 เมตรก็ถึง เฮ้อ เหนื่อย
อ้อ ก่อนมาผมก็เคยคิดนะครับว่าจะมา backpack นี่จริงๆ ไม่ต้องแบกเป้ก็ได้รึเปล่า ใช้กระเป๋าลากๆ เอาก็น่าจะสบายดี แต่ก็ไปเจอคนนึงในเวบเขาบอกว่า ในอินเดีย คุณจะไม่อยากลากกระเป๋าหรอก ก็จริงตามนั้นครับ.. ถนนนี่เราจะไม่คิดอยากลากกระเป๋าของเราเลย ดีว่าผมเอากระเป๋าลากแบบใบเล็กๆ ไป เลยเดินถือไม่ลำบากเท่าไหร่
โรงแรมที่ผมพักชื่อ Hotel Hari Piorko ครับ อ่านจากรีวิวใน tripadvisor, agoda แล้วเขาว่าดี แถมราคาก็อยู่ในงบ เลยจองเป็นที่นี่ 1 คืน ไปถึงโรงแรมก็ดูดีจริงๆ ครับ โอเคเลย ไปถึง 10 โมงเช้า เขาก็ให้ check-in ได้เลย แถม upgrade เป็นห้องที่ดีกว่าที่จองไปอีก (มีตู้ปลาให้ด้วย..) คงเพราะมาเช้า ห้องยังไม่ทันว่าง wi-fi ก็มีให้ เร็วใช้ได้เลย
http://www.tripadvisor.com/Hotel_Review-g304551-d1415547-Reviews-Hotel_Hari_Piorko-New_Delhi_National_Capital_Territory_of_Delhi.html
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้โรงแรมอื่นๆ ที่เป็นตัวเลือกตอนที่ผมหาครับ:
http://www.tripadvisor.com/Hotel_Review-g304551-d4173057-Reviews-Bloomrooms_New_Delhi_Railway_Station-New_Delhi_National_Capital_Territory_of_Delhi.html
http://www.tripadvisor.com/Hotel_Review-g304551-d3915705-Reviews-Hotel_Arjun-New_Delhi_National_Capital_Territory_of_Delhi.html
พออาบน้ำล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ต้องรีบไปตามแพลนแล้วครับ เพราะนี่ก็ถือว่า late แล้ว แถมยังไม่ได้กินข้าวอีก เลยเดินๆ หาร้านที่รีวิวดีหน่อยใน tripadvisor แล้วก็แวะกินอาหารเช้าง่ายๆ แล้วก็เดินถ่ายรูปข้างทางไปเรื่อยๆ เพื่อจะหาสถานีรถไฟเพื่อจะนั่งไปสถานี Chawrii Bazaar เพื่อจะเดินเล่นตามตลาดตามแผน ก่อนจะไป Jama Masjid แล้วก็ Red Fort
มาเที่ยวคนเดียวในอินเดียนี่ไม่มีเหงาแน่นอนครับ มีคนทักทายเข้ามาคุยด้วยตลอดทาง หลักๆ ก็จะถามเหมือนๆ กัน ว่ามาจากไหน อยู่กี่วัน จะไปเที่ยวไหนบ้าง พอบอกว่ามาแค่ 8 วันนี่ เขาก็บอกทำไมมาน้อยนัก ต้องอย่างน้อย 2 อาทิตย์หรือเดือนนึง น่าจะเป็นเพราะฝรั่งที่มา backpack ส่วนใหญ่ก็จะมากันนานๆ แล้วเที่ยวจนครบ ของเรามาแบบขยักขย่อนอย่างงี้ไปก่อนละกัน กลัวไม่รอด...
เลือกนั่งกินข้าวร้านใกล้ๆ ที่รีวิวใน tripadvisor ว่าโอเค มื้อแรกก็กินธรรมดาๆ ขนมปังปิ้ง ไข่เจียว กาแฟร้อน ร้านก็เล็กๆ ครับ นั่งไปซักพัก มีคนมาขอนั่งด้วย ทั้งๆ ที่โต๊ะอื่นก็โล่ง.. เราก็เริ่มกลัวแล้ว มันจะมาไม้ไหน
แต่งตัวเหมือนเป็นนักบวช แล้วก็มาชวนคุย ยิ้มแย้ม แต่ผมนี่ระแวงมาก เขาก็ถามตามปกติมาจากไหน พอบอกว่ามาจากเมืองไทย เขาก็ยิ้มแปลกๆ แล้วก็เริ่มพูดถึงเมืองไทย ผู้หญิงไทย แล้วทำหน้าทำตาไม่ดี พูดถึง thai massage แต่ทำมือทำไม้แปลกๆ ตอนแรกๆ ก็อดทน หลังๆ มันไม่เลิก พูดแต่เรื่องพรรค์นั้นของเมืองไทย ชักจะเริ่มโมโห ก็ไม่โต้ตอบอะไรกับมัน รีบๆ กินจะได้รีบไป สุดท้าย มันจะขอเงินกินข้าว แล้วใครจะไปให้มันวะ...
ผมก็รีบกิน รีบจ่ายเงิน แล้วก็เดินออกไปเลย พูดถึงเหตุการณ์แบบนี้เจอหลายทีเหมือนกันนะครับ จนอายๆ เซ็งๆ เหมือนกัน ว่าทำไมพอบอกว่ามาจากเมืองไทยกลายเป็นมีแต่เรื่องแบบนี้ให้เขาพูดถึง แต่มันก็เป็นความจริง ทำไงได้ Hmmm India แต่ Hurrrr Thailand...
พอเดินออกมาก็เดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ เดินไปตามทางที่จะไปสถานีรถไฟ แล้วก็มาเห็นเหมือนเขากำลังแจกอาหาร เหมือนเป็นวัดเล็กๆ ยืนดูแป๊บนึง ก็มีคนมาคุยด้วยอีกแล้ว...
คนนี้ท่าทางดีมาก แต่งตัวดี พูดจาดี ภาษาอังกฤษดี เขาบอกว่าตรงนี้เป็นวัดซิกข์ เขาจะมีการแจกอาหาร ซึ่งก็เคยได้ยินได้อ่านมาบ้าง ว่าศาสนาซิกข์นี่เขาจะบริจาคหรือทำทานให้คนทั่วไป ก็เลยได้มาเห็นกับตา
เขาก็ถามทั่วไป แต่ผมน่ะเริ่มระแวงๆ เขาก็บอกไม่ต้องกลัว เขามาคุยด้วยเพื่อฝึกภาษา เขาเป็นนักเรียนแพทย์อะไรทำนองนั้น ก็คุยถามว่าเราจะไปไหนบ้าง ผมก็บอกๆ ไป เขาก็บอกวันนี้วันอาทิตย์พวกร้านส่วนใหญ่จะปิด แล้วก็บอกว่า Jama Masjid กับ Red Fort ก็น่าจะปิดตอนบ่าย เราก็เริ่มแปลกๆ ละ เพราะที่หามาไม่มีข้อมูลแบบนั้น เขาก็เลยถามเราว่ามีแผนที่รึเปล่า ซึ่งผมมีอยู่ในมือถือกับ iPad แต่ก็บอกไปว่าไม่มี เขาก็เลยบอกเดี๋ยวเขาพาไปเอาแผนที่ที่ Tourist Center.... มุกสุดคลาสสิค เจออีกแล้วครับ..
แต่ผมก็ยังพาซื่อ(บื้อ..) เพราะก็เคยอ่านมาอีก ว่ามันจะมี Tourist Office อยู่แค่ที่เดียวในเดลี ใกล้สถานีรถไฟเดลี ซึ่งผมก็เข้าใจว่าไอ้สถานีตรงหน้านี่มันคือสถานีนั้น เลยยังคิดว่า เออ เขาอาจพาเราไปที่ Tourist Office ของจริง ปรากฎว่าก็โดนหลอกพาเดินไปพวกออฟฟิศท่องเที่ยวทั่วไป.. สุดท้ายผมก็ไม่ได้เข้าไป เพราะกลัวเสียเวลา
ตอนเดินย้อนกลับมา ก็มีคนมาเดินคุยด้วยเป็นเพื่อนอีก.. ไม่เหงาจริงๆ มาที่นี่.. แต่คนนี้ไม่ได้พาไปไหนนะ ยังดี..
ตรงข้างหน้าทางเข้าสถานีก็จะมีสามล้อจอดอยู่ เขาก็เรียกให้ถ่ายรูป เลยยืนถ่ายรูปเพลินเลย ใครที่อยากถ่ายรูปผู้คนแล้วไม่ค่อยกล้า มาที่นี่จะกล้าขึ้นเยอะเลยครับ เพราะคนเขาชอบถูกถ่าย
Hmmm India :: ตอนที่ 2 - ผจญภัยใน New Delhi (ตอนที่ 1)
link สำหรับตอนที่แล้วครับผม
Hmmm India :: ประสบการณ์ลุยเดี่ยวเที่ยวอินเดีย Delhi - Agra - Varanasi - Kolkata (ตอนที่ 1 - การเตรียมตัวและแผนการ)
http://ppantip.com/topic/33020136/
ผมเล่าไปเรื่อยๆ นะครับ ถ้ามีข้อมูลที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ก็จะสอดแทรกเข้าไปนะครับ คงไม่ได้เป็นสไตล์การรีวิวขนาดนั้น รูปแบบการเดินทางก็ไม่ได้เป็น budget style มาก เรียกว่ากลางๆ แต่ก็ไม่ได้แพงครับผม
เริ่มเลยละกันนะครับ
ตาม plan คือเราจะเดินทางมาถึง New Delhi Airport แต่เช้า ตอนแรกผมกะจะหาอะไรกินมื้อเช้าที่ Airport ก่อน แต่ Airport ที่มาถึงนี่ เล็กมาก เพราะเป็น low cost domestic terminal เลยเป็นอันว่าต้องพับแผนนี้ไป เพราะใน Airport ไม่มีอะไรกินเลย..
ตามที่ศึกษาหาข้อมูลมาสำหรับการเดินทางเข้าเมืองคือ ให้ใช้บริการของ Pre-paid taxi เท่านั้น จะปลอดภัยและไม่เจ็บตัวที่สุด เพราะถ้าเป็น taxi ทั่วไปด้านนอกนี่ เขาเตรียมฟันเราหัวแบะอยู่แล้วครับ..
พอลงจากเครื่องเดินเข้ามาก็มองหาป้าย pre-paid taxi ซึ่งก็หาไม่ยาก (อันนี้มีทุก terminal นะครับ แต่ที่ terminal นี้เป็น counter เล็กๆ) ก็เดินเข้าไปแล้วก็ยื่นที่อยู่โรงแรมให้เขาดู ว่าเราจะไปที่ไหน เขาก็จะบอกราคามา ซึ่งที่เช็คๆ ไว้ ราคาจาก airport เข้าเมืองก็จะอยู่ประมาณ 300 รูปี +/- (วันที่ไปราคา 295 รูปี ครับ)
(ต้องยอมรับว่า ด้วยชื่อเสียงอันน่ากลัว ทำให้ก่อนมาอินเดียนี่ต้องหาข้อมูลเตรียมตัวเยอะมาก เพราะกลัวโดนโกงจัด เช่นเช็คราคาการเดินทางต่างๆ ด้วย taxi, rickshaw ว่าราคาน่าจะประมาณเท่าไหร่)
พอจ่ายตังค์เสร็จเขาก็จะให้เป็นใบเสร็จมาให้เราไปติดต่อ taxi ที่อยู่ด้านนอก เดินออกมาก็ถามๆ เขาดูก็ได้ครับ ผมถามๆ เขาก็ชี้ๆ ไป แล้วก็จะมีคนขับมาพาเดินไปขึ้นรถ ที่เดลีนี่ taxi สีดำๆ คันเล็กๆ อย่างที่เห็นในรูป แต่อันนี้ไม่ได้ถ่ายที่ airport นะครับ
ลุงคนขับรถคนแรกของผมในอินเดียนี่หน้าตาดีเชียว แต่พูดอังกฤษไม่ค่อยได้ ภายในรถก็ตามสภาพครับ ไม่ได้สะอาดแต่ก็ไม่ได้แย่ เรื่องแอร์นี่ไม่ต้องพูดถึง แต่ยังดีผมไปช่วงนี้ อากาศเย็น เลยสบายๆ กระจกข้างก็อย่างที่เขาร่ำลือจริงๆ ครับ ไม่ต้องมี มีก็ไม่ต้องใช้ เพราะเขาขับเฉียดใกล้กันมาก เครื่องรางของขลังนี่ก็มีกันทุกคัน เป็นประเทศที่ผู้คนมีความเชื่อศรัทธาสูงมาก
พอขึ้น taxi ได้โดยสวัสดิภาพก็เริ่มรู้สึกใจชื้นว่าเราน่าจะเอาตัวรอดในอินเดียได้แน่ๆ (เพิ่งวันแรก..) มองไปสองข้างทางก็เริ่มตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจครับ นั่งรถแป๊บเดียวนี่เห็นทุกอย่างแล้วครับ ขยะ ฝุ่นควัน ขอทาน คนอาศัยอยู่ตามริมถนน นักพรตนักบวช ร้านค้าต่างๆ แหม มันตื่นตาตืนใจมากครับ ตากผ้ากันตรงเกาะกลางถนนก็มี ได้เห็นในสิ่งที่อยากเห็นมานานด้วยตาตัวเอง
และแล้วก็ได้สัมผัสประสบการณ์แรกที่เป็นที่ร่ำลือกันครับ เสียงแตร...
โอ้โห ไม่รู้มันจะบีบอะไรกันขนาดนี้ คือบีบตลอดทาง บีบทุกจุด บีบทุกอย่าง ได้ยินเสียงแตรประสานเสียงกันตลอดเวลา ผ่านแยกก็บีบ จะเปลี่ยนเลนส์ก็บีบ ใครขับมาใกล้ก็บีบ อื้ออึงไปหมดครับ..
แล้วเลนรถนี่ ผมว่าสำหรับอินเดีย ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ครับ.. ประหยัดงบตีเส้นถนนได้เลย เขาขับ flow กันไปตามธรรมชาติกันเองครับ sense ในการขับดีเลิศ ไม่นับความอดทน บีบแตรมองหน้ากัน แต่ก็แค่นั้น ไม่มีด่าชูไม้ชูมืออะไร เป็นเมืองไทยนี่เละกันแล้วจริงๆ ครับ..
(กลับมาเมืองไทยนี่ยัง culture shock อยู่นิดๆ เลยครับ งงๆ ว่าทำไมมันไม่มีเสียงแตร ตอนขับรถก็อยากบีบแบบที่โน่นบ้าง... ท่าจะบ้าไปแล้ว)
นั่งมาได้เพลินๆ แล้วลุงคนขับก็จอดแล้วบอกว่าถึงแล้ว ผมก็ต้องอึ้งครับ เพราะตรงที่ลุงจอดให้นี่ มีผู้ชายอินเดียนั่งริมถนนกินโจ๊กหรืออะไรซักอย่างก็ไม่รู้ แต่มันเละและก็เลอะเทอะที่ตัวเขามาก เสื้อก็ไม่ใส่ แล้วนั่งตรงประตูที่ผมจะเปิดลงพอดี กลัวก็กลัวแต่ก็ทำใจกล้าเปิดลงมาแล้วเบี่ยงๆ ตัวหลบเอา..
แล้วก็ได้สัมผัสถนนอินเดียของจริง ที่มันเจิ่งนองเลอะๆ เทอะๆ มีขยะกระจายอยู่ทั่วไป ที่เล่านี่ไม่ได้ว่าเขานะครับ แค่เล่าให้ฟังว่า มันเป็นแบบนี้จริงๆ ผมว่า เมืองไทยซัก 30-40 ปีที่แล้วก็อาจจะประมาณนี้แหล่ะครับ แค่เราพัฒนามาได้เร็วกว่าเขามากแล้ว
พอกำลังเดินๆ งงๆ หาว่าต้องเดินไปทางไหนต่อที่จะไปโรงแรมที่จองไว้ ก็มีคนอินเดียเข้ามารับน้องตามสูตรเลยครับ.. เขาเดินเข้ามาทักทายถามว่าเราพักที่ไหน พอบอกชื่อโรงแรม เขาก็บอกว่า อ๋อ ออฟฟิศโรงแรมอยู่ตรงนี้ โรงแรมนี้มีหลายสาขา ต้องมาติดต่อที่ออฟฟิศนี้ก่อนให้เขาดูว่าต้องไปสาขาไหน.. แจ่มมั๊ยล่ะครับ
ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาหลอก แต่ที่ผมหาคือชื่อถนนที่โรงแรมผมตั้งอยู่ คือ Main Bazaar Street ผมก็พยายามถามแต่ว่ามันคือเส้นไหน เพราะตรงที่ยืนอยู่มันมีสองเส้นอยู่ข้างหน้า ถามไปมาเขาก็จะพาไปแต่ออฟฟิศนี้ให้ได้ ผมเลยตัดสินใจ ถามผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น กะว่าเราฉลาดแน่ เลือกถามคนทั่วไป เขาต้องช่วยเรา ปรากฎเขาก็บอกให้ไปออฟฟิศนี้... สรุปพวกเดียวกัน
สุดท้ายเขาคงเบื่อ เลยชี้บอกผมว่า Main Bazaar คือเส้นทางขวา ผมก็เลยเดินแบกกระเป๋าไป แล้วก็มองไล่หาตามเลขที่ เดินไปเรื่อยๆ ราว 500 เมตรก็ถึง เฮ้อ เหนื่อย
อ้อ ก่อนมาผมก็เคยคิดนะครับว่าจะมา backpack นี่จริงๆ ไม่ต้องแบกเป้ก็ได้รึเปล่า ใช้กระเป๋าลากๆ เอาก็น่าจะสบายดี แต่ก็ไปเจอคนนึงในเวบเขาบอกว่า ในอินเดีย คุณจะไม่อยากลากกระเป๋าหรอก ก็จริงตามนั้นครับ.. ถนนนี่เราจะไม่คิดอยากลากกระเป๋าของเราเลย ดีว่าผมเอากระเป๋าลากแบบใบเล็กๆ ไป เลยเดินถือไม่ลำบากเท่าไหร่
โรงแรมที่ผมพักชื่อ Hotel Hari Piorko ครับ อ่านจากรีวิวใน tripadvisor, agoda แล้วเขาว่าดี แถมราคาก็อยู่ในงบ เลยจองเป็นที่นี่ 1 คืน ไปถึงโรงแรมก็ดูดีจริงๆ ครับ โอเคเลย ไปถึง 10 โมงเช้า เขาก็ให้ check-in ได้เลย แถม upgrade เป็นห้องที่ดีกว่าที่จองไปอีก (มีตู้ปลาให้ด้วย..) คงเพราะมาเช้า ห้องยังไม่ทันว่าง wi-fi ก็มีให้ เร็วใช้ได้เลย
http://www.tripadvisor.com/Hotel_Review-g304551-d1415547-Reviews-Hotel_Hari_Piorko-New_Delhi_National_Capital_Territory_of_Delhi.html
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พออาบน้ำล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ต้องรีบไปตามแพลนแล้วครับ เพราะนี่ก็ถือว่า late แล้ว แถมยังไม่ได้กินข้าวอีก เลยเดินๆ หาร้านที่รีวิวดีหน่อยใน tripadvisor แล้วก็แวะกินอาหารเช้าง่ายๆ แล้วก็เดินถ่ายรูปข้างทางไปเรื่อยๆ เพื่อจะหาสถานีรถไฟเพื่อจะนั่งไปสถานี Chawrii Bazaar เพื่อจะเดินเล่นตามตลาดตามแผน ก่อนจะไป Jama Masjid แล้วก็ Red Fort
มาเที่ยวคนเดียวในอินเดียนี่ไม่มีเหงาแน่นอนครับ มีคนทักทายเข้ามาคุยด้วยตลอดทาง หลักๆ ก็จะถามเหมือนๆ กัน ว่ามาจากไหน อยู่กี่วัน จะไปเที่ยวไหนบ้าง พอบอกว่ามาแค่ 8 วันนี่ เขาก็บอกทำไมมาน้อยนัก ต้องอย่างน้อย 2 อาทิตย์หรือเดือนนึง น่าจะเป็นเพราะฝรั่งที่มา backpack ส่วนใหญ่ก็จะมากันนานๆ แล้วเที่ยวจนครบ ของเรามาแบบขยักขย่อนอย่างงี้ไปก่อนละกัน กลัวไม่รอด...
เลือกนั่งกินข้าวร้านใกล้ๆ ที่รีวิวใน tripadvisor ว่าโอเค มื้อแรกก็กินธรรมดาๆ ขนมปังปิ้ง ไข่เจียว กาแฟร้อน ร้านก็เล็กๆ ครับ นั่งไปซักพัก มีคนมาขอนั่งด้วย ทั้งๆ ที่โต๊ะอื่นก็โล่ง.. เราก็เริ่มกลัวแล้ว มันจะมาไม้ไหน
แต่งตัวเหมือนเป็นนักบวช แล้วก็มาชวนคุย ยิ้มแย้ม แต่ผมนี่ระแวงมาก เขาก็ถามตามปกติมาจากไหน พอบอกว่ามาจากเมืองไทย เขาก็ยิ้มแปลกๆ แล้วก็เริ่มพูดถึงเมืองไทย ผู้หญิงไทย แล้วทำหน้าทำตาไม่ดี พูดถึง thai massage แต่ทำมือทำไม้แปลกๆ ตอนแรกๆ ก็อดทน หลังๆ มันไม่เลิก พูดแต่เรื่องพรรค์นั้นของเมืองไทย ชักจะเริ่มโมโห ก็ไม่โต้ตอบอะไรกับมัน รีบๆ กินจะได้รีบไป สุดท้าย มันจะขอเงินกินข้าว แล้วใครจะไปให้มันวะ...
ผมก็รีบกิน รีบจ่ายเงิน แล้วก็เดินออกไปเลย พูดถึงเหตุการณ์แบบนี้เจอหลายทีเหมือนกันนะครับ จนอายๆ เซ็งๆ เหมือนกัน ว่าทำไมพอบอกว่ามาจากเมืองไทยกลายเป็นมีแต่เรื่องแบบนี้ให้เขาพูดถึง แต่มันก็เป็นความจริง ทำไงได้ Hmmm India แต่ Hurrrr Thailand...
พอเดินออกมาก็เดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ เดินไปตามทางที่จะไปสถานีรถไฟ แล้วก็มาเห็นเหมือนเขากำลังแจกอาหาร เหมือนเป็นวัดเล็กๆ ยืนดูแป๊บนึง ก็มีคนมาคุยด้วยอีกแล้ว...
คนนี้ท่าทางดีมาก แต่งตัวดี พูดจาดี ภาษาอังกฤษดี เขาบอกว่าตรงนี้เป็นวัดซิกข์ เขาจะมีการแจกอาหาร ซึ่งก็เคยได้ยินได้อ่านมาบ้าง ว่าศาสนาซิกข์นี่เขาจะบริจาคหรือทำทานให้คนทั่วไป ก็เลยได้มาเห็นกับตา
เขาก็ถามทั่วไป แต่ผมน่ะเริ่มระแวงๆ เขาก็บอกไม่ต้องกลัว เขามาคุยด้วยเพื่อฝึกภาษา เขาเป็นนักเรียนแพทย์อะไรทำนองนั้น ก็คุยถามว่าเราจะไปไหนบ้าง ผมก็บอกๆ ไป เขาก็บอกวันนี้วันอาทิตย์พวกร้านส่วนใหญ่จะปิด แล้วก็บอกว่า Jama Masjid กับ Red Fort ก็น่าจะปิดตอนบ่าย เราก็เริ่มแปลกๆ ละ เพราะที่หามาไม่มีข้อมูลแบบนั้น เขาก็เลยถามเราว่ามีแผนที่รึเปล่า ซึ่งผมมีอยู่ในมือถือกับ iPad แต่ก็บอกไปว่าไม่มี เขาก็เลยบอกเดี๋ยวเขาพาไปเอาแผนที่ที่ Tourist Center.... มุกสุดคลาสสิค เจออีกแล้วครับ..
แต่ผมก็ยังพาซื่อ(บื้อ..) เพราะก็เคยอ่านมาอีก ว่ามันจะมี Tourist Office อยู่แค่ที่เดียวในเดลี ใกล้สถานีรถไฟเดลี ซึ่งผมก็เข้าใจว่าไอ้สถานีตรงหน้านี่มันคือสถานีนั้น เลยยังคิดว่า เออ เขาอาจพาเราไปที่ Tourist Office ของจริง ปรากฎว่าก็โดนหลอกพาเดินไปพวกออฟฟิศท่องเที่ยวทั่วไป.. สุดท้ายผมก็ไม่ได้เข้าไป เพราะกลัวเสียเวลา
ตอนเดินย้อนกลับมา ก็มีคนมาเดินคุยด้วยเป็นเพื่อนอีก.. ไม่เหงาจริงๆ มาที่นี่.. แต่คนนี้ไม่ได้พาไปไหนนะ ยังดี..
ตรงข้างหน้าทางเข้าสถานีก็จะมีสามล้อจอดอยู่ เขาก็เรียกให้ถ่ายรูป เลยยืนถ่ายรูปเพลินเลย ใครที่อยากถ่ายรูปผู้คนแล้วไม่ค่อยกล้า มาที่นี่จะกล้าขึ้นเยอะเลยครับ เพราะคนเขาชอบถูกถ่าย