สวัสดีครับผม วันนี้เพลงและน้องโดนัท พรีเซ็นเตอร์ Campaign

เที่ยวแพร่...ไม่แคร์หนาว จะพาเพื่อนๆไปเที่ยวจังหวัดแพร่ จังหวัดที่เล็กๆ แต่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ ที่น่าค้นหาอย่างยิ่งเลยครับ ซึ่งทริปนี้จะเป็นทริปแนะนำที่ใช้เวลาซึมซับบรรยากาศกับการท่องเที่ยวในจังหวัดแพร่ประมาณ 3 วัน 2 คืน ถ้าหากคุณออกเดินทางจากกรุงเทพฯตั้งแต่เช้าตรู่ มาตามถนนสายเอเชียใช้เวลาก็ถือว่าไม่นานเลยครับ ระยะทางเพียงแค่  530 กิโลเมตรใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงก็จะมาถึงอำเภอเด่นชัย และตรงนี้ครับคุณจะพบกับ Landmark เมืองแพร่น่าอยู่ประตูสู่ล้านนา เป็นจุด ยอดนิยมที่เช็คอินและถ่ายรูปกับ ม้าแก้วมงคล สัญลักษณ์ของจังหวัดแพร่
แล้วเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองแพร่อีก 25 กิโลเมตร…..

เมื่อเดินทางเข้ามาถึงในตัวเมืองแพร่เราก็มุ่งหน้าไปที่วัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร ซึ่งเป็นพระอารามหลวงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธโกศัยศิริชัยมหาศากยมุนีพระคู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดแพร่ สักการะกราบไหว้ขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลในการเดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดแพร่ เดิมทีวัดนี้เกิดขึ้นจากการรวมวัดสองวัดเข้าด้วยกัน ได้แก่วัดพระบาทและวัดมิ่งเมือง เรียกได้ว่ามาที่เดียวได้เที่ยว  2 วัดเลยทีเดียวครับ

ในส่วนของวิหารมิ่งเมืองนั้นก็ได้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลปะเชียงแสนอันงดงาม และยังมีสิ่งของเครื่องใช้โบราณของเมืองแพร่จัดแสดงให้ชื่นชมได้อย่างน่าสนใจเลยละครับ ของโบราณแบบนี้หาชมได้ยากนะครับเพื่อนๆ ต้องมาชมกันครับแฮะๆ... ที่นี้เราได้พบกับ คําภีร์โบราณที่ปักด้วยเส้นไหมอายุราวๆร้อยกว่าปีเลยทีเดียว  คําภีร์โบราณปักด้วยแม่เจ้าบัวไหล ชายา เจ้าหลวงเมืองแพร่องค์สุดท้าย  ว้าวๆ ..น่าสนใจมากครับ

ออกจากวิหารมิ่งเมือง เราก็เดินทางไปที่ตำบลทุ่งโฮ้งห่างจากวัดไปประมาณ 4 กิโลเมตรเหลียวมองบริเวณรอบๆจะพบกับสองข้างทางที่เรียงรายเต็มไปด้วยร้านจำหน่ายเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์จากผ้าหม้อห้อมลือชื่อเป็นที่นิยมและเป็นหนึ่งในคำขวัญของจังหวัดแพร่อีกด้วยครับ  เราไปที่ร้านป้าเงี่ยมหม้อห้อมธรรมชาติ ซึ่งที่นี่มีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ลองทำด้วยครับ โดยการย้อมผ้าและปั๊มลายผ้าเช็ดหน้า เป็นของเราเอง เรียกว่ามีผืนเดียวในโลกเลยแหละ

ก่อนกลับ เราก็อดไม่ได้ที่จะต้องเลือก เสื้อสวยๆ ไว้ใสเองบ้างสักตัวสองตัว เพราะดูแล้วดีไซน์ทันสมัย เข้ากับบุคลิก และยังมีให้เลือกหลากหลายแบบทั้งชายและหญิง หรือจะเป็นของฝากชิ้นเล็กก็มีให้เลือก

เดินทางออกจากตลาดทุ่งโฮ้งก็ขอไปเช็คอินกันก่อนนะครับ  ที่โรงแรมนิธิบูรณ์วินเทจซึ่งอยู่ซอยตรงข้ามห้างโฮมโปร ที่นี่บรรยากาศดี ราคาไม่แพง เพียง 550 บาทต่อคืนเท่านั้นเองครับ

ออกจากที่พักมุ่งหน้าตามโปรแกรมเย็นนี้ต่อ มีคุ้มเจ้าหลวง บ้านวงศ์บุรี และกาดกองเก่าซึ่งอยู่ไม่ ไกลกันมากเท่าไหร่ คุ้มเจ้าหลวงปัจจุบันมีอายุประมาณ 112ปี แต่เดิมก่อนนั้นที่นี่คือบ้านของเจ้าพิริยะเทพวงศ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่องค์สุดท้าย ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมซึ่งเป็นที่นิยม ในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือเรียกว่าแบบขนมปังขิง ปัจจุบันภายในได้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่แสดงเรื่องราวความเป็นมาของจังหวัดแพร่ มีความสวยสง่างาม จนได้รับรางวัล ด้านสถาปัตยกรรมมาหลายรางวัลแล้วครับ

แล้วที่ด้านหน้าคุ้ม มีกรอบรูปไม้สัก ขนาดใหญ่มากไว้ให้แซะรูปสวยๆกัน  พูดได้ว่าใครที่มาที่นี่ มุมนี้มุมมหาชนเลยล่ะครับ ตรงจุดนี้อย่าพลาดนะครับสักแชะ..กับเพื่อนๆ  คนรู้ใจ หรือครอบครัว

ต่อจากคุ้มเจ้าหลวงแล้วไปอีกไม่ไกลก็มาที่นี่เลยครับ บ้านสีชมพูแสนโรแมนติก  บ้านวงศ์บุรีบ้านของแม่เจ้าบัวถาชายาองค์แรก ของเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่ ภายในบ้านตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้สวยงามที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน สู่ลูกหลานรุ่นที่ 5 และยังเคยใช้เป็นที่สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ ร้อยไหม สวยมากเลยครับไม่ผิดหวังแน่นอน

กลายเป็นที่นิยมทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เดินทางมาเที่ยวที่นี่อยู่เป็นประจำ

วันนี้เป็นวันเสาร์พอดีครับเราก็เลยเข้ามาที่บริเวณถนนหน้าบ้านวงศ์บุรีกันต่อก็จะมี กาดกองเก่า จำหน่ายสินค้า กิ๊บเก๋น่ารักๆ ของคนแพร่ พ่อค้าแม่ขายก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นมิตรน่ารักมากเลยครับ  บ้านใครมีอะไรก็พากันเอาออกมาขายมาแลกกันบ้าง ถือได้ว่าไม่มาก็น่าเสียได้จริงๆ มาเดินที่นี่ไม่ผิดหวัง บรรยากาศเหมือนตลาดย้อนยุค แล้วได้รอยยิ้มกลับบ้านไปแน่นอน แบบว่าอิ่มอกอิ่มใจกันเลยทีเดียวละครับ แฮะๆ..

ส่วนน้องโดนัทก็ชอบเพราะมีของ เล็กๆน้อยแบบผู้หญิงชอบให้เลือกเยอะอยู่พอสมควร แม้ๆงานนี้เนี่ยนะหิ้วของกลับติดไม้ติดมือกลับบ้านอีกเพียบเลยนะครับฮ่าๆ..
ที่นี่เค้าจัดกันถึงประมาณ 3 ทุ่มนะครับ แต่เราออกมาก่อน พอดีหิวอ่ะครับ อิอิ.. เราไปหาที่ดินเนอร์มื้อเย็นหาอาหารอร่อยๆทานกันครับ แบบว่าบรรยากาศ ดีๆสักแห่ง

มีคนแนะนำให้เราลองไปที่ ”ร้านบ้านแสงจันทร์” ก็ไม่ผิดหวังนะ เพราะว่าที่นี่เขาจัดร้านได้สวยดี กว้างขวาง โอ่อ้า อาหารก็มีให้เลือกเยอะเลยครับ เมนูแนะนำ กุ้งแช่วาซาบิ จิ๊ดจ๊าดได้ใจเลย มีดนตรีบรรเลงสดอีกด้วย วันนี้เรียกว่ามาวันแรกก็อบอุ่นกับบรรยากาศความเป็นเมืองเล็กๆแห่งนี้แล้วล่ะ พรุ่งนี้เราจะเริ่มแต่เช้าตามไปชมบรรยากาศเมืองแพร่กันนะครับ

ตื่นแต่เช้าอากาศแจ่มใสครับ เช้านี้เราออกจากที่พักประมาณ 6.30 น.มุ่งหน้าสู่จุดชมวิวทะเลหมอกยามเช้าอีกจุดหนึ่งของเมืองแพร่ คือที่ดอยเล็ง ห่างจากที่พักออกมาประมาณ 8 กม. รถยนต์สามารถขึ้นได้ถึงยอดดอยครับ บริเวณใกล้ๆตรงข้ามกันกับที่จอดรถนี่เองครับ  เป็นจุดชมวิวที่แสงอาทิตย์อ่อนๆขึ้นมา สาดส่องทอแสงผ่านแนวเขาที่สลับซับซ้อนดูราวกับภาพจิตรกรรมฝาผนังอันมีชีวิตชีวา”เรียกว่าโคตรฟินเวอร์. !
ตากลมชมหมอกอยู่นาน สัมผัสธ์บรรยากาศแบบนี้แล้วรู้สึกเข้าถึงธรรมชาติอย่างแท้จริง ฟินมากเลยครับ

ต่อจากนั้นเราก็เดินขึ้นไปบนวัดพระธาตุดอยเล็งซึ่งหมายถึง การเพ่งดูนั้นเองครับไหว้พระธาตุกราบพระขอพรตอนยามเช้า ข้างบนพระธาตุนี้เองจะเป็นอีกมุมนึงจุดชมวิว ที่จะเห็นวิวทิวทัศน์ของแพร่ถึง 3 อำเภอ ซึ่งคุณจะเห็นว่าด้านทิศตะวันตกก็คือวิวตัวเมืองแพร่มองเห็นพระธาตุช่อแฮสีทองอร่าม มองไปแล้วดูเงียบสงบงดงามยิ่งนัก หรือบางท่านจะมาตอนเย็นๆก็ได้นะครับ ก็จะเห็นวิวเมืองแพร่แสง แบบ Twilight สวยงามไปอีกแบบ

พอช่วงสายๆหน่อยตอนนี้เราเริ่มหิวกันบ้างแล้วครับ ก็เลยลงไปหาของกินรองท้องกัน ที่ตลาดสดป่าแดง บริเวณนั้น จะมีร้าน ขายข้าวแคบข้าวควบ ของกินพื้นบ้านที่ทำกันสดๆ  ฮ่าๆเห็นแล้วจี๊ดหิวทันทีเลยครับ แต่เอ๊ะ..เขาทำกันยังไงเราเลยขอลองทำดูมั้งไว้กินแก้หิวก่อน ต้องลองครับเพื่อนๆมาถึงที่แล้ว ปิ้งเสร็จแล้วถือติดมือกินไปกรุ๊บๆอร่อยเหาะเลยครับฮ่าๆ จะเดินทางไปอเมซิ่งแพร่กันต่อนะครับ ซึ่งอีกที่อยู่ใกล้ๆนี่เองห่างกันสัก 300 เมตร

ส่วนน้องโดนัทก็อร่อยกรุ๊บกริบเลยครับ ดูท่าทางจะหิวเหมือนกัน 555 ติดอกติดใจกันเลยทีเดียวได้ลองปิ้งข้าวแคบข้าวควบ

มาถึงเมืองแพร่แล้วที่ขาดไม่ได้ก็คือเราต้องไปไหว้พระธาตุช่อแฮ 1 ใน 12 พระธาตุปีนักษัตรหรือ พระธาตุ ประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีขาล อ่ะเพื่อนๆคนไหนที่เกิดปีขาลที่นี่เลยครับมาสักการะกราบไว้ขอพรเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง จะได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขครับ และยังเป็นพระธาตุที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุพระศอกข้างซ้ายของพระพุทธเจ้า…

และที่นี่ยังมีพระเจ้าทันใจที่พุทธศาสนิกชนนิยมมากราบขอพรกันอย่างเนืองแน่นอยู่เป็นประจำทุกวัน

ไหว้พระธาตุช่อแฮ พระเจ้าทันใจ กันเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนั้นเราก็เดินทางออกไปตามถนนเส้นหลังพระธาตุช่อแฮไปอีก 4 กม. หันมองไปสองข้างทางเขียวชอุ่ม รายล้อมไปด้วยขุนเขา มีร้านอาหารร้านกาแฟอยู่หลายร้านเลยครับ ระหว่างที่เราขับรถผ่านก็สะดุดตา กับโดเรม่อนตัวใหญ่ โอ้ว...น่ารัก น่าชัง น่ากอดจริงๆครับฮ่าๆ  ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆที่เราชอบดูการ์ตูนโดเรม่อน แน่นอน  เราตกลงเลือกร้านนี้เลยครับชื่อร้าน ไอกรุ่น” กลางดอยแวะทานกาแฟแก้ง่วงกันก่อนหน่อยครับ ^^

เดินเข้าไปภายในร้านมีจุดถ่ายรูปด้วยครับ ไว้แซะโชว์เพื่อนๆ มีให้เลือกอยู่หลายจุดเลยครับจัดไปเลยหลายๆ รูปฮ่าๆ น้องโดนัทเราก็ชิวๆเพลินๆ ยิ้มเเป้นเลยละครับฮ่าๆ ตลอดเส้นทางในแพร่ที่ผ่านมา ก็เรียกว่าที่แพร่นี้ มีร้านกาแฟสวยๆเยอะอยู่พอสมควรเลยละครับ ไม่มาไม่ได้นะครับเราต้องแวะ  แล้วค่อยไปต่อกันนะครับ

เลยร้านกาแฟไปอีกหน่อยประมาณ 3 กิโลเมตร ก็จะเป็นน้ำตกเชิงทอง  มองหาที่จอดรถได้แล้วเราก็จ่ายค่าบัตรเข้าอุทยานคนละ 20 บาทเท่านั้นเองครับแล้วเดินเข้าไปอีก 300 เมตร ก็ถึงตัวน้ำตกเลยครับมีอยู่ประมาณ 3 ชั้น เราเลือกลงเล่นได้ทุกชั้นเลย มีเปียกแน่ครับ แต่อากาศสดชื่น ชุ่มฉ่ำ เย็นสบายมากเลยครับ

มาเที่ยวน้ำตกฤดูหนาว อยากบอกว่าน้ำเย็นเจี๊ยบเลยครับสดชื่นจริงๆ  แต่ก็อดที่จะอยากลงเล่นไม่ได้เพราะน้ำใสปิ๊งมากๆ  จะเล่นน้ำตกทั้งทีก็ต้องเตรียมชุดมาเปลี่ยนนะครับฮ่าๆ มาถึงที่แล้วนี่ นะ นั่งเล่นเพลินๆพร้อมบรรยากาศธรรมชาติเย็นสบายอยู่นี่นานจนไม่อยากกลับ

เล่นน้ำตกเพลินอยู่นานเหมือนกัน ชั่วโมงนี้เรา รู้สึกว่าท้องร้องได้เวลาอร่อยแล้วๆ ฮ่าๆ  ตอนขาเข้ามาเรามองเห็นว่ามีร้านอาหารอยู่ริมข้างทาง  เล็งไว้นานแล้ว แวะกันเลยไม่ผิดหวังอาหารที่นี่อร่อยใช้ได้โดยเฉพาะเมนูปลา และยำรสแซบ ลืมบอกชื่อร้านไปครับชื่อร้าน”ชลชาติ” ตัวร้านตั้งอยู่ติดริมน้ำเส้นเดียวกับสายธารน้ำตกเลยครับ

เมื่อถึงช่วงบ่ายเราก็ขับรถไปต่อที่ พระธาตุอินทร์แขวน พุทธอุทยานดอยผาสวรรค์อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 23 กม. ห่างจากน้ำตก 29 กม. ซึ่งเป็นพระธาตุอินทร์แขวนจำลองสำหรับผู้ที่เกิดในปีจอ

และยังมีพระผุด ซึ่งผมเชื่อว่าน่าจะใหญ่ที่สุด ในประเทศไทยเท่าที่เคยเห็นมาและที่นี่เองคือแหล่งโอโซน ชั้นเยี่ยมติดอันดับ 7 ของประเทศไทย ขอสูดกันให้เต็มปอดกันก่อนเลยนะครับ ส่วนเลยพระธาตุไปหน่อยก็เป็นบ้านนาคูหาชาวบ้านมีอาชีพเก็บเต่าหรือสาหร่ายน้ำจืดและสวนผลไม้ ทุเรียน ลางสาด ก็ได้ผลไม้กลับไปกินที่พักแล้วครับ