สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 27
เรื่องนี้มันแยกได้หลายส่วนที่ต้องมองแยกกัน
การทำประกันภัยไว้ คนทำประกันจะได้รับการซ่อมแซมคืนสภาพในวงเงินประกัน แต่ถ้าเกินซ่อมแซมจะได้รับการชดเชยเต็มวงเงินประกัน โดยสินทรัพย์นั้นจะเปลี่ยนมือเป็นของบริษัทประกัน
เช่นในกรณีประกันอัคคีภัย สมมติเป็นร้านค้า มีการประกันตัวตึกหนึ่งล้าน สินค้าหนึ่งล้าน เมื่อเกิดเพลิงไหม้ในอาคาร ตัวตึกเสียหายบางส่วน ส่วนสินค้าเสียหายมาก เพราะเจอน้ำดับเพลิงฉีด แต่เนื่องจากทำประกันน้อยเกินไป เช่นสินค้าทั้งหมดจริงๆ มูลค่าสองล้าน แต่เสียหายไปเกือบล้านบาท ถ้ายกสินค้าบางส่วนนั้นออกมาเพื่อเคลม ตีมูลค่าแล้วจะเคลม เก้าแสนบาท แบบนี้บริษัทประกันอาจจะเลือกเอาสินค้าทั้งหมด แล้วชดเชยเต็มวงเงินประกันคือหนึ่งล้านบาท แบบนี้คนทำประกันก็คงรับไม่ได้ เพราะที่เหลือมีมูลค่าเกินล้านบาท
สุดท้ายคงตัองยอมรับการชดเชยน้อยกว่านั้นมาก เพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นบ้าง
หรือในทางกลับกันถ้าทำประกันเกินมูลค่ามากๆ เช่นมีสินค้าล้านเดียว แต่ประกันไว้สามล้าน แบบนี้ถ้าไหม้หมดจนไม่เห็นซากอาจจะได้ตามนั้น แต่ถ้าไหม้บางส่วน ก็จะได้ชดเชยตามเสียหายจริงเท่านั้น
เมื่อมาเทียบกับกรณีรถยนต์ ปกติจะตีมูลค่าง่ายกว่า ดังนั้นจะไม่ค่อยทำประกันต่ำกว่ามูลค่า หรือสูงกว่ามูลค่ามากเกินไป การชดเชยเลยไม่ค่อยมีปัญหาทำนองนั้น
แต่พอมากรณีนี้ จริงๆ ถ้าเป็นเจ้าของรถเกิดอุบัติเหตุเอง รถพังแบบนี้ ประกันจ่ายชดเชยเต็มวงเงินห้าแสน มันก็จบ ที่เหลือเจ้าของรถก็รับผิดชอบไป
แต่เนื่องจากครั้งนี้ เป็นบุคคลอื่นนำรถไปเกิดอุบัติเหตุ จริงๆ ประกันก็รับผิดชอบเท่าเดิม ส่วนที่เหลือเจ้าของจะได้เพิ่มจากคนที่ทำเกิดเหตุ
แต่ครั้งนี้ที่ประกันชดเชยแบบนี้ จริงๆแล้ว ประกันก็จ่ายเพิ่มอีกแค่เก้าหมื่นบาท แล้วทุกอย่างก็ยังตามขั้นตอนที่ควรจะเป็นต่อไป
บริษัทประกันก็ทำหน้าที่ที่ต้องทำอยู่แล้วต่อไป
เจ้าของรถก็สามารถฟ้องร้องในส่วนคดีอาญากับคนนำรถไปใช้ได้เหมือนเดิม
การทำประกันภัยไว้ คนทำประกันจะได้รับการซ่อมแซมคืนสภาพในวงเงินประกัน แต่ถ้าเกินซ่อมแซมจะได้รับการชดเชยเต็มวงเงินประกัน โดยสินทรัพย์นั้นจะเปลี่ยนมือเป็นของบริษัทประกัน
เช่นในกรณีประกันอัคคีภัย สมมติเป็นร้านค้า มีการประกันตัวตึกหนึ่งล้าน สินค้าหนึ่งล้าน เมื่อเกิดเพลิงไหม้ในอาคาร ตัวตึกเสียหายบางส่วน ส่วนสินค้าเสียหายมาก เพราะเจอน้ำดับเพลิงฉีด แต่เนื่องจากทำประกันน้อยเกินไป เช่นสินค้าทั้งหมดจริงๆ มูลค่าสองล้าน แต่เสียหายไปเกือบล้านบาท ถ้ายกสินค้าบางส่วนนั้นออกมาเพื่อเคลม ตีมูลค่าแล้วจะเคลม เก้าแสนบาท แบบนี้บริษัทประกันอาจจะเลือกเอาสินค้าทั้งหมด แล้วชดเชยเต็มวงเงินประกันคือหนึ่งล้านบาท แบบนี้คนทำประกันก็คงรับไม่ได้ เพราะที่เหลือมีมูลค่าเกินล้านบาท
สุดท้ายคงตัองยอมรับการชดเชยน้อยกว่านั้นมาก เพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นบ้าง
หรือในทางกลับกันถ้าทำประกันเกินมูลค่ามากๆ เช่นมีสินค้าล้านเดียว แต่ประกันไว้สามล้าน แบบนี้ถ้าไหม้หมดจนไม่เห็นซากอาจจะได้ตามนั้น แต่ถ้าไหม้บางส่วน ก็จะได้ชดเชยตามเสียหายจริงเท่านั้น
เมื่อมาเทียบกับกรณีรถยนต์ ปกติจะตีมูลค่าง่ายกว่า ดังนั้นจะไม่ค่อยทำประกันต่ำกว่ามูลค่า หรือสูงกว่ามูลค่ามากเกินไป การชดเชยเลยไม่ค่อยมีปัญหาทำนองนั้น
แต่พอมากรณีนี้ จริงๆ ถ้าเป็นเจ้าของรถเกิดอุบัติเหตุเอง รถพังแบบนี้ ประกันจ่ายชดเชยเต็มวงเงินห้าแสน มันก็จบ ที่เหลือเจ้าของรถก็รับผิดชอบไป
แต่เนื่องจากครั้งนี้ เป็นบุคคลอื่นนำรถไปเกิดอุบัติเหตุ จริงๆ ประกันก็รับผิดชอบเท่าเดิม ส่วนที่เหลือเจ้าของจะได้เพิ่มจากคนที่ทำเกิดเหตุ
แต่ครั้งนี้ที่ประกันชดเชยแบบนี้ จริงๆแล้ว ประกันก็จ่ายเพิ่มอีกแค่เก้าหมื่นบาท แล้วทุกอย่างก็ยังตามขั้นตอนที่ควรจะเป็นต่อไป
บริษัทประกันก็ทำหน้าที่ที่ต้องทำอยู่แล้วต่อไป
เจ้าของรถก็สามารถฟ้องร้องในส่วนคดีอาญากับคนนำรถไปใช้ได้เหมือนเดิม
แสดงความคิดเห็น
ขอบคุณ สินมั่นคงประกันภัย ที่ยินยอมเปลี่ยนรถใหม่ให้กับลูกค้า และขอให้ปรับปรุงบริการให้ดียิ่งขึ้นตลอดไปครับ
เนื่องจากเรื่องราวที่ จขกท. โพสไปเมื่อคืนวานนี้ ตอนนี้ทางประกันยินยอมที่จะเปลี่ยนรถคันใหม่ และชดใช้เต็มจำนวน 590000
ให้แก่เจ้าของรถเรียบร้อยแล้วครับ โดยเมื่อ 2 ทุ่มของวันที่ 8 มกราคม 2557 ทางประกันนำเอกสารมาให้ทางเจ้าของรถเซ็นเพื่อ
เปลี่ยนรถคันใหม่ให้กับทางเจ้าของรถ ที่ผมนำเรื่องนี้มานำเสนอเพราะอยากให้ บริษัทประกันภัยทุกบริษัทดูแลลูกค้าอย่างจริงใจ
และไม่เอารัดเอาเปรียบลูกค้า และแก้ไขการให้บริการอย่างจริงจัง แต่เคสนี้ผมขอบคุณทาง "สินมั่นคง" ด้วยใจจริง ที่เปลี่ยนรถ
ใหม่ให้กับทางลูกค้า แต่ขอฝากโดยเฉพาะอู่ซ่อมรถที่ไม่ได้มาตรฐานเอารถลูกค้าไปขับโดยไม่ได้รับอนุญาติจากทางเจ้าของรถ
โดยไม่มีเหตุจำเป็น ทางเจ้าของรถยังคงต้องฟ้องร้องทาง "อู่โอ๋เซอร์วิส ( สุราษธานี ) " เพราะสิ่งที่คุณทำอยู่คือ การไม่รับผิด
ชอบต่อลูกค้าทั้งที่เขายินยอมทุกอย่างแต่คุณไม่ทำตามข้อตกลงมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ และดึงเวลาในการชดใช้ค่าเสียหายมาเป็น
เวลานานทำให้ทางลูกค้าต้องเสียค่าใช้จ่าย ในการเดินทางเพื่อหารถมาทดแทนในการทำกิจการของร้าน ได้ขาดทุนหนักตลอด
หลายเดือนที่ผ่านมา ไม่มีรถวิ่งซื้อของเพื่อเปิดร้าน และขอขอบคุณ "เพื่อนๆชาวพันทิพ" และ "เพื่อนๆใน Facebook" ทุกคน
หากไม่ได้เพื่อนๆเหตุการณ์ดีๆแบบนี้อาจไม่เกิดขึ้นครับ
นี่เป็นเอกสารที่ทาง สินมั่นคงประกันภัย นำมาให้ทางเจ้าของรถเซ็นเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมาครับ
หากมีอะไรเพิ่มเติมจะ Update ให้เพื่อนๆชาว Pantip ทราบอีกครั้งครับ
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ