[บทความพิเศษ] นี่แหละ “โฉมหน้าจริง” ของ “ท่องเที่ยวไทย” รับกันได้หรือไม่?

[บทความพิเศษ] นี่แหละ “โฉมหน้าจริง” ของ “ท่องเที่ยวไทย” รับกันได้หรือไม่?
.
.
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook : TonyMao Nk
.
ว่าจะเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนเกิดกรณีฆาตกรรม 2 นักท่องเที่ยวชาวตะวันตกบนเกาะเต่า จากนั้นภาครัฐได้เข้ามาจัดระเบียบด้วยการยกเลิก “สารพัดมูนปาร์ตี้” เว้นไว้แต่เฉพาะ “ฟูลมูน” ( Full Moon Party ) บนเกาะพะงันเท่านั้น แต่ด้วยความไม่ค่อยว่าง พร้อมๆ กับกระแสสังคมในช่วงเวลาดังกล่าว พุ่งไปที่เรื่องของการหาตัวฆาตกร ตามด้วยเรื่องแพะหรือไม่แพะของตำรวจและ 2 แรงงานเมียนมาร์ ประเด็นเรื่องยกเลิกสารพัดมูนปาร์ตี้จึงเงียบไป
.
แล้วอะไรทำให้ผมมาเขียนตอนนี้ ก็เหตุกรณีมีพวกคะนองไม่เข้าเรื่องสักคนหนึ่ง ไปปล่อยโคมลอยในพื้นที่ใกล้สนามบินเมื่อช่วงส่งท้ายปีเก่าตอนรับปีใหม่ จนโคมลอยเข้าไปติดในใบพัดเครื่องยนต์ของเครื่องบิน เคราะห์ดีที่ไม่ทำให้เครื่องตกหรือระเบิด จากนั้นก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมาก โดยเฉพาะจากบรรดา “คนดีมีอารยะ” ทั้งหลายที่บ่นมานาน ว่าอยากให้เลิกการปล่อยโคมลอยเสีย
.
ราวกับโคมลอยเป็นยาเสพติด..ไม่ก็อาวุธสงครามร้ายแรงยังไงยังงั้น!!!
.
จริงๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และไม่ใช่แค่การปล่อยโคมลอยเท่านั้น หากใครที่ติดตามกระแสบนโลกออนไลน์บ่อยๆ เว็บบอร์ดยอดนิยมบางแห่ง ที่เป็นแหล่งรวมของบรรดา “ผู้ดีสูงส่ง ผู้ทรงศีล คนใฝ่ธรรม” ( คิดว่านะ..ก็เขาว่างั้นอะครับ ) มักจะไม่ค่อยพอใจเทศกาลต่างๆ ของไทย ที่มีการเฉลิมฉลองกันสุดเหวี่ยง เช่น วันสงกรานต์ ที่เต็มไปด้วยการนำถังน้ำขึ้นยานพาหนะ ตระเวนสาดกันไปตามถนน การที่คนทุกเพศ ทั้งชาย หญิง หรือเพศที่ 3 ออกมาเต้นประกอบเพลงที่เปิดจากเครื่องเสียงดังๆ ริมถนน ด้วยท่าทางที่ยั่วยวนกามารมณ์ การแต่งตัวประหลาดๆ หลุดโลกออกมาโชว์ หรือการนำมอเตอร์ไซค์ออกมาขับช้าๆ แต่บิดคันเร่งให้เกิดเสียงดังๆ ฯลฯ ( ผู้สนใจสามารถไปอ่านได้ที่กระทู้นี้ครับ http://ppantip.com/topic/31912456 หรือค้นหาด้วยหัวข้อ - รับได้ไหม? กับแนวคิดที่ว่า “เทศกาลสงกรานต์” คือ “การเย้ยวินัย” และเป็นเรื่องของ “พาลนักษัตร” )
.
หรือเทศกาลอื่นๆ เช่น “วันปีใหม่” ที่คนกลุ่มนี้จะรำคาญกันเหลือเกินกับการเปิดเพลงดังๆ ร้องคาราโอเกะโชว์พลังเสียง ดื่มเหล้าสังสรรค์ตั้งแต่เย็นก่อนวันหยุดวันแรก จนถึงเช้าของวันหยุดวันสุดท้ายของเทศกาล , “ลอยกระทง” ที่คนกลุ่มนี้มักจะบอกว่า การลอยกระทงคือการทำให้น้ำเน่าเสีย แม้จะใช้กระทงจากวัสดุธรรมชาติก็ตาม หรือการจุดพลุเฉลิมฉลอง แน่นอนรวมถึงการปล่อยโคมลอยด้วย , “บุญบั้งไฟ” คนกลุ่มนี้อีกที่มักออกมาบอกว่า เป็นอันตรายหากบั้งไฟไปตกที่อื่น แม้จะไม่สามารถยิงถึงเครื่องบินได้ก็ตาม แถมยังเป็นประเพณีการพนันอีกด้วย , “ฟูลมูนปาร์ตี้” ก็คนกลุ่มนี้อีกที่มักออกมาบอกว่า เป็นประเพณีมั่วสุม ทั้งสุรา ยาเสพติด เซ็กส์ และการทะเลาะวิวาท ยังไม่นับพวกกิจกรรมยิบๆ ย่อยๆ เช่น ร้านค้าแผงลอย ร่มเตียงชายหาด หรือที่คลาสสิกกับการที่บอกว่าเมืองไทยเมืองพุทธ แต่เหล้าเบียร์และบริการทางเพศหาซื้อได้ง่ายมาก
.
คนกลุ่มนี้มักจะบอกว่า..ไม่อยากให้ลูกหลานของตนได้ซึมซับ “บรรยากาศเลวร้าย-พฤติกรรมชั้นต่ำ” เช่นนี้ บางคนบอกว่ายอมลงทุนหน่อย พักโรงแรม 5 ดาวมันเลย บ้างก็พาครอบครัวไปชนบทที่ห่างไกลผู้ไกลคน ไม่ก็พากันอพยพไปต่างประเทศช่วงเทศกาลกันเลย ราวกับว่าประเทศไทยเป็นแดนมิคสัญญีสำหรับพวกเขา พร้อมกับร้องโวยวายกันว่า “เมื่อไหร่ประเทศไทยจะสงบ ปลอดจากเทศกาลบ้าๆ พวกนี้เสียที” บนโลกออนไลน์
.
น่าเสียดายที่ผมจะต้องตอบคนกลุ่มนี้ว่า “ย้ายตัวเองออกไปจากประเทศนี้ ไม่ก็จงทำตัวกลมกลืน” คงจะง่ายกว่า!!!
.
เพราะเบื้องหลังเทศกาลเหล่านี้..คือเรื่องของ “ผลประโยชน์มหาศาล”!!!
.
แถมเป็นผลประโยชน์ที่กระจายไปสู่มือคนที่หลากหลายกลุ่ม และหลากหลายระดับชนชั้นเสียด้วย!!!
.
ผมไม่ทราบนะครับว่าบรรดาผู้ดีมีศีลใฝ่ธรรม จะรู้กันหรือเปล่าว่า “ภาคการท่องเที่ยว” ทำรายได้ให้ประเทศไทยปีต่อปี เกือบจะเทียบเท่าภาคอุตสาหกรรมเลยทีเดียว ก่อนอื่นผมคงต้องย้ำอีกรอบ ว่า “ประเทศไทยมิใช่ประเทศเกษตรกรรมอีกต่อไปแล้ว” ดังตัวเลขสัดส่วน GDP ของธนาคารแห่งประเทศไทย ( แบงก์ชาติ ) ระบุว่า ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วน GDP มากที่สุด ร้อยละ 38.1 มีแรงงานอยู่ในภาคนี้ ร้อยละ 13.8 รองลงมา คือบริการอื่นๆ มีสัดส่วน GDP ถึงร้อยละ 25.7 มีแรงงานอยู่ในภาคนี้ ร้อยละ 22.5 ขณะที่ภาคเกษตรกรรมที่หลายคนเชื่อว่าเป็นหัวใจของประเทศไทย มีสัดส่วน GDP เพียงร้อยละ 8.3 เท่านั้น แต่มีแรงงานอยู่ในภาคนี้ถึงร้อยละ 39.1 [1]
.
แปลง่ายๆ ก็คือภาคเกษตรกรรม มีคนทำงานเยอะ แต่ได้มูลค่าของงานน้อย ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม มีคนทำงานน้อยกว่า แต่ได้มูลค่างานมากกว่า ขณะที่ภาคบริการ จำนวนแรงงานกับมูลค่าของงานที่ได้ถือว่าใกล้เคียงกัน ถึงตรงนี้คนมีผู้อ่านบางท่านสงสัยว่า ภาคบริการในนิยามของแบงก์ชาติ มันรวมทั้งภาคการเงิน การศึกษา โรงแรมและภัตตาคาร ด้วยมิใช่หรือ? [2] ก็ใช่ครับ ถ้างั้นผมขอตอบแบบกำปั้นทุบดินเลยว่า..ต่อให้ผมจับตัวเลขนี้หารสอง ภาคการท่องเที่ยวก็ยังมีรายได้สูงอยู่ดี ในสัดส่วน GDP จะอยู่ที่ 12.85 ขณะที่แรงงานในภาคนี้ จะอยู่ที่ร้อยละ 11.25 เป็นรองมากขึ้นก็เพียงการค้าปลีก-ค้าส่ง ( ซึ่งเอาจริงๆ ก็ยังผูกติดกับการท่องเที่ยว ) หรือลงไปอยู่ที่อันดับ 3 ของ GDP ประเทศเท่านั้น ซึ่งก็ยังยังไม่ใช่อันดับสุดท้าย ที่สำคัญก็ยังสูงกว่าภาคเกษตรกรรมเช่นเดิม
.
แต่ตอบแบบนี้มันคงง่ายไปหน่อย มาดูเม็ดเงินรายได้จากการท่องเที่ยวกันดีกว่า ข้อมูลจากแบงก์ชาติอีกเช่นกัน ระบุว่า 3 ปีล่าสุด ( 2554-2556 ) จำนวนนักท่องเที่ยวยังคงเพิ่มสูงขึ้น ล่าสุดในปี 2556 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มสูงถึง 26.7 ล้านคน [3] ขณะที่ข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ( ททท. ) ระบุว่า ปี 2556 เพียงปีเดียว ภาคการท่องเที่ยว ทำรายได้ให้กับประเทศไทย สูงถึง 1.167 ล้านล้านบาท [4] และแม้ว่าปี 2557 จำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลง เช่น ข้อมูลจากศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ( DPURC ) พบว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2557 ลดลงมาอยู่ที่ 22.5 ล้านคน [5] แต่เม็ดเงินในวงการนี้ก็ยังมหาศาลอยู่ดี เช่น การเปิดเผยของผู้ว่าฯ ททท. ที่บอกว่า ตลอดปี 2557 การท่องเที่ยวทำรายได้ให้ประเทศไทยราว 1.85 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงถึง 1.15 ล้านล้านบาท [6] หรือการคาดการณ์ของผู้นำกลุ่มนักธุรกิจภาคการท่องเที่ยว ที่ระบุว่าปี 2557 ภาคการท่องเที่ยวจะทำรายได้ให้ประเทศไทยถึง 1.14 ล้านบาท [7]
.
เป็นตัวเลขที่สูงใช่ไหม?..นี่แหละครับความภาคภูมิใจของคนไทยจริงๆ!!!

( มีต่อยาวๆ อย่างเพิ่งปาดนะครับ )
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 20
ผมแปลกใจกับตรรกะของ จขกท. นิดๆนะครับ ในเชิงเรื่อง เสียงดังตอนเทศกาล+กระบะบรรทุกถังน้ำจอดตามซอยถนนแล้วสาดน้ำกัน = รายได้มหา

ศาลจากการท่องเที่ยวไทย คืออยากให้เปลี่ยนแนวคิดสักนิดว่า นิวซีแลนด์ ก็มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงในเชิงเอาพวกชาวเมารี ชนพื้นเมืองมาเต้น

ระบำ, เยอรมันมีเทศกาลเบียร์ ซึ่งจัดไว้ในโซนเทศกาล ไม่ปนกับแหล่งที่อยู่อาศัยปกติ , เกาหลี ญี่ปุ่น ทุกที่ขายสิ่งที่เราเรียกว่า Story ทำ

ละครซีรีส์ขึ้นมาแล้วถ่ายในสถานที่กำหนดไว้ จากนั้นก็ชักจูงให้ นทท.จาก ตปท.มาเที่ยวเสพเรื่องราวกัน แต่ทุกที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเพลงดังรบกวน

ชาวบ้านปกติ และไม่จำเป็นต้องมียาเสพติดด้วย เราควรก้าวเลยระดับ ขายนาผืนน้อย เหล้า เบียร์ เปิดเพลงดัง ทำอะไรที่บ้านเขาทำไม่ได้

แล้วต้องมาระบายความอัดอั้นตันใจที่บ้านเราแทน แต่หันมาพัฒนา Story ผูกเรื่องราวตำนานสถานที่ต่างๆเช่น ประสาทหินพนมรุ้ง เป็นต้นแบบของ

นครวัด นครธม ก็ควรโคกับกัมพูชา โดยให้ไทยเป็น Hub ของวัฒนธรรม พา นทท.มาดูต้นแบบก่อน แล้วไปต่อเขาพระวิหารแล้วค่อยไป นครวัด

ผมอยากแนะนำให้คุณพัฒนาแนวคิด ขาย Concept ขาย Story มากกกว่าจะมองเรื่องพื้นๆ ชวนให้คนมากินเหล้าตามริมถนนช่วงสงกรานต์น่ะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่