สวัสดีค่ะ พอดีว่าได้มีโอกาสไปเที่ยวรอบกรุงมาก็เลยขอมาแชร์ประสบการณ์หน่อย
ตอนแรกว่าจะเขียนเป็นรีวิวสถานที่เที่ยวธรรมดา แต่พอเจอความแอดเวนเจอร์ระหว่างทริปเล็กๆนี้
ก็เลยตัดสินใจว่าจะไม่รีวิวแล้ว แต่จะมาเล่าให้ฟังเฉยๆแทน
เรื่องมันเริ่มขึ้นตอนดึกๆในคืนคืนหนึ่งค่ะ เรากับเพื่อนสนิทนั่งๆนอนๆคุยกันว่าพรุ่งนี้จะไปเที่ยวไหนกันดี
เพราะไม่มีเรียนกันทั้งคู่ เอาแบบที่ใกล้ๆเป็นทริปถ่ายรูปเล็กๆไปก่อนแล้วกัน
เราก็เลยเสนอไปว่า เนี่ย ไม่กี่เดือนก่อนเคยไปที่ที่นึงมา เป็นสองพิพิธภัณฑ์ในที่เดียว
(ไม่ทราบว่าคควรจะเอ่ยชื่อดีไหม แต่คิดว่าทุกคนน่าจะรู้จักนะคะ)
คราวนั้นเราซื้อตั๋วเข้าแค่พิพิธภัณฑ์แรกเท่านั้นเพราะไปถึงก็บ่ายแล้ว คราวนี้เลยชวนกันไปเข้าทั้งสอง
ตกลงกันได้ตอนตีสาม ตื่นมาก็นั่งรถเมล์แล้วต่อเรือข้ามฟากไปทันทีตั้งแต่สิบโมงช้า
พิพิธภัณฑ์แรกผ่านไปด้วยดี เราก็ยังประทับใจเหมือนครั้งแรกที่ได้มา ด้วยความที่ตอนนั้นที่นี่ยังเปิดได้ไม่นาน
ข้างในจึงยังใหม่มาก คนก็ไม่เยอะด้วย ไม่แออัด มีเวลาชมในสิ่งที่ต้องการได้เต็มที่
เรานี่ก็แทบจะเป็นไกด์ให้เพพื่อนได้เลยเพราะตัวเองรู้เรื่องหมดแล้ว 55
ต่อมาที่พิพิธภัณฑ์ที่สอง เราเดินขึ้นไปที่ตึกอีกตึกหนึ่ง ตัวตึกค่อนข้างเก่านะคะ
คล้ายๆกับในโรงพยาบาลทั่วไป ห้องแรกที่เข้าคือห้องเกี่ยวกับเชื้อโรคและทารก
ก็จะมีการจัดแสดงเชื้อต่างๆในจานเพาะ มีทารกที่เกิดความผิดปกติต่างๆและเสียชีวิต
ห้องนี้ก็ยังเบาๆ มีแอบเกาะเพื่อนนิดหน่อยแต่ก็ยังพอแยกกันเดินได้ 555
หลังจากที่ออกจากห้องแรกมาแล้วเราจะเจอทางแยกไปสองทาง เพื่อนเราเลือกทางขวาซึ่งเกี่ยวกับพยาธิวิทยา
แต่ตอนนั้นอะไรไม่รู้ทำให้เราบอกเพื่อนไปว่า เข้าห้องทางซ้ายนี่ก่อนสิ ทั้งที่ยังไม่ได้อ่านป้ายว่าเป็นห้องอะไร
ออกมาอ่านใหม่ถึงได้รู้ว่ามันเป็นห้องนิติเวช...
ต้องบอกก่อนว่าส่วนตัวแล้วเราเป็นคนจิตอ่อน ขี้สงสาร พีคง่าย ดาวน์ง่ายอะไรประมาณนั้น แล้วก็พอมีเซนส์บ้าง
ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในห้องนี้ความรู้สึกมันเย็นเยียบไปหมด ด้านขวามือเป็นบอร์ดรูปภาพ
และสาเหตุการณ์เสียชีวิตแบบผิดปกติ เรากลัวมาก ปกติแค่เห็นรูปตามหนังสือพิมพ์ยังไม่อยากจะดู
แต่นี่มาแบบไม่เซ็นเซอร์ เกาะเพื่อนไปตลอดทาง ปิดตานะ แต่ก็บังคับให้ดพื่อนอ่านให้ฟังว่านี่คืออะไร
แต่ละอันเป็นแบบไหน บรรยายมาด้วย555 (โรคจิตเบาๆ) ยังจำได้อยู่เลยอันนึงที่เป็นเครื่องบดข้าวโพด
เพื่อนบอกว่าเมล็ดข้าวโพดนี่ยังติดอยู่เลย TT
ด้านซ้ายมือเป็นทางไปห้องอะไรไม่รู้ ตรงเข้าไปก็จะมีการจัดแสดงชิ้นส่วน
ส่วนมากจะเป็นของศพที่มีการเสียชีวิตแบบไม่ปกติ อย่างคดีแปลกๆดังๆที่เราเคยได้ยินกัน
(ก็นี่มันคือห้องนิติเวชนี่นา) มีแบบ..ศพขาดครึ่งตัวจากการฆ่าหั่นศพ
แล้วก็พวกอวัยวะที่เสียหายจากอุบัติเหตุและการฆาตกรรม เราเดินดูไปด้วยความรู้สึกแปลกๆในใจ
ร้องงื้อๆไปตลอด พยายามอยู่ใกล้เพื่อนเข้าไว้ 555 แต่พยายามคุยกลบเกลื่อนไม่ให้บรรยากาศมันเงียบเกินไป
ตอนนั้นก็ใกล้จะเย็นแล้ว แสงแดดสีส้มส่องเข้ามารู้สึกทั้งวังเวง ทั้งหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
ก็เลยว่าจะกลับกันแล้ว เดินย้อนกลับมาออกทางเดิมตรงบอร์ดรูปสาเหตุการตายแปลกๆอีกครั้ง
เจอคุณลุงที่เป็นคนดูแลที่นี่คนหนึ่งกำลังเช็ดทำความสะอาดรูปพวกนั้น
คุณลุงเห็นเราปิดตาแล้วทำหน้าแหยๆก็เลยหัวเราะ เรากับเพื่อนถามคุณลุงว่าไม่กลัวเหรอคะ?
คำตอบที่ได้กลับมาคือ "ไม่กลัวหรอก ทำมาตั้งสี่ปี่แล้ว ตอนแรกๆก็กลัว เพราะห้องนั้นน่ะ
(ชี้ไปที่ห้องทางซ้ายมือตอนแรกที่เราบอกไว้) เขาชอบมาเคาะประตูมาเลื่อนประตูเล่น"
พอได้ยินเรากับเพื่อนก็มองหน้ากัน คุณลุงอธิบายเพิ่มว่าห้องนั้นเป็นห้องที่ใช้ดองทารกในห้องแรก
แล้วก็ชิ้นส่วนบางชิ้นก่อนที่จะเอามาจัดแสดงในห้องนี้
ส่วนที่จะเล่าต่อไปมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราเองนะคะ
ขออนุญาตใส่สปอยล์ไว้เพราะควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน ถ้าใครไม่อยากอ่านก็ข้ามจุดนี้ไปได้ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จุดพีคมันอยู่ตรงที่ตอนนั้นเรารู้สึกดาวน์มาก คือตั้งแต่เข้ามาก็พอจะรู้แหละว่าตัวเองจิตตก
แล้วมันก็สะสมมาเรื่อยๆ เรารู้สึกหดหู่และอึดอัดมาก มันเหมือนกับมีอะไรพยายามมารบกวน
อึดอัดเหมือนมีคนอยู่รอบๆประมาณเกือบสิบคนได้แล้วมองมาด้วยสายตากดดัน
ทั้งที่ตรงนั้นมีเรา เพื่อน และคุณลุงแค่สามคน จนต้องยืนนิ่งๆตั้งสติแล้วบอกกับตัวเองว่า
ไม่ได้นะ ถ้าปล่อยให้ตัวเองจิตตกหรือดาวน์ไปมากกว่านี้ "เขาต้องมาแน่ๆ"
เราไม่รู้เหมือนกันว่าเขาที่ตัวเองหมายถึงนี่เขาไหน ตอนนั้นๆจู่ก็พูดกับตัวเองแบบนั้น
คล้ายๆกับพลั้งปากออกมาเบาๆน่ะค่ะ พยายามประคองสติตัวเองไว้แล้วเดินออกจากห้องมา
เราไปต่อกันที่ห้องพยาธิวิทยาซึ่งเป็นห้องสุดท้าย แต่เชื่อไหมว่าสื่งที่จัดแสดงในห้องนั้นไม่ได้เข้าหัวเราเลย
อยู่ดีๆภาพมันก็แว๊บขึ้นมาในตัว เป็นตอนที่เรากำลังอยู่ในห้องนิติเวชนั้น
กำลังยืนบอกกับตัวเองว่าอย่าดาวน์ไปมากกว่านี้นะ ไม่งั้นเขามาแน่ ความรู้สึกเหมือนเดิมทุกอย่าง
เหมือนไปยืนอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง แต่ที่น่าตกใจมากก็คือ เราไม่ได้ยืนกันอยู่สามคน
แต่มีคนที่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้ามาด้วย เขามาเป็นแบบตัวแห้งๆหนังหุ้มกระดูก ผิวหนังสีน้ำตาลเข้ม
เหมือนอยู่มานาน กำลังคลานเข้ามาหาเราซึ่งยืนอยู่ตรงกลาง เขามาใกล้มากค่ะ ใกล้จะถึงตัวอยู่แล้ว
แต่โชคดีที่เราตั้งสติดึงจิตตัวเองมาได้ก่อนตอนนั้นก็เลยไม่เกิดอะไรขึ้น
จนตอนนี้เรายังคาใจอยู่เลยว่าถ้าตอนนั้นเราดาวน์มากจนกู่ไม่กลับ ป่านนี้ตัวเองจะเป็นยังไง
จะมีใครตามมาด้วยหรือดีไม่ดีเขาจะเข้ามาในตัวเราเลยหรือเปล่า?
พอเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้เลยค่ะว่าอยู่ไม่ได้อีกต่อไป 55 ขวนเพื่อนกลับกันเหอะ มีเรื่องจะบอกแหละ
แต่พ้นออกไปจากที่นี่ก่อนนะแล้วจะเล่าให้ฟัง สุดท้ายก็ได้กลับไปเล่าที่หอ
ความรู้สึกมันยังติดมาจนถึงตอนนั้น ภาพทุกอย่างชัดเจนให้เล่ากี่ทีก็เหมือนเดิมเพราะฝังใจมาก
ช่วงนั้นตะวันตกดินเมื่อไหร่เราจะออกอาการทันที ระแวง นอนไม่หลับไปหนึงอาทิตย์เต็มๆ
ได้นอนจริงๆน้อยมากคือตอนที่พระอาทิตย์ทอแสงลอดเข้ามาทางหน้าต่างแล้วถึงข่มตาหลับได้
ความรู้สึกทุกอย่างมันชัดอยู่ในหัว เพื่อนต้องคอยปลอบ จะนอนก็จับมือมันนอน 555
พยายามหมั่นทำบุญ ก่อนนอนก็สวดมนต์อุทิศส่วนกุศล อาทิตย์นึงถึงดีขึ้น
แต่ภาพพวกนั้นไม่เคยหายไปไหนนะคะ เรายังจำได้ดี เหมือนมันฝังเป็นเมมโมรีนึงในหัวไปแล้ว
เพียงแค่ไม่กลัวเท่าเดิม(แต่นึกถึงที่ไรก็เสียวสันหลังวาบ) เคยเล่าให้เพื่อนอีกคนฟัง
เล่าๆอยู่รู้สึกวูบกันขึ้นมาทั้งสองคน ขนลุกเกรียว วงแตกเลย 55 ของเขาแรงจริงๆ
เคยอยากเป็นหมอนะคะ เพราะขี้สงสาร ชอบช่วยคน แต่พอมาเจออย่างนี้แล้วรู้เลยว่าเป็นไม่ได้
เราใจไม่แข็งพอ คิดดีแล้วที่เลือกเรียนทางสายอื่น นี่ก็เป็นประสบการณ์แปลกๆที่มาเล่าให้ฟัง
เป้นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆและคงไม่มีวันลืมแน่นอน จนวันนี้เราก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร
ไม่รู้ว่าที่เขามามาดีหรือร้าย ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร ที่ทำได้ก็เพียงทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
ถ้าใครมีโอกาสได้ไปที่นั่น นอกจากจะไปเพื่อศึกษาหาความรู้หรือเพื่อความประทับใจอะไรต่างๆแล้ว
ถ้าไปเหลือบ่ากว่าแรงอะไรก็ช่วยทำบุญไปให้พวกเขาและคนอื่นๆบ้างก็ได้นะคะ บางคนอาจจะไม่มีญาติ
เขาก็ไม่รู้จะได้รับจากใคร เราไม่รู้หรอกว่าเราสามรถช่วยเขาได้แค่ไหน แต่จากที่เราไปมา
เราสัมผัสได้ว่าไม่มีใครในนั้นที่มีความสุขกับการจากไปแบบโหดร้าย ไม่มีแม้แต่คำร่ำลา
เราไม่ได้มาเล่าเพื่อให้กลัวจนไม่กล้าไปนะคะ แล้วก็ไม่ได้เล่าเพื่อให้ไปแบบลบหลู่อยากเจออยากลอง
แต่นี่เป็นอีกพิพิธภัณฑ์ที่ดี เนื้อหาสาระความรู้เยอะมาก หวังว่าทุกคนที่ไปจะเก็บเกี่ยวความประทับใจ
และข้อคิดดีๆกลับมาได้ไม่มากก็น้อยนะคะ ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้
ใครมีความเห็นอะไรหรืออยากแชร์ประสบการณ์บ้างก็เชิญได้เลยค่ะ ยินดีรับฟัง : ))
พิพิธภัณฑ์นิติเวช : ประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม
ตอนแรกว่าจะเขียนเป็นรีวิวสถานที่เที่ยวธรรมดา แต่พอเจอความแอดเวนเจอร์ระหว่างทริปเล็กๆนี้
ก็เลยตัดสินใจว่าจะไม่รีวิวแล้ว แต่จะมาเล่าให้ฟังเฉยๆแทน
เรื่องมันเริ่มขึ้นตอนดึกๆในคืนคืนหนึ่งค่ะ เรากับเพื่อนสนิทนั่งๆนอนๆคุยกันว่าพรุ่งนี้จะไปเที่ยวไหนกันดี
เพราะไม่มีเรียนกันทั้งคู่ เอาแบบที่ใกล้ๆเป็นทริปถ่ายรูปเล็กๆไปก่อนแล้วกัน
เราก็เลยเสนอไปว่า เนี่ย ไม่กี่เดือนก่อนเคยไปที่ที่นึงมา เป็นสองพิพิธภัณฑ์ในที่เดียว
(ไม่ทราบว่าคควรจะเอ่ยชื่อดีไหม แต่คิดว่าทุกคนน่าจะรู้จักนะคะ)
คราวนั้นเราซื้อตั๋วเข้าแค่พิพิธภัณฑ์แรกเท่านั้นเพราะไปถึงก็บ่ายแล้ว คราวนี้เลยชวนกันไปเข้าทั้งสอง
ตกลงกันได้ตอนตีสาม ตื่นมาก็นั่งรถเมล์แล้วต่อเรือข้ามฟากไปทันทีตั้งแต่สิบโมงช้า
พิพิธภัณฑ์แรกผ่านไปด้วยดี เราก็ยังประทับใจเหมือนครั้งแรกที่ได้มา ด้วยความที่ตอนนั้นที่นี่ยังเปิดได้ไม่นาน
ข้างในจึงยังใหม่มาก คนก็ไม่เยอะด้วย ไม่แออัด มีเวลาชมในสิ่งที่ต้องการได้เต็มที่
เรานี่ก็แทบจะเป็นไกด์ให้เพพื่อนได้เลยเพราะตัวเองรู้เรื่องหมดแล้ว 55
ต่อมาที่พิพิธภัณฑ์ที่สอง เราเดินขึ้นไปที่ตึกอีกตึกหนึ่ง ตัวตึกค่อนข้างเก่านะคะ
คล้ายๆกับในโรงพยาบาลทั่วไป ห้องแรกที่เข้าคือห้องเกี่ยวกับเชื้อโรคและทารก
ก็จะมีการจัดแสดงเชื้อต่างๆในจานเพาะ มีทารกที่เกิดความผิดปกติต่างๆและเสียชีวิต
ห้องนี้ก็ยังเบาๆ มีแอบเกาะเพื่อนนิดหน่อยแต่ก็ยังพอแยกกันเดินได้ 555
หลังจากที่ออกจากห้องแรกมาแล้วเราจะเจอทางแยกไปสองทาง เพื่อนเราเลือกทางขวาซึ่งเกี่ยวกับพยาธิวิทยา
แต่ตอนนั้นอะไรไม่รู้ทำให้เราบอกเพื่อนไปว่า เข้าห้องทางซ้ายนี่ก่อนสิ ทั้งที่ยังไม่ได้อ่านป้ายว่าเป็นห้องอะไร
ออกมาอ่านใหม่ถึงได้รู้ว่ามันเป็นห้องนิติเวช...
ต้องบอกก่อนว่าส่วนตัวแล้วเราเป็นคนจิตอ่อน ขี้สงสาร พีคง่าย ดาวน์ง่ายอะไรประมาณนั้น แล้วก็พอมีเซนส์บ้าง
ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในห้องนี้ความรู้สึกมันเย็นเยียบไปหมด ด้านขวามือเป็นบอร์ดรูปภาพ
และสาเหตุการณ์เสียชีวิตแบบผิดปกติ เรากลัวมาก ปกติแค่เห็นรูปตามหนังสือพิมพ์ยังไม่อยากจะดู
แต่นี่มาแบบไม่เซ็นเซอร์ เกาะเพื่อนไปตลอดทาง ปิดตานะ แต่ก็บังคับให้ดพื่อนอ่านให้ฟังว่านี่คืออะไร
แต่ละอันเป็นแบบไหน บรรยายมาด้วย555 (โรคจิตเบาๆ) ยังจำได้อยู่เลยอันนึงที่เป็นเครื่องบดข้าวโพด
เพื่อนบอกว่าเมล็ดข้าวโพดนี่ยังติดอยู่เลย TT
ด้านซ้ายมือเป็นทางไปห้องอะไรไม่รู้ ตรงเข้าไปก็จะมีการจัดแสดงชิ้นส่วน
ส่วนมากจะเป็นของศพที่มีการเสียชีวิตแบบไม่ปกติ อย่างคดีแปลกๆดังๆที่เราเคยได้ยินกัน
(ก็นี่มันคือห้องนิติเวชนี่นา) มีแบบ..ศพขาดครึ่งตัวจากการฆ่าหั่นศพ
แล้วก็พวกอวัยวะที่เสียหายจากอุบัติเหตุและการฆาตกรรม เราเดินดูไปด้วยความรู้สึกแปลกๆในใจ
ร้องงื้อๆไปตลอด พยายามอยู่ใกล้เพื่อนเข้าไว้ 555 แต่พยายามคุยกลบเกลื่อนไม่ให้บรรยากาศมันเงียบเกินไป
ตอนนั้นก็ใกล้จะเย็นแล้ว แสงแดดสีส้มส่องเข้ามารู้สึกทั้งวังเวง ทั้งหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
ก็เลยว่าจะกลับกันแล้ว เดินย้อนกลับมาออกทางเดิมตรงบอร์ดรูปสาเหตุการตายแปลกๆอีกครั้ง
เจอคุณลุงที่เป็นคนดูแลที่นี่คนหนึ่งกำลังเช็ดทำความสะอาดรูปพวกนั้น
คุณลุงเห็นเราปิดตาแล้วทำหน้าแหยๆก็เลยหัวเราะ เรากับเพื่อนถามคุณลุงว่าไม่กลัวเหรอคะ?
คำตอบที่ได้กลับมาคือ "ไม่กลัวหรอก ทำมาตั้งสี่ปี่แล้ว ตอนแรกๆก็กลัว เพราะห้องนั้นน่ะ
(ชี้ไปที่ห้องทางซ้ายมือตอนแรกที่เราบอกไว้) เขาชอบมาเคาะประตูมาเลื่อนประตูเล่น"
พอได้ยินเรากับเพื่อนก็มองหน้ากัน คุณลุงอธิบายเพิ่มว่าห้องนั้นเป็นห้องที่ใช้ดองทารกในห้องแรก
แล้วก็ชิ้นส่วนบางชิ้นก่อนที่จะเอามาจัดแสดงในห้องนี้
ส่วนที่จะเล่าต่อไปมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราเองนะคะ
ขออนุญาตใส่สปอยล์ไว้เพราะควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน ถ้าใครไม่อยากอ่านก็ข้ามจุดนี้ไปได้ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เคยอยากเป็นหมอนะคะ เพราะขี้สงสาร ชอบช่วยคน แต่พอมาเจออย่างนี้แล้วรู้เลยว่าเป็นไม่ได้
เราใจไม่แข็งพอ คิดดีแล้วที่เลือกเรียนทางสายอื่น นี่ก็เป็นประสบการณ์แปลกๆที่มาเล่าให้ฟัง
เป้นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆและคงไม่มีวันลืมแน่นอน จนวันนี้เราก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร
ไม่รู้ว่าที่เขามามาดีหรือร้าย ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร ที่ทำได้ก็เพียงทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
ถ้าใครมีโอกาสได้ไปที่นั่น นอกจากจะไปเพื่อศึกษาหาความรู้หรือเพื่อความประทับใจอะไรต่างๆแล้ว
ถ้าไปเหลือบ่ากว่าแรงอะไรก็ช่วยทำบุญไปให้พวกเขาและคนอื่นๆบ้างก็ได้นะคะ บางคนอาจจะไม่มีญาติ
เขาก็ไม่รู้จะได้รับจากใคร เราไม่รู้หรอกว่าเราสามรถช่วยเขาได้แค่ไหน แต่จากที่เราไปมา
เราสัมผัสได้ว่าไม่มีใครในนั้นที่มีความสุขกับการจากไปแบบโหดร้าย ไม่มีแม้แต่คำร่ำลา
เราไม่ได้มาเล่าเพื่อให้กลัวจนไม่กล้าไปนะคะ แล้วก็ไม่ได้เล่าเพื่อให้ไปแบบลบหลู่อยากเจออยากลอง
แต่นี่เป็นอีกพิพิธภัณฑ์ที่ดี เนื้อหาสาระความรู้เยอะมาก หวังว่าทุกคนที่ไปจะเก็บเกี่ยวความประทับใจ
และข้อคิดดีๆกลับมาได้ไม่มากก็น้อยนะคะ ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้
ใครมีความเห็นอะไรหรืออยากแชร์ประสบการณ์บ้างก็เชิญได้เลยค่ะ ยินดีรับฟัง : ))