เมื่อผมเกือบถูกจับ ที่กรุงวาติกัน
สวัสดีครับ เพื่อนๆ พี่ วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์อันน่าตื่นเต้น (ที่เกือบทำให้ผมหัวใจแทบวาย)
โดยผมก็ได้ใช้เวลาพอสมควรในการตัดสินใจนำเรื่องนี้มาเล่า เพราะตลกในความโง่ของตัวเอง
กับประสบการณ์ที่เกือบจะทำให้ผมได้สร้างชื่อเสียงให้กับ ประเทศไทย ในการเป็นคนไทยคนแรก
ที่อาจจะถูกเนรเทศหรือหนักไปกว่านั้น จับเข้าคุกดำไปถูกเฆี่ยน อยู่ภายใต้นครรัฐวาติกัน
สถานที่ในฝันของใครหลายๆคนนั้นเอง
ก่อนอื่นก็ขอบอกก่อนนะครับว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเมื่อ 1 ปี ที่แล้ว ช่วงเดือน ธันวาคม 2556
เวลาประมาณนี้แหละครับ เป็นการไปเที่ยวอิตาลีสามคน คุณแม่ คุณน้า ผม โดยมีผมเป็นคนวางแผนการท่องเที่ยวทั้งหมด ทั้งการเดินทาง ที่พักก็มีคุณป้าที่เคยไปมาเมื่อไม่นานจองให้ ก็เลือกที่พักที่เค้าไว้ใจ
ความฝันของคุณแม่กับคุณน้าผมก็ไม่ใช่อะไรที่ไม่เหมือนคนไทยที่ไปเที่ยวทั่วไปหรอกครับ
อยากไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ แต่ที่มากไปกว่าคนอื่นคือ ทั้งสองแกอยากไป นครวาติกันครับ
เชื่อว่าหลายๆคนก็ทราบกันดีนะครับ ว่า นครรัฐวาติกัน เป็นรัฐอิสระที่มีโป๊ปเป็นประมุขของรัฐ และเป็นผู้นำของ
ชาวคริสต์นิกายคาทอลิก มีวัตถุโบราณ รูปภาพสวยงาม ของศิลปินชื่อดังมากมาย ที่สามารถพบเจอได้ในที่แห่งนี้
สถาปัตยกรรมที่สวยงาม แทบจะอยากขอยื่นเปลี่ยนสัญชาติ มีโบสถ์ Sistine Chapel ที่โด่งดัง มีรูปภาพที่วาด
โดย มิเคลันเจโล ที่ชื่อ The Last Judgement คอยเรียกแขกจากทั่วโลกให้มาเห็นได้เป็นบุญตา
ด้วยความประสงค์จากคุณแม่และคุณน้า ผมจึงจองทริปการท่องเที่ยวภายในส่วนสำคัญของนครวาติกัน
เมื่อไปถึงอิตาลีและถึงวันที่ผมจอง พวกผมก็ได้เดินทางไปยัง นครวาติกัน
ผมขอแนะนำตรงนี้เลยนะครับว่า ให้จองทัวร์จากทางเว็บของวาติกันนะครับถ้าจะไป จองล่วงหน้าไว้นานๆเลยยิ่งดี อย่างผมจองล่วงหน้าไว้สองเดือน เป็นช่วงเกือบปีใหม่ ตารางทัวร์ที่ามารถจองได้นี่เต็บเกือบแทบทุกรอบ
อย่าไปหวังนะครับว่าจะไปต่อคิวรอซื้อบัตรเข้า หรือรอเข้ากับพวกทัวร์อื่นที่เค้ามาประกาศรับคนเพื่อพาเข้าไป เพราะคุณอาจจะถูกโขกราคาจนอยากจะเอาสากเขกหัวคนประกาศได้ เพราะราคามันโอเว่อร์จริงๆ
ต่อครับ แถวสำหรับต่อเข้าคิวชมภายในวาติกันยาวมากกกกกกกกกกก เรียกว่ายาวเกือบรอบกำแพงเมืองเลยทีเดียว ยาวจนผมตกใจว่านี่มันต่อคิวรับแต๊ะเอียกันเหรอวะ ยาวครับยาวจริงๆ โชคดีที่เราจองทัวร์ไว้แล้ว
แค่ปริ้นท์กระดาษยืนยันการชำระและหลักฐานของเราก็สามารถต่อแถวสำหรับคนที่จองทัวร์ออนไลน์ไว้สั้นๆได้
แป๊บเดียวก็ได้เข้ามาข้างในแล้วครับ
เมื่อเข้ามาข้างในเราก็ได้รับแจกไอที่เอาไว้ฟังข้อมูลของสิ่งต่างๆในสถานที่อ่ะครับ คือกดเลขตามที่เค้ากำกับไว้ เครื่องก็จะเล่นบันทึกเสียงที่เกี่ยวกับเลขนั้นๆให้เราได้ฟัง รอบทัวร์ผม ผมได้เจอครอบครัวคนอเมริกัน พ่อ แม่ และ ลูกสาวสองคน ที่เคยมาอาศัยอยู่เมืองไทยห้าปี เพราะเหมือนกับ คนพ่อ นั้นทำงานที่บริษัท Castrol (ถ้าจำไม่ผิด) สาขาประเทศไทย ครอบครัวเขาเลยมาอยู่ที่ประเทศเรา เป็นครอบครัวที่น่ารักมากครับ พ่อตัวสูงๆ
แม่ตัวอ้วนท้วมสมบูรณ์ ลูกๆนี่หน้าได้พ่อแต่หุ่นได้แม่มาครับ
พวกผมเดินตามเส้นทางทัวร์ที่ผมได้เลือกไว้ตอนจองออนไลน์ ตอนจองออนไลน์มันมีเส้นทางทัวร์ให้เลือก 4 เส้นทางครับ แต่ละเส้นทางจะไม่เหมือนกัน แต่ถ้าจำไม่ผิดคือ ปลายทางสุดท้ายคือมาลงเอยที่ St.Basilica เหมือนกันครับ
จากเส้นทางการเดินทัวร์ ในที่สุดก็มาถึงไฮไลท์สำคัญนี่แหละครับ ไฮไลท์ของเหตุการณ์ที่เกือบทำให้ผมรับการเชิดชู ในการเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ถูกเฆี่ยนอยู่ในคุกใต้ดินของ นครวาติกัน
พวกผมได้เดินทางมาถึงโบสถ์ Sistine Chapel ซักที ตื่นตาครับ ตื่นใจครับ เพราะสถานที่จริงมันสวยมากกกกกกกกกกกกกกกก สวยจนไม่อยากออกไปจากที่ตรงนั้น รูปภาพบนหลังคา บนฝาผนัง ที่ศิลปินได้บรรจงถ่ายทอดออกมาจากปลายพู่กัน และด้วยความสวยของมันนี่แหละ ที่ทำให้ผมซวย
หลายๆคนน่าจะรู้จักโปรแกรม Snapchat ใช่ไหมครับ เป็นโปรแกรมที่เป็นการแชทระหว่างบุคคล
แต่การแชทนั้นจะใช้วีดีโอเป็นสื่อ ไม่ได้ใช้ตัวอักษรเหมือน Line หรือ WeChat นั้นเองครับ โดยวีดีโอจะส่งได้ยาวสุด 10 วินาที และเมื่อส่งไปถ้าเราไม่กดเซฟไว้ตอนจะส่ง วีดีโอนั้นก็จะหายไปทันทีเมื่อเราเปิดดูจบครบเวลาที่เราตั้งไว้
ตอนนั้น Snapchat กำลังดังครับ และด้วยความที่อยากอวดครับ บอกกันตรงนี้เลยว่าอยากอวดเพื่อน
ว่าเห้ย กุได้มาแล้วนะเว้ย
สวยสาสสสสสสสส พวกมรุงต้องได้เห็น กุนี่ขยี้ตาจนตาแทบพัง และผมไม่เคยเห็นเพื่อนๆในโซเชี่ยลของผมได้มาถ่ายรูปที่สถานที่แห่งนี้เลย วิญญาณแห่งความเสี้ยนจึงเข้าครอบงำผมครับ
ผมบรรจงแอบหยิบโทรศัพท์ Samsung Galaxy Note 3 เครื่องอันบักเอ้ง แล้วเข้า Snapchat ถ่ายทันทีครับ แต่รู้ไหมครับว่า ภายในโบสถ์ Sistine Chapel นั้น ห้ามถ่ายรูปหรือบันทึกภาพโดยอุปกรณ์ใดๆทั้งสิ้น!!!
เหมือนสวรรค์มีตา ฟ้ามีฝน นรกงิ้ว ครับ ผมได้รับกรรมจากการกระทำที่ผมได้ทำทันที!!!! ตำรวจพิพิธภัณฑ์คว้ามือมาจับผมไว้!!!!!!!!!
ใจผมนี่หล่นลงไปอยู่ตาตุ่มเลยครับ
แล้วกุ จะตายไหมนิ จะโดนอะไรนิ ตูจะโดนส่งกลับประเทศไหมฟะ ทริปที่วางแผนไว้จะพังไหม ซวยยยยยยยยย ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แม่นี่หยิกหูผมก่อนเลยครับ เอาซะแดงเลย พร้อมกับพูดว่า เอ็งนี่นะ หาเรื่องใส่ตัว ทำอะไรไม่รู้จักคิด ตัวผมก็ยอมรับครับ ในหัวก็นึกว่าทำไมคนอื่นไม่เห็นโดนเพราะผมก็เห็นคนอื่นเค้าเอาโทรศัพท์ยกขึ้นมาถ่ายนะครับ แต่เหมือนกับเค้าก็แค่มองดูแล้วก็ตะโกนห้าม เข้าใจนะครับ ว่า ถ้าเอ็งรู้ว่ามันผิด เอ็งจะไปทำตามทำไม แต่ในหัวตอนนั้นมันคิดครับ คิดว่าเห้ย โอกาสเดียวในชีวิต แบบจะได้มาเห็นตรงนี้ ไม่อยากเก็บไว้แค่ในความทรงจำ แต่อยากจะบันทึกภาพไว้ ให้ลูกให้หลานได้ดู
ตำรวจที่เค้ามาจับผมก็ตะคอกใส่ผมทันทีครับ เป็นภาษาอิตาเลียน แหม่ พูดซะเหมือนผมจะเข้าใจ
ตำรวจก็ชี้มาที่โทรศัพท์ครับ เมื่อเห็นว่าผมไม่รู้เรื่อง ตำรวจก็พูดว่า ไกด์ๆๆๆ ผมก็เข้าใจว่าตำรวจให้พาไปหาไกด์ของทัวร์ผม
เมื่อไปถึง ตำรวจก็พูดคุยกับไกด์ครับ ไกด์ก็บอกว่าให้ลบภาพที่ถ่ายไว้ทันที โชคดีครับที่ผมไม่ได้กดบันทึกวีดีโอที่ผมจะส่งไว้ ผมจึงเข้า Gallery เพื่อโชว์ให้พี่เค้าดู และด้วยความที่พึ่งได้โทรศัพท์มาใหม่ๆ มันจึงไม่มีอะไรมาก นอกจากรูปที่ผมถ่ายไว้นิดหน่อยๆเมื่อไม่ได้หยิบกล้อง
ออกมาถ่ายเท่านั้น
เมื่อตำรวจเห็นว่าตำรวจไม่มีหลักฐานครับ ตำรวจจึงจะปล่อยตัวผมไป แล้วก็พูดกับไกด์บางอย่าง เมื่อตำรวจจากไป
ไกด์ก็หันมามองหน้าผม พร้อมกับทำสีหน้าเบื่อหน่าย (ประมาณว่า กรุบอกมรุงแล้วใช่มั้ยไอเอเชี่ยนเอ้ยยยย)
หลังจากนั้นจึงพาไปสถานที่สุดท้ายของทัวร์คือ St.Basilica
เป็นไงครับเรื่องราวของผม ความเสี้ยนเกือบพาซวย 5555 ไม่นึกไม่ฝันจริงๆครับว่าจะเป็นตัวเองที่โดน
แต่งานนี้ก็โทษใครไม่ได้ครับ ความควายตัวเองล้วนๆ
ปล ผมขอถามขอบเขตความสามารถของตั๋ว First Class หน่อยครับ
คือทริปนั้นวันที่กลับ แม่ น้า ผม ไปถึงสนามบินเลทมากๆ แบบอีก 1 ชม เครื่องจะออกจาก Malpensa Airport แล้ว
แล้วคือเคาท์เตอร์เช็คอินแบบปิดแล้ว แต่พอพวกผมยื่นตั๋วไป เค้าก็ทำเรื่องให้ทันที สภาพคือถ้าไม่ใช่ First Class พวกผมตกเครื่องแน่นอน
คือเหมือนผมเคยได้ยินหน่ะครับว่าถ้าจะทำเรื่องใหม่ต้องเสียเงินอะไรซักอย่าง เลยอยากรู้ว่ามีขอบเขตอภิสิทธิ์ถึงตรงนี้ไหม
ปล. ของ ปล.
ที่ผมตั้งใจจะเล่า จุดประสงค์คือการเตือนคนอื่น
ส่วนการกระทำอันนี้ผมยอมรับผิดจริงๆครับ ถ้าถูกจับก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน
เรียกซะว่าเป็นการกระทำที่ "ไม่คิดหน้าคิดหลังและคิดถึงผลกระทบที่จะตามมา" ดีกว่าครับ
มันเป็นการกระทำที่เสริมด้วยความคะนึกคะนอง ถ้าโดนก็คงต้องด่าตัวเอง
ผมจึงตัดสินใจนำประสบการณ์มาเล่าเพื่อเตือนเพื่อนๆในสังคมไงครับ
ว่าอย่าไปทำ มันไม่ดี
เมื่อเราทำผิดและได้รับผลส่วนนึง ทั้งเหตุการณ์ยังผ่านมาแล้ว
สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้ก็คือก้าวต่อไปและตักเตือนคนรอบข้างใช่ไหมล่ะครับ ;D
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
เมื่อผมเกือบถูกจับ ที่กรุงวาติกัน
สวัสดีครับ เพื่อนๆ พี่ วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์อันน่าตื่นเต้น (ที่เกือบทำให้ผมหัวใจแทบวาย)
โดยผมก็ได้ใช้เวลาพอสมควรในการตัดสินใจนำเรื่องนี้มาเล่า เพราะตลกในความโง่ของตัวเอง
กับประสบการณ์ที่เกือบจะทำให้ผมได้สร้างชื่อเสียงให้กับ ประเทศไทย ในการเป็นคนไทยคนแรก
ที่อาจจะถูกเนรเทศหรือหนักไปกว่านั้น จับเข้าคุกดำไปถูกเฆี่ยน อยู่ภายใต้นครรัฐวาติกัน
สถานที่ในฝันของใครหลายๆคนนั้นเอง
ก่อนอื่นก็ขอบอกก่อนนะครับว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเมื่อ 1 ปี ที่แล้ว ช่วงเดือน ธันวาคม 2556
เวลาประมาณนี้แหละครับ เป็นการไปเที่ยวอิตาลีสามคน คุณแม่ คุณน้า ผม โดยมีผมเป็นคนวางแผนการท่องเที่ยวทั้งหมด ทั้งการเดินทาง ที่พักก็มีคุณป้าที่เคยไปมาเมื่อไม่นานจองให้ ก็เลือกที่พักที่เค้าไว้ใจ
ความฝันของคุณแม่กับคุณน้าผมก็ไม่ใช่อะไรที่ไม่เหมือนคนไทยที่ไปเที่ยวทั่วไปหรอกครับ
อยากไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ แต่ที่มากไปกว่าคนอื่นคือ ทั้งสองแกอยากไป นครวาติกันครับ
เชื่อว่าหลายๆคนก็ทราบกันดีนะครับ ว่า นครรัฐวาติกัน เป็นรัฐอิสระที่มีโป๊ปเป็นประมุขของรัฐ และเป็นผู้นำของ
ชาวคริสต์นิกายคาทอลิก มีวัตถุโบราณ รูปภาพสวยงาม ของศิลปินชื่อดังมากมาย ที่สามารถพบเจอได้ในที่แห่งนี้
สถาปัตยกรรมที่สวยงาม แทบจะอยากขอยื่นเปลี่ยนสัญชาติ มีโบสถ์ Sistine Chapel ที่โด่งดัง มีรูปภาพที่วาด
โดย มิเคลันเจโล ที่ชื่อ The Last Judgement คอยเรียกแขกจากทั่วโลกให้มาเห็นได้เป็นบุญตา
ด้วยความประสงค์จากคุณแม่และคุณน้า ผมจึงจองทริปการท่องเที่ยวภายในส่วนสำคัญของนครวาติกัน
เมื่อไปถึงอิตาลีและถึงวันที่ผมจอง พวกผมก็ได้เดินทางไปยัง นครวาติกัน
ผมขอแนะนำตรงนี้เลยนะครับว่า ให้จองทัวร์จากทางเว็บของวาติกันนะครับถ้าจะไป จองล่วงหน้าไว้นานๆเลยยิ่งดี อย่างผมจองล่วงหน้าไว้สองเดือน เป็นช่วงเกือบปีใหม่ ตารางทัวร์ที่ามารถจองได้นี่เต็บเกือบแทบทุกรอบ
อย่าไปหวังนะครับว่าจะไปต่อคิวรอซื้อบัตรเข้า หรือรอเข้ากับพวกทัวร์อื่นที่เค้ามาประกาศรับคนเพื่อพาเข้าไป เพราะคุณอาจจะถูกโขกราคาจนอยากจะเอาสากเขกหัวคนประกาศได้ เพราะราคามันโอเว่อร์จริงๆ
ต่อครับ แถวสำหรับต่อเข้าคิวชมภายในวาติกันยาวมากกกกกกกกกกก เรียกว่ายาวเกือบรอบกำแพงเมืองเลยทีเดียว ยาวจนผมตกใจว่านี่มันต่อคิวรับแต๊ะเอียกันเหรอวะ ยาวครับยาวจริงๆ โชคดีที่เราจองทัวร์ไว้แล้ว
แค่ปริ้นท์กระดาษยืนยันการชำระและหลักฐานของเราก็สามารถต่อแถวสำหรับคนที่จองทัวร์ออนไลน์ไว้สั้นๆได้
แป๊บเดียวก็ได้เข้ามาข้างในแล้วครับ
เมื่อเข้ามาข้างในเราก็ได้รับแจกไอที่เอาไว้ฟังข้อมูลของสิ่งต่างๆในสถานที่อ่ะครับ คือกดเลขตามที่เค้ากำกับไว้ เครื่องก็จะเล่นบันทึกเสียงที่เกี่ยวกับเลขนั้นๆให้เราได้ฟัง รอบทัวร์ผม ผมได้เจอครอบครัวคนอเมริกัน พ่อ แม่ และ ลูกสาวสองคน ที่เคยมาอาศัยอยู่เมืองไทยห้าปี เพราะเหมือนกับ คนพ่อ นั้นทำงานที่บริษัท Castrol (ถ้าจำไม่ผิด) สาขาประเทศไทย ครอบครัวเขาเลยมาอยู่ที่ประเทศเรา เป็นครอบครัวที่น่ารักมากครับ พ่อตัวสูงๆ
แม่ตัวอ้วนท้วมสมบูรณ์ ลูกๆนี่หน้าได้พ่อแต่หุ่นได้แม่มาครับ
พวกผมเดินตามเส้นทางทัวร์ที่ผมได้เลือกไว้ตอนจองออนไลน์ ตอนจองออนไลน์มันมีเส้นทางทัวร์ให้เลือก 4 เส้นทางครับ แต่ละเส้นทางจะไม่เหมือนกัน แต่ถ้าจำไม่ผิดคือ ปลายทางสุดท้ายคือมาลงเอยที่ St.Basilica เหมือนกันครับ
จากเส้นทางการเดินทัวร์ ในที่สุดก็มาถึงไฮไลท์สำคัญนี่แหละครับ ไฮไลท์ของเหตุการณ์ที่เกือบทำให้ผมรับการเชิดชู ในการเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ถูกเฆี่ยนอยู่ในคุกใต้ดินของ นครวาติกัน
พวกผมได้เดินทางมาถึงโบสถ์ Sistine Chapel ซักที ตื่นตาครับ ตื่นใจครับ เพราะสถานที่จริงมันสวยมากกกกกกกกกกกกกกกก สวยจนไม่อยากออกไปจากที่ตรงนั้น รูปภาพบนหลังคา บนฝาผนัง ที่ศิลปินได้บรรจงถ่ายทอดออกมาจากปลายพู่กัน และด้วยความสวยของมันนี่แหละ ที่ทำให้ผมซวย
หลายๆคนน่าจะรู้จักโปรแกรม Snapchat ใช่ไหมครับ เป็นโปรแกรมที่เป็นการแชทระหว่างบุคคล
แต่การแชทนั้นจะใช้วีดีโอเป็นสื่อ ไม่ได้ใช้ตัวอักษรเหมือน Line หรือ WeChat นั้นเองครับ โดยวีดีโอจะส่งได้ยาวสุด 10 วินาที และเมื่อส่งไปถ้าเราไม่กดเซฟไว้ตอนจะส่ง วีดีโอนั้นก็จะหายไปทันทีเมื่อเราเปิดดูจบครบเวลาที่เราตั้งไว้
ตอนนั้น Snapchat กำลังดังครับ และด้วยความที่อยากอวดครับ บอกกันตรงนี้เลยว่าอยากอวดเพื่อน
ว่าเห้ย กุได้มาแล้วนะเว้ย สวยสาสสสสสสสส พวกมรุงต้องได้เห็น กุนี่ขยี้ตาจนตาแทบพัง และผมไม่เคยเห็นเพื่อนๆในโซเชี่ยลของผมได้มาถ่ายรูปที่สถานที่แห่งนี้เลย วิญญาณแห่งความเสี้ยนจึงเข้าครอบงำผมครับ
ผมบรรจงแอบหยิบโทรศัพท์ Samsung Galaxy Note 3 เครื่องอันบักเอ้ง แล้วเข้า Snapchat ถ่ายทันทีครับ แต่รู้ไหมครับว่า ภายในโบสถ์ Sistine Chapel นั้น ห้ามถ่ายรูปหรือบันทึกภาพโดยอุปกรณ์ใดๆทั้งสิ้น!!!
เหมือนสวรรค์มีตา ฟ้ามีฝน นรกงิ้ว ครับ ผมได้รับกรรมจากการกระทำที่ผมได้ทำทันที!!!! ตำรวจพิพิธภัณฑ์คว้ามือมาจับผมไว้!!!!!!!!!
ใจผมนี่หล่นลงไปอยู่ตาตุ่มเลยครับ แล้วกุ จะตายไหมนิ จะโดนอะไรนิ ตูจะโดนส่งกลับประเทศไหมฟะ ทริปที่วางแผนไว้จะพังไหม ซวยยยยยยยยย ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แม่นี่หยิกหูผมก่อนเลยครับ เอาซะแดงเลย พร้อมกับพูดว่า เอ็งนี่นะ หาเรื่องใส่ตัว ทำอะไรไม่รู้จักคิด ตัวผมก็ยอมรับครับ ในหัวก็นึกว่าทำไมคนอื่นไม่เห็นโดนเพราะผมก็เห็นคนอื่นเค้าเอาโทรศัพท์ยกขึ้นมาถ่ายนะครับ แต่เหมือนกับเค้าก็แค่มองดูแล้วก็ตะโกนห้าม เข้าใจนะครับ ว่า ถ้าเอ็งรู้ว่ามันผิด เอ็งจะไปทำตามทำไม แต่ในหัวตอนนั้นมันคิดครับ คิดว่าเห้ย โอกาสเดียวในชีวิต แบบจะได้มาเห็นตรงนี้ ไม่อยากเก็บไว้แค่ในความทรงจำ แต่อยากจะบันทึกภาพไว้ ให้ลูกให้หลานได้ดู
ตำรวจที่เค้ามาจับผมก็ตะคอกใส่ผมทันทีครับ เป็นภาษาอิตาเลียน แหม่ พูดซะเหมือนผมจะเข้าใจ
ตำรวจก็ชี้มาที่โทรศัพท์ครับ เมื่อเห็นว่าผมไม่รู้เรื่อง ตำรวจก็พูดว่า ไกด์ๆๆๆ ผมก็เข้าใจว่าตำรวจให้พาไปหาไกด์ของทัวร์ผม
เมื่อไปถึง ตำรวจก็พูดคุยกับไกด์ครับ ไกด์ก็บอกว่าให้ลบภาพที่ถ่ายไว้ทันที โชคดีครับที่ผมไม่ได้กดบันทึกวีดีโอที่ผมจะส่งไว้ ผมจึงเข้า Gallery เพื่อโชว์ให้พี่เค้าดู และด้วยความที่พึ่งได้โทรศัพท์มาใหม่ๆ มันจึงไม่มีอะไรมาก นอกจากรูปที่ผมถ่ายไว้นิดหน่อยๆเมื่อไม่ได้หยิบกล้อง
ออกมาถ่ายเท่านั้น
เมื่อตำรวจเห็นว่าตำรวจไม่มีหลักฐานครับ ตำรวจจึงจะปล่อยตัวผมไป แล้วก็พูดกับไกด์บางอย่าง เมื่อตำรวจจากไป
ไกด์ก็หันมามองหน้าผม พร้อมกับทำสีหน้าเบื่อหน่าย (ประมาณว่า กรุบอกมรุงแล้วใช่มั้ยไอเอเชี่ยนเอ้ยยยย)
หลังจากนั้นจึงพาไปสถานที่สุดท้ายของทัวร์คือ St.Basilica
เป็นไงครับเรื่องราวของผม ความเสี้ยนเกือบพาซวย 5555 ไม่นึกไม่ฝันจริงๆครับว่าจะเป็นตัวเองที่โดน
แต่งานนี้ก็โทษใครไม่ได้ครับ ความควายตัวเองล้วนๆ
ปล ผมขอถามขอบเขตความสามารถของตั๋ว First Class หน่อยครับ
คือทริปนั้นวันที่กลับ แม่ น้า ผม ไปถึงสนามบินเลทมากๆ แบบอีก 1 ชม เครื่องจะออกจาก Malpensa Airport แล้ว
แล้วคือเคาท์เตอร์เช็คอินแบบปิดแล้ว แต่พอพวกผมยื่นตั๋วไป เค้าก็ทำเรื่องให้ทันที สภาพคือถ้าไม่ใช่ First Class พวกผมตกเครื่องแน่นอน
คือเหมือนผมเคยได้ยินหน่ะครับว่าถ้าจะทำเรื่องใหม่ต้องเสียเงินอะไรซักอย่าง เลยอยากรู้ว่ามีขอบเขตอภิสิทธิ์ถึงตรงนี้ไหม
ปล. ของ ปล.
ที่ผมตั้งใจจะเล่า จุดประสงค์คือการเตือนคนอื่น
ส่วนการกระทำอันนี้ผมยอมรับผิดจริงๆครับ ถ้าถูกจับก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน
เรียกซะว่าเป็นการกระทำที่ "ไม่คิดหน้าคิดหลังและคิดถึงผลกระทบที่จะตามมา" ดีกว่าครับ
มันเป็นการกระทำที่เสริมด้วยความคะนึกคะนอง ถ้าโดนก็คงต้องด่าตัวเอง
ผมจึงตัดสินใจนำประสบการณ์มาเล่าเพื่อเตือนเพื่อนๆในสังคมไงครับ
ว่าอย่าไปทำ มันไม่ดี
เมื่อเราทำผิดและได้รับผลส่วนนึง ทั้งเหตุการณ์ยังผ่านมาแล้ว
สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้ก็คือก้าวต่อไปและตักเตือนคนรอบข้างใช่ไหมล่ะครับ ;D
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ