เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมดที่กำลังสร้างความลำบากใจให้กับผม ก่อนเล่าเรื่องผมต้องขอบรรยายลักษณะนิสัยของทวดก่อนว่าแกเป็นคนไม่ค่อยฟังใครและชอบคิดไปเองแล้วก็ดันเชื่อมั่นซะเหลือเกินว่าสิ่งที่ตนคิดเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เช่นบางวันผมไปเรียนแล้วกลับช้าแกก็หาว่าผมไปเล่นไพ่ พอกลับมาเร็วแกก็หาว่าผมหนีโรงเรียนมาทั้งๆทีความจริงผมเรียนถึง4โมงเย็นทุกวัน บางวันที่กลับเร็วเพราะครูมีประชุมทั้งโรงเรียนหรือบางทีชั่วโมงสุดท้ายครูไม่อยู่ผมก็จะกลับบ้านไว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระของแกหายแกโวยวายหาว่าอาของผมขโมยไปขาย สุดท้ายก็เจอใต้หมอนแกนั่นแหละ ที่ผมไม่อธิบายความจริงเรื่องการเรียนของผมให้แกเข้าใจเพราะปกติผมเป็นคนพูดเร็วแล้วแกก็หูไม่ค่อยดีทำให้เวลาผมกลับมาจากโรงเรียนแล้วเจอแกกล่าวหาแบบนั้นผมจึงไม่อธิบายอะไรเพราะแค่ผมปั่นจักรยานจากปากซอยเข้ามาก็เหนื่อยแล้ว เหตุการณ์ที่ทำให้ผมทะเลาะกับทวดอย่างหนักคือเมื่อวานแกล้างจานแล้วปิดก๊อกน้ำไม่สนิท เมื่ออาผมรู้จึงบอกให้ผมไปบอกทวดว่าคราวหน้าไม่ต้องล้างจานแล้ว(ปกติอาก็ไม่ให้ทวดล้างอยู่แล้ว)ผมก็ได้บอกทวดไปตามนั้น พอตกเย็นทวดแกก็มาบอกผมว่าอาผมไม่ได้บอกกับผมหรอกมีคนอื่นมาบอกกับผม.ผมเลยถามไปว่าแล้วใครล่ะ แกก็บอกว่าแม่ของอาเขยแล้วแกก็บอกอีกว่าแม่ของอาเขยเกลียดแก แกเล่าว่าแม่ของอาเขยเคยตีน้องของผมเพื่อให้ไปบอกแกว่าไม่ให้แกล้างจานเพราะแกล้างไม่สะอาด ผมเลยงงๆว่าถ้าจะบอกเรื่องแค่นี้ทำไมต้องตีน้องจนร้องไห้ด้วยเพราะปกติแม่ของอาเขยจะไม่ค่อยตีน้องๆผมเป็นพี่ยังตีบ่อยกว่าอีก ผมก็เลยไม่เชื่อบอกแกว่าแกได้ยินผิดหรือน้องผมมันถูกตีแล้วโมโหจึงพูดตะคอกจนแกได้ยินบวกกับคิดไปเองหรือน้องผมมันแกล้งพูดก็ไม่รู้ หลังจากพูดเสร็จแกก็บอกว่าฝากเก็บชามข้าวด้วยนะ ผมเลยแกล้งแกด้วยการทำเป็นไม่สนใจชามข้าวของแก พอแกเห็นผมไม่เก็บแกเลยบอกว่าถ้าไม่เก็บชามให้กูเงินของที่ทำหล่นไม่ต้องเอา ผมเริ่มโมโหเพราะปกติไม่มีใครกล้าพูดจากับผมแบบนี้ ผมเลยควักกระเป๋าดูเฮ้ยเงินหายไป100บาทซึ่งมันตรงกับจำนวนเงินที่แกเก็บได้ ด้วยอารมณ์โกรธผมจึงถามว่าจะคืนเงินของผมไหมแกก็บอกว่าพูดจาดีๆไม่เป็นหรือ พ่อเป็นยักษ์รึไง จากเดิมที่โกรธอยู่แล้วผมจึงโกรธหนักกว่าเดิม ผมจึงประชดด้วยการเอาชามไปเก็บแล้วก็ไม่เอาเงินคืนด้วย ตอนนี้ผมกับทวดไม่คุยไม่มองหน้ากันเลย
ปล.ผมทำเกินไปรึป่าวและผมควรจะทำยังไงดี
เมื่อผมทะเลาะกับทวด
ปล.ผมทำเกินไปรึป่าวและผมควรจะทำยังไงดี