ฆาตรกร “เงียบ”
“อีกละ อีห้องข้างๆ เนี่ย จะรัก จะฟัก หรือจะเหยียบกันจนซี่โครงหัก ก็เกรงใจกันบ้างสิ เนี่ยสันดานพริตตี้”
อารีย์ได้แต่สบถในใจ แต่ไม่คิดจะทำอะไรไปมากกว่านั้น เนื่องเพราะหล่อนเป็นคนรักสงบ และไม่ชอบมีปัญหาวุ่นวายกะใคร พอๆ กับไม่ชอบให้ใครวุ่นวาย หล่อนกำลังหงุดหงิดเป็นกำลังเพราะเช้าพรุ่งนี้มีนัดต้องไปสัมภาษณ์ไฮโซแม่ม่ายที่วัดป่าเชิงเลน เพื่อนำมาลงคอลัมน์ในนิตยสารที่ตัวเองทำงาน
อาชีพกองบรรณาธิการนิตยสาร เป็นอาชีพที่เหมาะกับนิสัยของหล่อนมาก เพราะไม่วุ่นวาย ไปถึงหน้างาน ช่างภาพก็ถ่ายรูปไป หล่อนก็สัมภาษณ์ไป กลับมาถอดเทป เขียนบทสัมภาษณ์ แล้วเลือกรูปประกอบจากโฟลเดอร์กลางซึ่งแชร์ข้อมูลให้ทุกคนเข้าถึงได้หมด ไม่ต้องไปโทรจิกถามกันกับช่างภาพให้น่ารำคาญใจกันทั้งสองฝ่าย ยิ่งอายุมากขึ้น หล่อนก็ยิ่งมีอิสระในการทำงาน เพราะเป็นซีเนียร์แล้ว น้องๆ เด็กๆ ไม่ค่อยมากวนใจ เพราะหล่อนมักจะปั้นหน้าเครียดตลอดเวลา จนไม่มีคนอยากจะเข้าหน้าด้วย เวลารับประทานอาหารกลางวัน หรือคนที่หนังสือรวมตัวกันไปคาราโอเกะ หล่อนก็ไม่แยแสจะมีเอี่ยว
หล่อนมาพำนักอยู่ที่อพาร์ตเมนต์แห่งนี้สองปีกว่าแล้ว กับเพื่อนข้างห้อง หรือคนร่วมชั้น ก็ไม่เคยทักทายกัน คิดเข้าข้างตัวเองว่า ดีแล้ว ไม่มีใครมาวุ่นวาย ต่างคนต่างอยู่ เช่นเดียวกับสาวสวยข้างห้อง ประสบการณ์ในการทำงานนิตยสารมาหลายปี ทำให้มองออกว่า สาวหน้าใส น้องใหม่มหาวิทยาลัยคนนี้ทำงานอยู่ในวงการพริตตี้ และยังมีข้อมูลที่ไม่อยากรับรู้พ่วงเข้ามาอีก เมื่อเสียงของเจ้าหล่อนมักจะทะลุทะลวงผ่านกำแพงบางๆ เข้ามาบ่อยๆ ทำให้เดาได้ว่า หล่อนมีเสี่ยเป็นสปอนเซอร์ให้ทั้ง เสื้อผ้า หน้า ผม รวมไปถึง นม ดั้ง ตั้งฉ่าย
นอกจากเสี่ยที่ได้ยินแต่เสียงห้าวๆ หล่อนยังมีกิ๊กอีกคน ที่ชอบมาเคาะประตูเรียกบ่อยๆ และนี่แหละที่เป็นปัญหาคาอกจนอยากจะถลกกนระโปรงถีบจริงๆ เมื่อเจ้าหล่อนสับรางสองหนุ่มกันวุ่นวาย คนนี้ออกไปตอนสี่ทุ่ม อีกคนมาตอนเที่ยงคืน สรรพเสียงทั้งเคาะประตู หยอกล้อ หรือเสียงยวบยาบเป็นจังหวะของเตียง กว่าจะหยุดก็หลังตีสอง บางวันยังมีรายการแอคชั่นวันละซีน ให้ได้ฟังด้วย ทั้งที่หล่อนถูกแฟนหนุ่มทุบตี ทั้งที่หล่อนเมาแล้วชวนแฟนทะเลาะ ขว้างปาข้าวของ เหนื่อยอารีย์ที่ต้องมาแกล้งกระแอม หรือปิดประตูห้องน้ำแรงๆ ปรามอยู่บ่อยๆ ซึ่งก็ใช่ว่าจะได้ผลมากมาย
คืนนี้ก็เช่นเดียวกัน อารีย์ทำทุกอย่างทั้งกระแอมจนคอแห้ง ปิดประตูดังๆ หลายปัง นางก็ไม่ยอมเลิกราการทะเลาะเบาะแว้ง แม้จะผิดหูไปหน่อย เพราะไม่ได้ยินเสียงฝ่ายชายพูดจาอะไร ได้ยินแต่เสียงตุ๊บตั๊บกัน และเสียงฝ่ายหญิ.งพยายามขัดขืนดิ้นรน แว่วๆ เหมือนจะได้ยินนางร้อง ช่วยด้วย แผ่วๆ แต่อารีย์ก็ไม่ได้นำพา เพราะกำลังของขึ้นที่มาตบตีกันตอนตีสาม นอกจากไม่สนใจแล้วยังแอบแช่งชักหักกระดูกให้ทุบแรงๆ ให้สลบกันไปเลย จะได้เงียบๆ อารีย์จะได้นอนสักตื่น เหมือนคำอธิษฐานจะเห็นผล ฝ่ายนั้นเงียบสนิทไปแล้ว อารีย์โล่งใจ ปิดไฟนอนไปถึงเช้า
หล่อนกลับมาห้องพักอีกครั้งเอาตอนสี่โมงเย็น หลังจากเตร็ดเตร่ไปเดินเล่นที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า เมื่อสัมภาษณ์งานเสร็จในช่วงสาย งานนิตยสารแสนจะสบาย แม้เงินเดือนจะไม่มาก แต่ไม่ต้องตอกบัตร เพียงรับผิดชอบคอลัมน์ต่างๆ ให้ลุล่วงตามไทม์ไลน์
หลังจัดการส้มตำปูดองของโปรดกับไก่ย่างจนอิ่มแปร้ ก็เริ่มหยิบม้วนเทปสัมภาษณ์มาเปิด เพื่อถอดสำนวนลงโน้ตบุ้กคู่มือ การถอดคำสนทนาร่วมชั่วโมง เพื่อจะนำมาเรียบเรียงเป็นบทสัมภาษณ์ขนาดสี่หน้าคู่ เป็นขั้นตอนที่ทั้งกินเวลา และน่าเบื่อหน่าย เพราะต้องใช้ทั้งสมาธิในการพิมพ์ร่วมกับฟัง ต้องคอยหยุด คอยกรอเทปไม่ถอยหลัง ก็เดินหน้าแทบจะทุกสามสี่นาที ทั้งยังต้องคอยทำเครื่องหมายในบางประโยคที่อาจจะต้องนำมารวมความกับบางคำตอบในคำถามอื่น เพื่อให้ได้ใจความที่สมบูรณ์ กว่าจะเสร็จก็ฟ้ามืดพอดี
เสียงก๊อกๆ ดังที่หน้าประตู ปลุกอารีย์ตื่น เหลือบมองนาฬิกาที่หน้าปัดมือถือ จึงพบว่าหล่อนแอบม่อยหลับคาโต๊ะทำงานไปหลายชั่วโมงจนตีสามของอีกวัน ท่ามกลางความงัวเงีย ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่วันนี้ น้องข้างห้องไม่ได้ทำเสียงดังใดๆ ยังไม่ทันได้นึกดีใจ หน้าห้องก็มีเสียงเคาะเรียกถี่รัวอย่างไม่เกรงใจ แม้จะนึกฉุนแต่ก็ยังไม่ตอบรับในทันที ค่อยเล่นงานพรุ่งนี้ด้วยการร้องเรียนอีเจ๊เจ้าของตึก หล่อนย่องไปในความมืดด้วยฝีเท้าเบากริบ อาศัยแสงจากไฟส่องทางนอกอาคารแทนการเปิดโคม เผื่อดีร้ายอย่างไรจะได้แสร้งเป็นหลับลึก หรือไม่อยู่ในห้องเพื่อกันปัญหา สอดสายตาผ่านช่องตาแมวที่หน้าประตู เห็นสาวเจ้าปัญหา สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง ใช้สองมือทุบหน้าประตูราวตีกลอง คงทะเลาะกะผัวเบอร์สองอีกน่ะสิ คิดขึ้นมาความโกรธก็แล่นริ้วขึ้นหน้า
“ มีอะไรน้อง ไม่เกรงใจเลยนะ ตีเท่าไหร่แล้ว”
อารีย์ตะคอกถามไปด้วยน้ำเสียงขุ่นไร้ความปราณี
“ พี่ช่วยหนูด้วย พี่ช่วยหนูด้วย”
เสียงเด็กสาวร้อนรน ราวกับโดนไฟจี้ที่จุดเร้นลับ
มันจะอะไรล่ะยะ….พล่าน หรือ ร่าน กันเนี่ย อารีย์ยังไม่ยอมเปิดประตูให้ แอบมองเพ่งไปที่ใบหน้าจึงพบว่า หล่อนมีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำวงเท่าปากแก้ว ส่วนปากที่เคยฉาบลิปสติกสีอินเทรนด์ บวมเจ่อ หน้ามอมยังกะไปตกหล่มที่ไหนมา แม้สภาพจะน่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่อารีย์นึกสมเพชแกมรำคาญเสียมากกว่า
“ พี่ช่วยอะไรไม่ได้หรอก เรื่องผัวเมีย กลัวมันก็กลับไปห้องล็อกประตูซะ แค่นี้นะ”
หล่อนผละมาที่เตียง ทำหูทวนลมกับเสียงเคาะประตูซ้ำๆ จนเงียบไปเอง พลิกตัวไปมาอยู่หลายคราก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหลับ มโนธรรมที่พอมีอยู่บ้างได้ผุดพรายขึ้นมาชี้หน้าตำหนิตัวเองจนยากข่มใจ แอบย่องไปที่ประตูอีกครั้ง มองลอดตาแมวออกไป ค่อยโล่งใจขึ้นเมือไม่พบเด็กสาวเจ้าปัญหา ‘ดี ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตายตาห้อง’ อารีย์ถอนใจแล้วหมุนตัวมา หยิบขวดพาราเซตตามอนที่ตั้งอยู่บนตู้เย็นข้างๆ เทเม็ดยาแล้วกลั้วน้ำก้นขวดที่ตั้งอยู่ติดกัน หวังให้หลับไปถึงเช้า
อารีย์เปิดประตูห้องอย่างร้อนรน ผมสั้นยังเปียกหมาดเพราะเช็ดอย่างลวกๆ หยดน้ำยังไหลหยดลงเกาะหางคิ้วข้างหนึ่ง เธอรีบสุดชีวิตเพราะตื่นสายจวนจะเลยนัดถ่ายงานที่สตูดิโอ รนเพราะกลัวจะโดนช่างภาพรุ่นเด็กค่อนขอด จังหวะที่ถลันออกมาพอดีได้เห็นชายหนุ่มที่คาดว่าจะเป็นคู่วิวาทของสาวเมื่อคืน กำลังเคาะประตูห้องติดกัน
“ พี่ เมื่อคืนยุกลับมาไหมครับ เนี่ยผมเรียกตั้งนานแล้วไม่เปิดประตูเลย”
“ไม่รู้ นอนแล้ว”
หล่อนตอบเสียงสะบัด พร้อมจ้ำอ้าวกึ่งวิ่งลงบันได แล้วขึ้นขี่ท้ายมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่จอดรอ
วันนั้นทั้งวันอารีย์ต้องเร่งจัดเซ็ตผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าของปารีส จดเครดิตและรายการที่นำมาถ่ายภาพในสตูดิโอสำหรับเนื้อหาของเดือนหน้า ปิดต้นฉบับคอลัมน์ต่างๆ ทั้งของตัวเองซึ่งเสร็จเกือบหมดก่อนเดทไลน์ และของคนในกองอีกคนที่บังเอิญแอดมิทเข้าโรงพยาบาล อย่างเสียไม่ได้ กว่าจะถึงบ้านก็สามทุ่ม จะอาบน้ำเสียหน่อย แต่เมื่อได้แอร์เย็นๆ ก็ม่อยหลับยาว
“ พี่ช่วยด้วย มันจะมาอีกแล้ว พี่!”
เสียงเคาะประตู และเสียงสาวพริตตี้ดังชัดเหมือนอยู่ใกล้หู ทำเอาอารีย์เหลืออด ลุกขึ้นกาวสวบๆ กระชากประตูด้วยแรงโทสะ กะว่าจะด่าให้แรงได้แรงอก แด่ก็ต้องงงงันเมื่อไม่พบใคร หล่อนชะโงกหัวมองทั้งซ้าย ขวา ก็เจอแค่ทางเดินว่างเปล่า และค่ำคืนวังเวง เสียงหวีดร้องของแมวที่ตกลงบนหลังคาสังกะสีของบ้านใกล้ๆ ยิ่งชวนขนลุกจนจ้องห่อตัว ก่อน จะหลุขเข้ามาในห้อง หลอดนีออนหน้าประตูห้องสาวพริตตี้กระพริบริบหรี่แล้วดับสนิทคาตา อารีย์เดินกลับมา รู้สึกว่าในห้องอากาศหนาวยะเยือกกว่าปกติ หล่อนคงจับไข้แน่ๆ จึงปิดเครื่องปรับอากาศ แล้วเปิดบานกระจกริมระเบียงเพื่อระบายความหนาว อาศัยแสงสว่างรำไรจากริมถนน ควานๆ หายาบรรเทาไข้ กินไปสองเม็ดตามด้วยน้ำอีกอึกใหญ่
ในความสลึมสลือ อารีย์รู้สึกร่างกายเหมือนถูกกดทับจนหายใจไม่ออก เมื่อลืมตาจึงพอเห็นรางๆ ว่าใครคนหนึ่งกำลังขึ้นคร่อม มันพยามยามใช้มือสอดใส่ล่วงล้ำในส่วนสงวน ในขณะที่อีกมือกุมลำคอจนแทบหายใจไม่ออก ในสติสุดท้ายที่ยังพอมีเหลือ อารีย์ตะโกนสุดเสียง ขอความช่วยเหลือ แต่น่าเศร้ายิ่ง เมื่อเสียงที่เล็ดรอดออกมานั้นเบายิ่งกว่าเสียงจุ๊ของจิ้งจกบนผนัง หูแว่วเสียงกระแอมของห้องข้างๆ คล้ายรำคาญในความขวัญอ่อนของหล่อนเสียเต็มประดา สำนึกสุดท้ายที่รู้สึกคือความมืดมนชวนอึดอัด และลมหายใจติดขัด
“ปล้ำ ฆ่า สยอง สองศพคาห้องพัก หลังจากสืบพยานมาพักใหญ่ ตำรวจสรุปรูปคดีแล้วว่า เหตุฆาตรกรรมสยองขวัญกลางซอยฝั่งธน เป็นฝีมือของคนเดียวกัน ฆาตรกรเป็นช่างซ่อมแอร์ ทีเคยเข้ามาล้างแอร์ในอพาร์ตเมนต์ และได้อาศัย ช่วงระเบียงที่ติดต่อกันของห้องพัก แอบเข้ามางัดแงะประตูบานเลื่อน แล้วเข้ามาขืนใจเหยื่อในยามวิกาล โดยเหยื่อรายแรกนั้นเสียชีวิตก่อนรายที่สอง ร่วมสองวัน ในที่เกิดเหตุ ห้องข้างๆ ให้การว่า คืนเกิดเหตุ ได้ยินเสียงการต่อสู้ แต่ตนไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติชองผัวเมียตีกัน ”
กานดา รีบหยิบรีโมทมาเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ทันที การอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่มีเรื่องราวแบบนี้ก็ชวนขนพองสยองขวัญพออยู่แล้ว หล่อนไม่อยากรับรู้อีก แม้ว่าในไม่ถึงชั่วโมง ลดหกล้อที่ว่าจ้างจะมาขนของล็อตสุดท้าย แล้วหล่อนก็จะได้ย้ายไปอยู่คอนโดมิเนียมเลียบสถานีรถไฟฟ้าที่เพิ่งสร้างเสร็จ ลากันทีชีวิตโลว์โซ ที่ต้องทนกับเสียงฝรั่งขี้เหล้าชอบตีเมียเช่า และเด็กเชียร์เบียร์ใจแตก ความอดทนสุดท้ายที่หล่อนต้องกล้ำกลืนด้วยความนิ่งเฉยมาตลอดห้าเดือนกำลังจะสิ้นสุด การทำหูทวนลม ทำให้คลาดแคล้วจากการฆาตรกรรมในทุกกรณี ก็เพราะหล่อนเพิกเฉยแม้จะได้ยินเสียงวิวาท หรือแอบมองลอดตาแมวแล้วเห็นฉากตบเลือดกระฉูด ทำให้หล่อนรู้สึกปลอดภัยเสมอ ทุกครั้งที่รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนก็มักจะทำตัวเงียบราวกับในห้องพักไร้ผู้คน คติคือ “ไม่รู้ ไม่สน ไม่ซวย” แบบเดียวกับเหตุการณ์ในคืนนั้น หล่อนไม่อยากจะเห็นแม้ว่าตัวเองกำลังออนแอร์ในฐานะ เพื่อนข้างห้อง ของสองเหยื่อ
ดีที่ผ่านมาแล้วสองเดือน อีกเดี๋ยววิทย์ สามีก็จะกลับมาจากงานสังสรรค์ลูกค้าแล้ว หล่อนจะได้อุ่นใจหน่อย หล่อนนั่งเล่น นอนเล่นไปจนม่อยหลับคากองนิตยสารแต่งบ้านไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทั้งที่ไฟยังเปิดสว่างทุกดวง แล้วจู่ๆ กานดาก็ได้ยินเสียง รัวประตูหนักหน่วงจนสะดุ้งตื่น
“น้องคะ น้อง ช่วยพี่ด้วย ช่วยด้วย มันจะมาอีกแล้ว”
จู่ๆ ไฟในห้องก็กระพริบริบหรี่ ราวกับใครชักกระตุกแล้วดับมืด กานดารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือ มีบางอย่างล่วงล้ำใต้กระโปรง ลำคอตีบตันจนหายใจลำบาก หลอนพยายามร้องสุดเสียง “ช่วยด้วย”
ฆาตรกร "เงียบ"
“อีกละ อีห้องข้างๆ เนี่ย จะรัก จะฟัก หรือจะเหยียบกันจนซี่โครงหัก ก็เกรงใจกันบ้างสิ เนี่ยสันดานพริตตี้”
อารีย์ได้แต่สบถในใจ แต่ไม่คิดจะทำอะไรไปมากกว่านั้น เนื่องเพราะหล่อนเป็นคนรักสงบ และไม่ชอบมีปัญหาวุ่นวายกะใคร พอๆ กับไม่ชอบให้ใครวุ่นวาย หล่อนกำลังหงุดหงิดเป็นกำลังเพราะเช้าพรุ่งนี้มีนัดต้องไปสัมภาษณ์ไฮโซแม่ม่ายที่วัดป่าเชิงเลน เพื่อนำมาลงคอลัมน์ในนิตยสารที่ตัวเองทำงาน
อาชีพกองบรรณาธิการนิตยสาร เป็นอาชีพที่เหมาะกับนิสัยของหล่อนมาก เพราะไม่วุ่นวาย ไปถึงหน้างาน ช่างภาพก็ถ่ายรูปไป หล่อนก็สัมภาษณ์ไป กลับมาถอดเทป เขียนบทสัมภาษณ์ แล้วเลือกรูปประกอบจากโฟลเดอร์กลางซึ่งแชร์ข้อมูลให้ทุกคนเข้าถึงได้หมด ไม่ต้องไปโทรจิกถามกันกับช่างภาพให้น่ารำคาญใจกันทั้งสองฝ่าย ยิ่งอายุมากขึ้น หล่อนก็ยิ่งมีอิสระในการทำงาน เพราะเป็นซีเนียร์แล้ว น้องๆ เด็กๆ ไม่ค่อยมากวนใจ เพราะหล่อนมักจะปั้นหน้าเครียดตลอดเวลา จนไม่มีคนอยากจะเข้าหน้าด้วย เวลารับประทานอาหารกลางวัน หรือคนที่หนังสือรวมตัวกันไปคาราโอเกะ หล่อนก็ไม่แยแสจะมีเอี่ยว
หล่อนมาพำนักอยู่ที่อพาร์ตเมนต์แห่งนี้สองปีกว่าแล้ว กับเพื่อนข้างห้อง หรือคนร่วมชั้น ก็ไม่เคยทักทายกัน คิดเข้าข้างตัวเองว่า ดีแล้ว ไม่มีใครมาวุ่นวาย ต่างคนต่างอยู่ เช่นเดียวกับสาวสวยข้างห้อง ประสบการณ์ในการทำงานนิตยสารมาหลายปี ทำให้มองออกว่า สาวหน้าใส น้องใหม่มหาวิทยาลัยคนนี้ทำงานอยู่ในวงการพริตตี้ และยังมีข้อมูลที่ไม่อยากรับรู้พ่วงเข้ามาอีก เมื่อเสียงของเจ้าหล่อนมักจะทะลุทะลวงผ่านกำแพงบางๆ เข้ามาบ่อยๆ ทำให้เดาได้ว่า หล่อนมีเสี่ยเป็นสปอนเซอร์ให้ทั้ง เสื้อผ้า หน้า ผม รวมไปถึง นม ดั้ง ตั้งฉ่าย
นอกจากเสี่ยที่ได้ยินแต่เสียงห้าวๆ หล่อนยังมีกิ๊กอีกคน ที่ชอบมาเคาะประตูเรียกบ่อยๆ และนี่แหละที่เป็นปัญหาคาอกจนอยากจะถลกกนระโปรงถีบจริงๆ เมื่อเจ้าหล่อนสับรางสองหนุ่มกันวุ่นวาย คนนี้ออกไปตอนสี่ทุ่ม อีกคนมาตอนเที่ยงคืน สรรพเสียงทั้งเคาะประตู หยอกล้อ หรือเสียงยวบยาบเป็นจังหวะของเตียง กว่าจะหยุดก็หลังตีสอง บางวันยังมีรายการแอคชั่นวันละซีน ให้ได้ฟังด้วย ทั้งที่หล่อนถูกแฟนหนุ่มทุบตี ทั้งที่หล่อนเมาแล้วชวนแฟนทะเลาะ ขว้างปาข้าวของ เหนื่อยอารีย์ที่ต้องมาแกล้งกระแอม หรือปิดประตูห้องน้ำแรงๆ ปรามอยู่บ่อยๆ ซึ่งก็ใช่ว่าจะได้ผลมากมาย
คืนนี้ก็เช่นเดียวกัน อารีย์ทำทุกอย่างทั้งกระแอมจนคอแห้ง ปิดประตูดังๆ หลายปัง นางก็ไม่ยอมเลิกราการทะเลาะเบาะแว้ง แม้จะผิดหูไปหน่อย เพราะไม่ได้ยินเสียงฝ่ายชายพูดจาอะไร ได้ยินแต่เสียงตุ๊บตั๊บกัน และเสียงฝ่ายหญิ.งพยายามขัดขืนดิ้นรน แว่วๆ เหมือนจะได้ยินนางร้อง ช่วยด้วย แผ่วๆ แต่อารีย์ก็ไม่ได้นำพา เพราะกำลังของขึ้นที่มาตบตีกันตอนตีสาม นอกจากไม่สนใจแล้วยังแอบแช่งชักหักกระดูกให้ทุบแรงๆ ให้สลบกันไปเลย จะได้เงียบๆ อารีย์จะได้นอนสักตื่น เหมือนคำอธิษฐานจะเห็นผล ฝ่ายนั้นเงียบสนิทไปแล้ว อารีย์โล่งใจ ปิดไฟนอนไปถึงเช้า
หล่อนกลับมาห้องพักอีกครั้งเอาตอนสี่โมงเย็น หลังจากเตร็ดเตร่ไปเดินเล่นที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า เมื่อสัมภาษณ์งานเสร็จในช่วงสาย งานนิตยสารแสนจะสบาย แม้เงินเดือนจะไม่มาก แต่ไม่ต้องตอกบัตร เพียงรับผิดชอบคอลัมน์ต่างๆ ให้ลุล่วงตามไทม์ไลน์
หลังจัดการส้มตำปูดองของโปรดกับไก่ย่างจนอิ่มแปร้ ก็เริ่มหยิบม้วนเทปสัมภาษณ์มาเปิด เพื่อถอดสำนวนลงโน้ตบุ้กคู่มือ การถอดคำสนทนาร่วมชั่วโมง เพื่อจะนำมาเรียบเรียงเป็นบทสัมภาษณ์ขนาดสี่หน้าคู่ เป็นขั้นตอนที่ทั้งกินเวลา และน่าเบื่อหน่าย เพราะต้องใช้ทั้งสมาธิในการพิมพ์ร่วมกับฟัง ต้องคอยหยุด คอยกรอเทปไม่ถอยหลัง ก็เดินหน้าแทบจะทุกสามสี่นาที ทั้งยังต้องคอยทำเครื่องหมายในบางประโยคที่อาจจะต้องนำมารวมความกับบางคำตอบในคำถามอื่น เพื่อให้ได้ใจความที่สมบูรณ์ กว่าจะเสร็จก็ฟ้ามืดพอดี
เสียงก๊อกๆ ดังที่หน้าประตู ปลุกอารีย์ตื่น เหลือบมองนาฬิกาที่หน้าปัดมือถือ จึงพบว่าหล่อนแอบม่อยหลับคาโต๊ะทำงานไปหลายชั่วโมงจนตีสามของอีกวัน ท่ามกลางความงัวเงีย ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่วันนี้ น้องข้างห้องไม่ได้ทำเสียงดังใดๆ ยังไม่ทันได้นึกดีใจ หน้าห้องก็มีเสียงเคาะเรียกถี่รัวอย่างไม่เกรงใจ แม้จะนึกฉุนแต่ก็ยังไม่ตอบรับในทันที ค่อยเล่นงานพรุ่งนี้ด้วยการร้องเรียนอีเจ๊เจ้าของตึก หล่อนย่องไปในความมืดด้วยฝีเท้าเบากริบ อาศัยแสงจากไฟส่องทางนอกอาคารแทนการเปิดโคม เผื่อดีร้ายอย่างไรจะได้แสร้งเป็นหลับลึก หรือไม่อยู่ในห้องเพื่อกันปัญหา สอดสายตาผ่านช่องตาแมวที่หน้าประตู เห็นสาวเจ้าปัญหา สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง ใช้สองมือทุบหน้าประตูราวตีกลอง คงทะเลาะกะผัวเบอร์สองอีกน่ะสิ คิดขึ้นมาความโกรธก็แล่นริ้วขึ้นหน้า
“ มีอะไรน้อง ไม่เกรงใจเลยนะ ตีเท่าไหร่แล้ว”
อารีย์ตะคอกถามไปด้วยน้ำเสียงขุ่นไร้ความปราณี
“ พี่ช่วยหนูด้วย พี่ช่วยหนูด้วย”
เสียงเด็กสาวร้อนรน ราวกับโดนไฟจี้ที่จุดเร้นลับ
มันจะอะไรล่ะยะ….พล่าน หรือ ร่าน กันเนี่ย อารีย์ยังไม่ยอมเปิดประตูให้ แอบมองเพ่งไปที่ใบหน้าจึงพบว่า หล่อนมีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำวงเท่าปากแก้ว ส่วนปากที่เคยฉาบลิปสติกสีอินเทรนด์ บวมเจ่อ หน้ามอมยังกะไปตกหล่มที่ไหนมา แม้สภาพจะน่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่อารีย์นึกสมเพชแกมรำคาญเสียมากกว่า
“ พี่ช่วยอะไรไม่ได้หรอก เรื่องผัวเมีย กลัวมันก็กลับไปห้องล็อกประตูซะ แค่นี้นะ”
หล่อนผละมาที่เตียง ทำหูทวนลมกับเสียงเคาะประตูซ้ำๆ จนเงียบไปเอง พลิกตัวไปมาอยู่หลายคราก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหลับ มโนธรรมที่พอมีอยู่บ้างได้ผุดพรายขึ้นมาชี้หน้าตำหนิตัวเองจนยากข่มใจ แอบย่องไปที่ประตูอีกครั้ง มองลอดตาแมวออกไป ค่อยโล่งใจขึ้นเมือไม่พบเด็กสาวเจ้าปัญหา ‘ดี ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตายตาห้อง’ อารีย์ถอนใจแล้วหมุนตัวมา หยิบขวดพาราเซตตามอนที่ตั้งอยู่บนตู้เย็นข้างๆ เทเม็ดยาแล้วกลั้วน้ำก้นขวดที่ตั้งอยู่ติดกัน หวังให้หลับไปถึงเช้า
อารีย์เปิดประตูห้องอย่างร้อนรน ผมสั้นยังเปียกหมาดเพราะเช็ดอย่างลวกๆ หยดน้ำยังไหลหยดลงเกาะหางคิ้วข้างหนึ่ง เธอรีบสุดชีวิตเพราะตื่นสายจวนจะเลยนัดถ่ายงานที่สตูดิโอ รนเพราะกลัวจะโดนช่างภาพรุ่นเด็กค่อนขอด จังหวะที่ถลันออกมาพอดีได้เห็นชายหนุ่มที่คาดว่าจะเป็นคู่วิวาทของสาวเมื่อคืน กำลังเคาะประตูห้องติดกัน
“ พี่ เมื่อคืนยุกลับมาไหมครับ เนี่ยผมเรียกตั้งนานแล้วไม่เปิดประตูเลย”
“ไม่รู้ นอนแล้ว”
หล่อนตอบเสียงสะบัด พร้อมจ้ำอ้าวกึ่งวิ่งลงบันได แล้วขึ้นขี่ท้ายมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่จอดรอ
วันนั้นทั้งวันอารีย์ต้องเร่งจัดเซ็ตผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าของปารีส จดเครดิตและรายการที่นำมาถ่ายภาพในสตูดิโอสำหรับเนื้อหาของเดือนหน้า ปิดต้นฉบับคอลัมน์ต่างๆ ทั้งของตัวเองซึ่งเสร็จเกือบหมดก่อนเดทไลน์ และของคนในกองอีกคนที่บังเอิญแอดมิทเข้าโรงพยาบาล อย่างเสียไม่ได้ กว่าจะถึงบ้านก็สามทุ่ม จะอาบน้ำเสียหน่อย แต่เมื่อได้แอร์เย็นๆ ก็ม่อยหลับยาว
“ พี่ช่วยด้วย มันจะมาอีกแล้ว พี่!”
เสียงเคาะประตู และเสียงสาวพริตตี้ดังชัดเหมือนอยู่ใกล้หู ทำเอาอารีย์เหลืออด ลุกขึ้นกาวสวบๆ กระชากประตูด้วยแรงโทสะ กะว่าจะด่าให้แรงได้แรงอก แด่ก็ต้องงงงันเมื่อไม่พบใคร หล่อนชะโงกหัวมองทั้งซ้าย ขวา ก็เจอแค่ทางเดินว่างเปล่า และค่ำคืนวังเวง เสียงหวีดร้องของแมวที่ตกลงบนหลังคาสังกะสีของบ้านใกล้ๆ ยิ่งชวนขนลุกจนจ้องห่อตัว ก่อน จะหลุขเข้ามาในห้อง หลอดนีออนหน้าประตูห้องสาวพริตตี้กระพริบริบหรี่แล้วดับสนิทคาตา อารีย์เดินกลับมา รู้สึกว่าในห้องอากาศหนาวยะเยือกกว่าปกติ หล่อนคงจับไข้แน่ๆ จึงปิดเครื่องปรับอากาศ แล้วเปิดบานกระจกริมระเบียงเพื่อระบายความหนาว อาศัยแสงสว่างรำไรจากริมถนน ควานๆ หายาบรรเทาไข้ กินไปสองเม็ดตามด้วยน้ำอีกอึกใหญ่
ในความสลึมสลือ อารีย์รู้สึกร่างกายเหมือนถูกกดทับจนหายใจไม่ออก เมื่อลืมตาจึงพอเห็นรางๆ ว่าใครคนหนึ่งกำลังขึ้นคร่อม มันพยามยามใช้มือสอดใส่ล่วงล้ำในส่วนสงวน ในขณะที่อีกมือกุมลำคอจนแทบหายใจไม่ออก ในสติสุดท้ายที่ยังพอมีเหลือ อารีย์ตะโกนสุดเสียง ขอความช่วยเหลือ แต่น่าเศร้ายิ่ง เมื่อเสียงที่เล็ดรอดออกมานั้นเบายิ่งกว่าเสียงจุ๊ของจิ้งจกบนผนัง หูแว่วเสียงกระแอมของห้องข้างๆ คล้ายรำคาญในความขวัญอ่อนของหล่อนเสียเต็มประดา สำนึกสุดท้ายที่รู้สึกคือความมืดมนชวนอึดอัด และลมหายใจติดขัด
“ปล้ำ ฆ่า สยอง สองศพคาห้องพัก หลังจากสืบพยานมาพักใหญ่ ตำรวจสรุปรูปคดีแล้วว่า เหตุฆาตรกรรมสยองขวัญกลางซอยฝั่งธน เป็นฝีมือของคนเดียวกัน ฆาตรกรเป็นช่างซ่อมแอร์ ทีเคยเข้ามาล้างแอร์ในอพาร์ตเมนต์ และได้อาศัย ช่วงระเบียงที่ติดต่อกันของห้องพัก แอบเข้ามางัดแงะประตูบานเลื่อน แล้วเข้ามาขืนใจเหยื่อในยามวิกาล โดยเหยื่อรายแรกนั้นเสียชีวิตก่อนรายที่สอง ร่วมสองวัน ในที่เกิดเหตุ ห้องข้างๆ ให้การว่า คืนเกิดเหตุ ได้ยินเสียงการต่อสู้ แต่ตนไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติชองผัวเมียตีกัน ”
กานดา รีบหยิบรีโมทมาเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ทันที การอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่มีเรื่องราวแบบนี้ก็ชวนขนพองสยองขวัญพออยู่แล้ว หล่อนไม่อยากรับรู้อีก แม้ว่าในไม่ถึงชั่วโมง ลดหกล้อที่ว่าจ้างจะมาขนของล็อตสุดท้าย แล้วหล่อนก็จะได้ย้ายไปอยู่คอนโดมิเนียมเลียบสถานีรถไฟฟ้าที่เพิ่งสร้างเสร็จ ลากันทีชีวิตโลว์โซ ที่ต้องทนกับเสียงฝรั่งขี้เหล้าชอบตีเมียเช่า และเด็กเชียร์เบียร์ใจแตก ความอดทนสุดท้ายที่หล่อนต้องกล้ำกลืนด้วยความนิ่งเฉยมาตลอดห้าเดือนกำลังจะสิ้นสุด การทำหูทวนลม ทำให้คลาดแคล้วจากการฆาตรกรรมในทุกกรณี ก็เพราะหล่อนเพิกเฉยแม้จะได้ยินเสียงวิวาท หรือแอบมองลอดตาแมวแล้วเห็นฉากตบเลือดกระฉูด ทำให้หล่อนรู้สึกปลอดภัยเสมอ ทุกครั้งที่รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนก็มักจะทำตัวเงียบราวกับในห้องพักไร้ผู้คน คติคือ “ไม่รู้ ไม่สน ไม่ซวย” แบบเดียวกับเหตุการณ์ในคืนนั้น หล่อนไม่อยากจะเห็นแม้ว่าตัวเองกำลังออนแอร์ในฐานะ เพื่อนข้างห้อง ของสองเหยื่อ
ดีที่ผ่านมาแล้วสองเดือน อีกเดี๋ยววิทย์ สามีก็จะกลับมาจากงานสังสรรค์ลูกค้าแล้ว หล่อนจะได้อุ่นใจหน่อย หล่อนนั่งเล่น นอนเล่นไปจนม่อยหลับคากองนิตยสารแต่งบ้านไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทั้งที่ไฟยังเปิดสว่างทุกดวง แล้วจู่ๆ กานดาก็ได้ยินเสียง รัวประตูหนักหน่วงจนสะดุ้งตื่น
“น้องคะ น้อง ช่วยพี่ด้วย ช่วยด้วย มันจะมาอีกแล้ว”
จู่ๆ ไฟในห้องก็กระพริบริบหรี่ ราวกับใครชักกระตุกแล้วดับมืด กานดารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือ มีบางอย่างล่วงล้ำใต้กระโปรง ลำคอตีบตันจนหายใจลำบาก หลอนพยายามร้องสุดเสียง “ช่วยด้วย”