คนเฒ่าคนแก่สมัยก่อนเชื่อฟังวาจาครูบาอาจารย์ที่เป็นพระปฏิบัติดีปฎิบัติชอบ ท่านให้ว่าพุทโธๆ แกก็ว่าพุทโธๆ ให้ถือศีลก็ทำตาม ไม่ค่อยกล้าเถียง อย่างมากก็แอบดื้อ พอมีเวลาว่างก็ไปนั่งมองพระพุทธรูป ตอนเช้าทำอาหารคาวหวานไปใส่บาตร มีงานวัดไปก่อเจดีย์ทรายและไปฟังเทศน์มหาชาติ พอแก่ตัวมากๆก็หวังให้ลูกหลานบวชให้จะได้เป็นญาติกับพระพุทธ สิ่งเหล่านี้ในสมัยนี้ในสายตาเราๆท่านๆ จะว่างมงายก็จริง แต่ถามว่างมงายแบบนี้มันดีไหม? ซึ่งสำหรับตัวผมเองที่เป็นคนปัญญาน้อย ผมยินดีที่จะงมงายตามผู้เฒ่าผู้แก่เหล่านั้นครับ
คนเราเดี๋ยวนี้อะไรๆก็จะเอาแต่แก่น อยากจะได้แก่นไม้และก็เข้าใจว่าแก่นไม้นั้นเป็นอย่างไร ติดอย่างเดียวคือไม่ลงมือฟันต้นไม้ เลยไม่ได้ทั้งเปลือกและกระพี้ของต้นไม้เหล่านั้น ปัจจุบันเอาแต่ถกเถียงว่าแก่นศาสนาพุทธเป็นอย่างไร ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งทำให้เรามองข้ามไปว่าพระธรรมในพระไตรปิฏกทั้ง 84000
พระธรรมขันธ์ ให้เลือกได้ตามอัธยาศัย ท่านก็เลือกไปใช้ที่เหมาะแก่ภูมิธรรมของตนก็สามารถพ้นทุกข์ได้ ไม่จำเป็นต้องมาเถียงกันในส่วนนี้เลย ครูบาอาจารย์หลายองค์ท่านก็พ้นทุกข์ไปแล้ว ด้วยพระไตรปิฏกเล่มนี้ ไม่เห็นต้องมาถกเถียงกันวุ่นวายเลย
คนสมัยก่อนเขาเริ่มฟันกิ่งฟันเปลือกไม้กันไปแล้วและหลายคนคงได้เห็นแก่นไม้แล้วอย่างแน่นอน เมื่อไหร่คนสมัยใหม่ที่ได้ชื่อว่ามีปัญญามากกว่าคนสมัยก่อนและเป็นผู้ไม่งมงาย จะเริ่มฟันเปลือกไม้กันซักทีครับ หรือจะเอาแต่จินตนาการแก่นไม้ว่าเป็นอย่างไร
"ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าเถิดว่า บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หลวงตาก็แก่มากแล้ว ยิ่งห่วงลูกหลานชาวไทยมากขึ้นทุกวัน"
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
"จงเชื่อเถิดว่า บาปมี บุญมี สรรค์มี นรกมี
ผู้ที่สร้างบาปก็เหมือนกับการดื่มยาพิษ
อย่างไรเสียย่อมได้รับโทษภัย
เพียงแต่ว่ายาพิษนั้นจะส่งผลเร็วหรือช้า
ไม่อยากเค็มไปกินเกลือมันก็เค็ม
ไม่อยากบาปไปทำบาปมันก็บาป
แม้ในบุคคลที่รู้จักสร้างบุญสร้างกุศล
เมื่อถึงเวลาหนึ่งอาจทำในเรื่องที่ต้องตกนรกได้
ด้วยไม่รู้ว่า ทำไปแล้วผลนั้นเป็นภัยต่อตนเอง
เมื่อเชื่อแน่ว่าสวรรค์มี นรกมี
ก็ควรศึกษาว่าทำอย่างไรจักเป็นบุญ ทำอย่างไรจักเป็นบาป
เมื่อรู้แล้วว่าอะไรไม่ควรก็ให้ละเว้นเสีย
นั้นจึงเรียกได้ว่า เป็นผู้ไม่สร้างภัยแก่ตนเอง"
หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เดี๋ยวนี้คนสมัยใหม่ส่วนมากมีปัญญามากแต่คงลงนรกมากกว่าคนสมัยก่อน
คนเราเดี๋ยวนี้อะไรๆก็จะเอาแต่แก่น อยากจะได้แก่นไม้และก็เข้าใจว่าแก่นไม้นั้นเป็นอย่างไร ติดอย่างเดียวคือไม่ลงมือฟันต้นไม้ เลยไม่ได้ทั้งเปลือกและกระพี้ของต้นไม้เหล่านั้น ปัจจุบันเอาแต่ถกเถียงว่าแก่นศาสนาพุทธเป็นอย่างไร ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งทำให้เรามองข้ามไปว่าพระธรรมในพระไตรปิฏกทั้ง 84000
พระธรรมขันธ์ ให้เลือกได้ตามอัธยาศัย ท่านก็เลือกไปใช้ที่เหมาะแก่ภูมิธรรมของตนก็สามารถพ้นทุกข์ได้ ไม่จำเป็นต้องมาเถียงกันในส่วนนี้เลย ครูบาอาจารย์หลายองค์ท่านก็พ้นทุกข์ไปแล้ว ด้วยพระไตรปิฏกเล่มนี้ ไม่เห็นต้องมาถกเถียงกันวุ่นวายเลย
คนสมัยก่อนเขาเริ่มฟันกิ่งฟันเปลือกไม้กันไปแล้วและหลายคนคงได้เห็นแก่นไม้แล้วอย่างแน่นอน เมื่อไหร่คนสมัยใหม่ที่ได้ชื่อว่ามีปัญญามากกว่าคนสมัยก่อนและเป็นผู้ไม่งมงาย จะเริ่มฟันเปลือกไม้กันซักทีครับ หรือจะเอาแต่จินตนาการแก่นไม้ว่าเป็นอย่างไร
"ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าเถิดว่า บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หลวงตาก็แก่มากแล้ว ยิ่งห่วงลูกหลานชาวไทยมากขึ้นทุกวัน"
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
"จงเชื่อเถิดว่า บาปมี บุญมี สรรค์มี นรกมี
ผู้ที่สร้างบาปก็เหมือนกับการดื่มยาพิษ
อย่างไรเสียย่อมได้รับโทษภัย
เพียงแต่ว่ายาพิษนั้นจะส่งผลเร็วหรือช้า
ไม่อยากเค็มไปกินเกลือมันก็เค็ม
ไม่อยากบาปไปทำบาปมันก็บาป
แม้ในบุคคลที่รู้จักสร้างบุญสร้างกุศล
เมื่อถึงเวลาหนึ่งอาจทำในเรื่องที่ต้องตกนรกได้
ด้วยไม่รู้ว่า ทำไปแล้วผลนั้นเป็นภัยต่อตนเอง
เมื่อเชื่อแน่ว่าสวรรค์มี นรกมี
ก็ควรศึกษาว่าทำอย่างไรจักเป็นบุญ ทำอย่างไรจักเป็นบาป
เมื่อรู้แล้วว่าอะไรไม่ควรก็ให้ละเว้นเสีย
นั้นจึงเรียกได้ว่า เป็นผู้ไม่สร้างภัยแก่ตนเอง"
หลวงปู่ศรี มหาวีโร