จากมติชนออนไลน์ แปล-เรียบเรียงจาก รายงานข่าวของแมรี่ แอน โจลลีย์ เว็บไซต์
http://thediplomat.com/ เราติดแท็กอาวุธ เพราะเห็นเป็นเรื่องเผด็จการทหารค่ะ
เมื่อผู้แปรพักตร์ชาวเกาหลีเหนือวัย 21 ปี ยอนมิ พาร์ค ปรากฏตัวบนเวทีระดับโลกในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาโดยบอกเล่าเรื่องราวชีวิตแสนรันทด ภายใต้การจำกัด เสรีภาพของระบอบเผด็จการเกาหลีเหนือ และการหลบหนีที่เสี่ยงอันตรายเพื่ออิสรภาพ ทำให้ผู้ฟังหลายคน, ทั้งนักสิทธิมนุษยชน และนักข่าวต้องน้ำตาซึม
เธอปรากฏตัวในชุดประจำชาติเกาหลีในการกล่าวปาฐกถาในงานประชุม
"วันยังเวิล์ด" ที่กรุงดับลิน ขณะที่เธออยู่บนเวทีเธอต้องหยุดพูดกลางคันหลายครั้ง เพื่อซับน้ำตาจากใบหน้าของเธอและรวบรวมสติเพื่อเล่าเรื่องราวของการถูกล้างสมองเธอ, การได้ชมการประหารชีวิต, ความอดอยาก และแสงสว่างรำไร
ท่ามกลางความมืดเมื่อเธอได้ชมภาพยนตร์ฮอลลีวูดซึ่งทำเงินมหาศาลอย่าง
"ไททานิค" ซึ่งทำให้เธอรับรู้ถึงโลกภายนอกที่ความรักเป็นเรื่องที่เป็นไปได้, รวมถึงการได้เห็นแม่ของเธอถูกข่มขืน, การต้องฝังศพพ่อของเธอเมื่อเธออายุ ได้เพียง 14 ปี และการที่เธอขู่ว่าจะฆ่าตัวตายแทนที่จะยอมให้ทหารมองโกเลียส่งตัวเธอกลับเกาหลีเหนือ เธอเล่าถึงการเดินทางตามดวงดาวเพื่อแสวงหาเสรีภาพ และปิดท้ายด้วยประโยคทองของเธอ
"เมื่อฉันต้องเดินข้ามทะเลทรายโกบี ด้วยความหวาดกลัวต่อความตาย ฉันคิดว่าคงไม่มีใครสนใจฉัน แต่คุณได้ฟังเรื่องราวของฉัน, คุณได้เหลียวแลฉันแล้ว"
คุณคงไม่ใช่มนุษย์ถ้าไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องราวของเธอ....
...แต่ (และคุณจะได้ยิน คำว่า "แต่" อีกหลายครั้ง)
เรื่องราวของเธอในเกาหลีเหนือมีความจริงเท็จแค่ไหน ยิ่งฉันได้อ่านและชมการให้สัมภาษณ์ของเธอฉันยิ่งพบความไม่สอดคล้องของ เรื่องราวอย่างร้ายแรง เรื่องนี้จะสำคัญสำหรับท่านผู้อ่านหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ
แต่ฉันคิดว่าหากคนดังเช่นเธอบิดเบือนเรื่องราวเพื่อให้สอดคล้องกับ
"เรื่องเล่า" ที่พวกเราคาดหวังที่จะได้ยินจากผู้แปรพักตร์ของเกาหลีเหนือ ทัศนคติของเราต่อเกาหลีเหนือจะเอนเอียงจนเป็นปัญหา เราจะต้องได้รับรู้ภาพการมีชีวิตในเกาหลีเหนืออย่างแท้จริงและถูกต้อง หากเราต้องการจะช่วยเหลือ พวกเขาจากนรกภายใต้ระบอบที่ทารุณ และช่วยเหลือผู้ที่พยายามจะหลบหนีจริงๆ
เรื่องเล่าสุดประหลาดของสาวโสมแดงลี้ภัย "ยอนมิ พาร์ค" ดราม่าเผด็จการเกาหลีเหนือ เรื่องจริงหรือคำโกหก?
เมื่อผู้แปรพักตร์ชาวเกาหลีเหนือวัย 21 ปี ยอนมิ พาร์ค ปรากฏตัวบนเวทีระดับโลกในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาโดยบอกเล่าเรื่องราวชีวิตแสนรันทด ภายใต้การจำกัด เสรีภาพของระบอบเผด็จการเกาหลีเหนือ และการหลบหนีที่เสี่ยงอันตรายเพื่ออิสรภาพ ทำให้ผู้ฟังหลายคน, ทั้งนักสิทธิมนุษยชน และนักข่าวต้องน้ำตาซึม
เธอปรากฏตัวในชุดประจำชาติเกาหลีในการกล่าวปาฐกถาในงานประชุม"วันยังเวิล์ด" ที่กรุงดับลิน ขณะที่เธออยู่บนเวทีเธอต้องหยุดพูดกลางคันหลายครั้ง เพื่อซับน้ำตาจากใบหน้าของเธอและรวบรวมสติเพื่อเล่าเรื่องราวของการถูกล้างสมองเธอ, การได้ชมการประหารชีวิต, ความอดอยาก และแสงสว่างรำไร
ท่ามกลางความมืดเมื่อเธอได้ชมภาพยนตร์ฮอลลีวูดซึ่งทำเงินมหาศาลอย่าง "ไททานิค" ซึ่งทำให้เธอรับรู้ถึงโลกภายนอกที่ความรักเป็นเรื่องที่เป็นไปได้, รวมถึงการได้เห็นแม่ของเธอถูกข่มขืน, การต้องฝังศพพ่อของเธอเมื่อเธออายุ ได้เพียง 14 ปี และการที่เธอขู่ว่าจะฆ่าตัวตายแทนที่จะยอมให้ทหารมองโกเลียส่งตัวเธอกลับเกาหลีเหนือ เธอเล่าถึงการเดินทางตามดวงดาวเพื่อแสวงหาเสรีภาพ และปิดท้ายด้วยประโยคทองของเธอ "เมื่อฉันต้องเดินข้ามทะเลทรายโกบี ด้วยความหวาดกลัวต่อความตาย ฉันคิดว่าคงไม่มีใครสนใจฉัน แต่คุณได้ฟังเรื่องราวของฉัน, คุณได้เหลียวแลฉันแล้ว"
คุณคงไม่ใช่มนุษย์ถ้าไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องราวของเธอ....
...แต่ (และคุณจะได้ยิน คำว่า "แต่" อีกหลายครั้ง) เรื่องราวของเธอในเกาหลีเหนือมีความจริงเท็จแค่ไหน ยิ่งฉันได้อ่านและชมการให้สัมภาษณ์ของเธอฉันยิ่งพบความไม่สอดคล้องของ เรื่องราวอย่างร้ายแรง เรื่องนี้จะสำคัญสำหรับท่านผู้อ่านหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ
แต่ฉันคิดว่าหากคนดังเช่นเธอบิดเบือนเรื่องราวเพื่อให้สอดคล้องกับ "เรื่องเล่า" ที่พวกเราคาดหวังที่จะได้ยินจากผู้แปรพักตร์ของเกาหลีเหนือ ทัศนคติของเราต่อเกาหลีเหนือจะเอนเอียงจนเป็นปัญหา เราจะต้องได้รับรู้ภาพการมีชีวิตในเกาหลีเหนืออย่างแท้จริงและถูกต้อง หากเราต้องการจะช่วยเหลือ พวกเขาจากนรกภายใต้ระบอบที่ทารุณ และช่วยเหลือผู้ที่พยายามจะหลบหนีจริงๆ