ความจริงเพื่อนสมาชิกหลังไมค์มาถามหลายวันแล้ว
แต่ผมขอเลื่อนเวลา เพื่อให้กระทู้เกี่ยวกับหุ้นดิ่งเหว นับร้อยๆกระทู้ ให้ซาลงบ้างค่อยตอบ
ถ้าแสดงตัวได้ อยากให้เจ้าของคำถามแสดงตัว
ไม่งั้น คนจะหาว่า หลังไมค์มาถามตัวเอง แล้วก็ตอบเอง ฮาฮา
ขอแยกเป็นท่อนๆ แล้วตอบดังนี้ครับ
สมาชิกหมายเลข ..............., วันจันทร์ เวลา 08:43 น. [IP : 223.206......... ] Block
สูตรที่คุณแนะนำ ส่วนของผู้ถือหุ้น-หนี้สินรวม หาร จำนวนหุ้น หารสอง
สูตรนี้ถูกมั้ยครับ?
แล้วเมื่อหารออกมานั่นคือราคาที่แท้จริงที่ควรจะซื้อเหรอครับ?? ผมลองทำ บางตัวก็ติดลบ...
คำตอบ
จริงๆแล้ว ผมเริ่มคิดแบบนั้น หลังช่วงฟองสบู่แตก
ซึ่งหุ้นทุกกลุ่มถูกขายเลหลังแบบทิ้งกันทุกราคา ที่มีเสนอซื้อ
โดยคนขาย ได้รับแรงกดดันบางอย่างที่เราไม่รู้
พอเราไม่รู้ว่า คนอื่นขายทำไม
ผมก็จะพยายามหาเหตุผลให้ได้ว่า ทำไมเราควรซื้อ ???
ทำไมเราควรซื้อ สำหรับผม
มันไม่ใช่แค่ราคาถูกสุดๆ จากที่มันเคยลงมา
เพราะถ้าคิดแบบนั้น แล้วเข้าไปซื้อหุ้นธนาคารมหานคร ธนสยาม เฟิร์สทรัสต์ เอกธนกิจ ฯลฯ
เพียงเพราะว่าราคาหุ้นถูกเป็นบ้าเลย
สุดท้าย จะเหลือแต่ใบหุ้น มาทำวอลเปเปอร์
ช่วงนั้น หลักคิดในการซื้อหุ้นบางตัวคือ
ถ้าเอาบริษัทนี้มาเลหลังขายทอดตลาด
จะเหลือแบ่งเงินกันคนละเท่าไร
ก็เลยต้องคิดแบบที่ว่า ไม่น่าจะมีอะไรที่เลวร้ายกว่านั้นแล้ว
ขอย้ำว่า แนวรับสุดท้ายในการซื้อหุ้นของผม ผมมั่ว เอ๊ยคิดขึ้นมาเองครับ
ถ้าหลุดแนวรับนี้แล้ว ก็ได้แต่รอลุ้นว่า
ต่อไป จะรวยหรือไม่ก็ได้ใบหุ้นมาทำวอลเปเปอร์
สองตัวที่ได้หุ้นมาที่แนวรับสุดท้าย ในตอนฟองสบู่แตกก็คือ
csr กับ jct
อีกเรื่องที่สำคัญมากๆๆๆๆก็คือ ต้องอย่าลืมนึกถึงผลประกอบการตอนนั้นด้วยว่า
มันจะขาดทุนหนักมาก จนกัดกินสินทรัพย์ที่บริษัทมีอยู่ จนหมดหรือไม่
เรื่องผลประกอบการขาดทุนหนักๆ อย่างยืดเยื้อ เป็นเหตุผลที่ผมตัดสินใจขายขาดทุนหุ้น YCI มาซื้อ TPP
ในราคาหุ้นที่ใกล้เคียงกัน
สำหรับราคาหุ้นตอนนี้ ซึ่งไม่ใช่สภาวะฟองสบู่แตก
คงไม่มีหุ้นที่มีราคา ลงไปถึงแนวรับสุดท้ัายอีกแล้ว
หาได้แค่ แนวรับก่อนหน้านั้นเช่น
ราคาหุ้นมีแต้มต่อ ด้าน พีอี พีบีวี ยีลด์ปันผล
และ ที่ผมให้ความสำคัญมาตลอดก็คือ ต้องมีหนี้สินต่อทุนต่ำสุดๆ
ส่วนแนวรับก่อนหน้านั้น ก็ประมาณว่า
ราคาหุ้นมีพีอีพอดูได้ และมียีลด์ปันผล ดีกว่าธนาคารซักสองเท่า
ถ้าจะให้สรุป
ผมว่าทุกคน ต้องหาแนวรับกันเอาเองครับ
คนเก่งกราฟ
ก็ต้องหาแนวรับจากกราฟ ที่ใช้เป็นแนวรับแล้วได้ผลดี อย่างน้อยเจ็ดในสิบครั้ง
ถ้าแค่ห้าครั้งในสิบครั้ง โยนหัว โยนก้อยน่าจะดีกว่า
คนเก่งวีไอ
ก็ต้องหาแนวรับจากราคาหุ้น ที่มีแต้มต่อเมื่อเทียบกับผลประกอบการปัจจุบัน และอนาคตของบริษัท
คนเก่งจิตวิทยามวลชน
ก็หาแนวรับจาก สินธรอินดิเคเตอร์
เช่นคนบ่นติดดอยมากๆ ก็ซื้อ คนบอก gooddd มากๆ ก็ขาย
คนเก่ง ฯลฯ ก็หาแนวรับจาก
จินตนาการส่วนตัว ที่มีความรู้และประสพการณ์แนวตั้งหนุนหลัง เป็นต้น
ทางใคร ทางมัน
วิธีของผม คนอื่นทำแล้ว อาจจะเสียสุขภาพจิต
และส่งผลร้ายให้หลักคิดในการซื้อหุ้นของตัวเอง เกิดความเสียหายได้
หรือพอจะมีหนทางอื่นพอที่จะแนะนำในการเปรียบเทียบหุ้นใน sector เดียวกันมั้ยครับ
ขอบคุณครับผม 😊
คำตอบ
ส่วนใหญ่ ไม่ได้เปรียบเทียบกับหุ้นหมวดเดียวกัน
แต่จะเปรียบเทียบราคาหุ้นของบริษัทนั้นๆ
กับสิ่งที่มีอยู่ในบริษัทจริงๆ กับยีลด์ปันผลของบริษัทอื่นๆ ที่มีราคาหุ้นใกล้เคียงกัน
แล้วก็ซื้อขาย สลับเปลี่ยนแต้มต่อไปมา
ทำได้แค่
เปรียบเทียบจากอดีตมาปัจจุบัน
ส่วนจะเปรียบเทียบต่อไปในอนาคต ยอมรับว่า หาไม่ค่อยเป็นครับ
เลยไม่เคยกล้าเข้าซื้อหุ้นที่เขาบอกว่า มันจะเติบโตในอนาคต แล้วเชียร์กันตอนที่มันมีราคาไปรอรับอนาคตแล้ว
ผมเคยใช้วิธีนี้สลับหุ้นแบบข้างต้น จากเปรียบเทียบยีลด์ปันผล
จนทุกวันนี้มีหุ้นฟรี
tndt เหลือจากขายทำกำไร อยู่สองแสนหุ้น พาร์สิบบาท
maco เหลือจากขายทำกำไรทั้งตัวแม่และวอร์แรนท์ อยู่หนึ่งล้านหุ้น พาร์หนึ่งบาท
แต่บางที คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต
ผมซื้อไอเฟค เพราะหวังกินปันผล และกล้าถือยาวเท่านั้น
ไปๆมาๆ เขาเล่นกันที่ราคาอนาคต เพื่อรอผลประกอบการในอนาคต
ก็เลยได้เกินทีแค่อยากถือกินปันผลไปไกลมากกกกกกก
จะรอขายให้คนอื่นๆ เอาไปเล่นกันต่อที่
ราคาอนาคต เพื่อรอผลประกอบการในอนาคต
เพราะเราหาผลประกอบการอนาคตไม่แม่น ก็ขอเอาเงินจริงออกมา
กลับไปมองหาหุ้นที่เราถนัด ลงทุนแล้วไม่เสียสุขภาพจิตแทนดีกว่า
คนอื่นรวยเพราะมองอนาคตเก่ง ก็ถือว่าคนอื่นเก่งกว่าเราก็แล้วกัน
แถมท้ายอีกนิด
หลักคิดจากเรื่องแนวรับสุดท้าย ที่ได้มาจากยุคฟองสบูแตก ปี 2540
เมื่อสี่ห้าปีก่อน ได้นำมาใช้กับหุ้นอีกตัวหนึ่ง
ซึ่งลงท้าย ทำกำไรส่วนเกินทุนได้ประมาณสองล้านบาท
ลองดูตามภาพประกอบ ลองสังเกตุดูช่วงที่ขาดทุนหนัก ขาดทุนเท่าไร
แต่ผมก็กล้าเก็บจนมาเป็นกำไร เพราะเชื่อว่า ราคาหุ้นที่ซื้อ น่าจะเป็นแนวรับสุดท้าย
๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ ตอบคำถามว่าด้วยเรื่อง "แนวรับสุดท้ายในการซื้อหุ้น" (แบบมวยวัด)
แต่ผมขอเลื่อนเวลา เพื่อให้กระทู้เกี่ยวกับหุ้นดิ่งเหว นับร้อยๆกระทู้ ให้ซาลงบ้างค่อยตอบ
ถ้าแสดงตัวได้ อยากให้เจ้าของคำถามแสดงตัว
ไม่งั้น คนจะหาว่า หลังไมค์มาถามตัวเอง แล้วก็ตอบเอง ฮาฮา
ขอแยกเป็นท่อนๆ แล้วตอบดังนี้ครับ
สมาชิกหมายเลข ..............., วันจันทร์ เวลา 08:43 น. [IP : 223.206......... ] Block
สูตรที่คุณแนะนำ ส่วนของผู้ถือหุ้น-หนี้สินรวม หาร จำนวนหุ้น หารสอง
สูตรนี้ถูกมั้ยครับ?
ผมคิดแบบนั้นครับ ต้องบอกก่อนว่า เป็นการคิดเอาเองแบบไม่มีในตำราการลงทุนเล่มไหนสอนไว้ ?
จริงๆ ผมลืมใส่คำว่า "แบบมวยวัด" เข้าไปด้วย
แล้วเมื่อหารออกมานั่นคือราคาที่แท้จริงที่ควรจะซื้อเหรอครับ?? ผมลองทำ บางตัวก็ติดลบ...
จริงๆแล้ว ผมเริ่มคิดแบบนั้น หลังช่วงฟองสบู่แตก
ซึ่งหุ้นทุกกลุ่มถูกขายเลหลังแบบทิ้งกันทุกราคา ที่มีเสนอซื้อ
โดยคนขาย ได้รับแรงกดดันบางอย่างที่เราไม่รู้
พอเราไม่รู้ว่า คนอื่นขายทำไม
ผมก็จะพยายามหาเหตุผลให้ได้ว่า ทำไมเราควรซื้อ ???
ทำไมเราควรซื้อ สำหรับผม
มันไม่ใช่แค่ราคาถูกสุดๆ จากที่มันเคยลงมา
เพราะถ้าคิดแบบนั้น แล้วเข้าไปซื้อหุ้นธนาคารมหานคร ธนสยาม เฟิร์สทรัสต์ เอกธนกิจ ฯลฯ
เพียงเพราะว่าราคาหุ้นถูกเป็นบ้าเลย
สุดท้าย จะเหลือแต่ใบหุ้น มาทำวอลเปเปอร์
ช่วงนั้น หลักคิดในการซื้อหุ้นบางตัวคือ
ถ้าเอาบริษัทนี้มาเลหลังขายทอดตลาด
จะเหลือแบ่งเงินกันคนละเท่าไร
ก็เลยต้องคิดแบบที่ว่า ไม่น่าจะมีอะไรที่เลวร้ายกว่านั้นแล้ว
ขอย้ำว่า แนวรับสุดท้ายในการซื้อหุ้นของผม ผมมั่ว เอ๊ยคิดขึ้นมาเองครับ
ถ้าหลุดแนวรับนี้แล้ว ก็ได้แต่รอลุ้นว่า
ต่อไป จะรวยหรือไม่ก็ได้ใบหุ้นมาทำวอลเปเปอร์
สองตัวที่ได้หุ้นมาที่แนวรับสุดท้าย ในตอนฟองสบู่แตกก็คือ
csr กับ jct
อีกเรื่องที่สำคัญมากๆๆๆๆก็คือ ต้องอย่าลืมนึกถึงผลประกอบการตอนนั้นด้วยว่า
มันจะขาดทุนหนักมาก จนกัดกินสินทรัพย์ที่บริษัทมีอยู่ จนหมดหรือไม่
เรื่องผลประกอบการขาดทุนหนักๆ อย่างยืดเยื้อ เป็นเหตุผลที่ผมตัดสินใจขายขาดทุนหุ้น YCI มาซื้อ TPP
ในราคาหุ้นที่ใกล้เคียงกัน
สำหรับราคาหุ้นตอนนี้ ซึ่งไม่ใช่สภาวะฟองสบู่แตก
คงไม่มีหุ้นที่มีราคา ลงไปถึงแนวรับสุดท้ัายอีกแล้ว
หาได้แค่ แนวรับก่อนหน้านั้นเช่น
ราคาหุ้นมีแต้มต่อ ด้าน พีอี พีบีวี ยีลด์ปันผล
และ ที่ผมให้ความสำคัญมาตลอดก็คือ ต้องมีหนี้สินต่อทุนต่ำสุดๆ
ส่วนแนวรับก่อนหน้านั้น ก็ประมาณว่า
ราคาหุ้นมีพีอีพอดูได้ และมียีลด์ปันผล ดีกว่าธนาคารซักสองเท่า
ถ้าจะให้สรุป
ผมว่าทุกคน ต้องหาแนวรับกันเอาเองครับ
คนเก่งกราฟ
ก็ต้องหาแนวรับจากกราฟ ที่ใช้เป็นแนวรับแล้วได้ผลดี อย่างน้อยเจ็ดในสิบครั้ง
ถ้าแค่ห้าครั้งในสิบครั้ง โยนหัว โยนก้อยน่าจะดีกว่า
คนเก่งวีไอ
ก็ต้องหาแนวรับจากราคาหุ้น ที่มีแต้มต่อเมื่อเทียบกับผลประกอบการปัจจุบัน และอนาคตของบริษัท
คนเก่งจิตวิทยามวลชน
ก็หาแนวรับจาก สินธรอินดิเคเตอร์
เช่นคนบ่นติดดอยมากๆ ก็ซื้อ คนบอก gooddd มากๆ ก็ขาย
คนเก่ง ฯลฯ ก็หาแนวรับจาก
จินตนาการส่วนตัว ที่มีความรู้และประสพการณ์แนวตั้งหนุนหลัง เป็นต้น
ทางใคร ทางมัน
วิธีของผม คนอื่นทำแล้ว อาจจะเสียสุขภาพจิต
และส่งผลร้ายให้หลักคิดในการซื้อหุ้นของตัวเอง เกิดความเสียหายได้
หรือพอจะมีหนทางอื่นพอที่จะแนะนำในการเปรียบเทียบหุ้นใน sector เดียวกันมั้ยครับ
ขอบคุณครับผม 😊
ส่วนใหญ่ ไม่ได้เปรียบเทียบกับหุ้นหมวดเดียวกัน
แต่จะเปรียบเทียบราคาหุ้นของบริษัทนั้นๆ
กับสิ่งที่มีอยู่ในบริษัทจริงๆ กับยีลด์ปันผลของบริษัทอื่นๆ ที่มีราคาหุ้นใกล้เคียงกัน
แล้วก็ซื้อขาย สลับเปลี่ยนแต้มต่อไปมา
ทำได้แค่
เปรียบเทียบจากอดีตมาปัจจุบัน
ส่วนจะเปรียบเทียบต่อไปในอนาคต ยอมรับว่า หาไม่ค่อยเป็นครับ
เลยไม่เคยกล้าเข้าซื้อหุ้นที่เขาบอกว่า มันจะเติบโตในอนาคต แล้วเชียร์กันตอนที่มันมีราคาไปรอรับอนาคตแล้ว
ผมเคยใช้วิธีนี้สลับหุ้นแบบข้างต้น จากเปรียบเทียบยีลด์ปันผล
จนทุกวันนี้มีหุ้นฟรี
tndt เหลือจากขายทำกำไร อยู่สองแสนหุ้น พาร์สิบบาท
maco เหลือจากขายทำกำไรทั้งตัวแม่และวอร์แรนท์ อยู่หนึ่งล้านหุ้น พาร์หนึ่งบาท
แต่บางที คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต
ผมซื้อไอเฟค เพราะหวังกินปันผล และกล้าถือยาวเท่านั้น
ไปๆมาๆ เขาเล่นกันที่ราคาอนาคต เพื่อรอผลประกอบการในอนาคต
ก็เลยได้เกินทีแค่อยากถือกินปันผลไปไกลมากกกกกกก
จะรอขายให้คนอื่นๆ เอาไปเล่นกันต่อที่
ราคาอนาคต เพื่อรอผลประกอบการในอนาคต
เพราะเราหาผลประกอบการอนาคตไม่แม่น ก็ขอเอาเงินจริงออกมา
กลับไปมองหาหุ้นที่เราถนัด ลงทุนแล้วไม่เสียสุขภาพจิตแทนดีกว่า
คนอื่นรวยเพราะมองอนาคตเก่ง ก็ถือว่าคนอื่นเก่งกว่าเราก็แล้วกัน
แถมท้ายอีกนิด
หลักคิดจากเรื่องแนวรับสุดท้าย ที่ได้มาจากยุคฟองสบูแตก ปี 2540
เมื่อสี่ห้าปีก่อน ได้นำมาใช้กับหุ้นอีกตัวหนึ่ง
ซึ่งลงท้าย ทำกำไรส่วนเกินทุนได้ประมาณสองล้านบาท
ลองดูตามภาพประกอบ ลองสังเกตุดูช่วงที่ขาดทุนหนัก ขาดทุนเท่าไร
แต่ผมก็กล้าเก็บจนมาเป็นกำไร เพราะเชื่อว่า ราคาหุ้นที่ซื้อ น่าจะเป็นแนวรับสุดท้าย