แท๊กกีฬา เพราะมีพิพิธภัณฑ์ฟุตบอล/ แท๊กก้นครัว เพราะมีพิพิธภัณฑ์จาน/ ห้องสมุด เพราะมีคำถามเกี่ยวกับปราสาทสล้อกก้อกธม
สวัสดีครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ประมาณ 1 เดือนแล้ว อยากเอามาโพสต์ยาวๆ แต่ช่วงนั้นมีงานติดพัน
กลัวลงเรื่องราวไม่ครบต้องมาต่อภาค 2 ภาค 3 กลัวคนอ่านจะหมดสนุก แถมคนโพสต์ก็จะขาด
อารมณ์ต่อเนื่อง เพราะเคยเป็นแบบนี้มาก่อน ตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นโพสต์ไม่หมด จะกลับมาโพสต์อีกทีก็เซ็งๆ
อึนๆ คราวนี้เลยไม่โพสต์ดีกว่า รอว่างจริงๆ ค่อยมาลงรวดเดียว
แต่ปรากฎว่าพอเวลาผ่านไปหลายวันก็ลืมๆ ไปบ้าง ว่าที่ถ่ายรูปมาเนี่ย ที่ไหน ไปยังไง ทำอะไรบ้าง
คนแก่แล้วก็ลืมๆ เลือนๆ ไปจำไม่ค่อยได้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ถือซะว่าให้ท่านหาลายแทงดูเอาครับ
เพราะที่ไปที่ก็ไม่ได้ไกลจากกทม.เลย ขับรถชั่วโมงกว่าสองชั่วโมงก็ถึงแล้ว คือไป ฉะเชิงเทรา
ปราจีณ สระแก้วตรงนี้เองใกล้ๆ บางอันจึงใกล้และไปบ่อยมากจนลืมถ่ายรูป เช่น วัดโสธรฯ ไปเหมือนกัน
แต่ไม่ได้ถ่ายรูป เพราะตัวเองจะไปไหว้พระเสี่ยงเซียมซีปีละ 2-3 หนอยู่แล้ว จึงรู้สึกคุ้นเคยเกินกว่าจะหยิบกล้อง
มาถ่ายรูป อีกอย่างบ้านก็ใกล้กับถนนสุวินทวงศ์ด้วย เรียกว่าตื่นเช้ามาถ้านึกไม่ออกว่าจะทำอะไรก็จะขับรถออก
วิ่งตามสุวินทวงศ์ไปหยุดที่วัดโสธรเป็นประจำ
กลางเดือนที่แล้วมีคนจ้างไปทำงานครับ ที่จังหวัดสระแก้ว ให้ไปพักโรงแรมอินโดจีน 1 คืน ผมเห็นว่าได้โอกาสดี
เลยออกเดินทางล่วงหน้าไปอีก 1 วัน เพราะเส้นทางสายฉะเชิงเทรา ปราจีณ สระแก้ว ไม่เคยออกเที่ยวเลย
อยากดูรูปพระพิฆเณศ อยากเห็นเมืองศรีมโหสถ และปราสาทสล้อกก๊อกธม เลยได้โอกาสละทีนี้ ถือว่ามีคนจ้างไปเที่ยว
กินฟรีอยู่ฟรี 1 คืนกับ 2 มื้อ ที่เหลือออกเอาเองและหาที่นอนเองอีก 1 คืน
งานที่เขาจ้างไป ก็ไปทำที่โรงแรมอินโดจีนนั่นแหละครับ เริ่มงานเช้า 9 โมงและเสร็จตอนเที่ยงของวันพุธ ผมเลยถือโอกาส
เดินทางมันซะบ่ายๆ วันจันทร์ ถือโอกาสหยุดยาว 3 วันซะเลย ปกติงานผมจะชุกวันเสาร์ อาทิตย์ วันธรรมดาจะมีวันว่างหลายวัน
ถ้ามีใครให้ไปทำงานต่างจังหวัดวันธรรมดานี่ จะฟินมาก เพราะถือว่าเราได้หยุดไปเที่ยว งานก็ไม่ยากมากนักหรอกครับ สนุกดี
มีหน้าที่พูดๆ โชว์ๆ แสดงอะไรนิดหน่อย
ออกเดินทางจากแถวบางกะปิก็ไปถึงวัดหลวงพ่อโสธร กราบพระเอาฤกษ์ก่อน ตั้งแต่เด็กก็รู้จักแต่วัดนี้เวลาออกต่างจังหวัด
สอบเข้ามัธยม/ มหาลัย/ ไปนอก/ ฯลฯ ก็มาบนประจำเลย เลยมาแก้บนท่านบ่อย มีอยู่ช่วงนึงรู้สึกว่าชีวิตมีความสุขดีแล้ว
มาไหว้พระก็บอกว่าไม่บนแล้ว แล้วก็ทำได้แค่หนเดียว หลังจากนั้นมาก็มาบนท่านใหม่อีก ทีนี้ละ บนไม่เลิก แต่ยังไม่ได้แก้บน
สักทีเลย ที่บนไว้คราวหลังนี่
อาหารเที่ยงตอนนี้บ่ายโมงกว่าๆ มาหาหอยทอดกิน ร้านที่กินประจำไม่ได้ขายวันนี้ เป็นหอยทอดที่อร่อยมาก ท่านที่มาที่วัด
อยากกินหอยทอดอร่ย เข้ามาที่ลานจอดรถของวัด ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับศาลาชั่วคราวเก่า ที่ติดกับโรงเรียนวัดโสธร ที่เป็นเพิง
หลังคาสังกะสีเยอะๆ มีขายของมากๆ ตรงนี้จะมีร้านอาหารเยอะพอสมควร เกิน 10 ร้าน และร้านขายหอยทอดก็จะมีมากกว่า 5 ร้าน
ผมใช้วิธีจำร้านสุดอร่อยง่ายๆ คือให้ดูที่กระทะผัดหอย ที่เป็นแผนเหล็กสี่เหลี่ยมใหญ่ๆ ร้านอร่อยสุดที่ผมชอบมากิน ร้านนี้กระทะ
ตรงที่ใช้ผัดหอยประจำจะยุบบุ๋มลงไป บ่งบอกว่ากระทะใบนี้ใช้ผัดหอยมานานกว่าร้านอื่นๆ และใช้งานหนักกว่าร้านอื่นๆ
บังเอิญวันที่ไปเป็นวันจันทร์ ร้านอร่อยนี่หยุด ส่วนร้านอื่นๆ เปิดเป็นปกติ อ่า........ก็ใช่สิ ขายดีขนาดนี้ หยุดบ้างก็ได้ แบ่งลูกค้าให้
คนอื่นไปมั่ง
กินเสร็จออกเดินทางไปวัดสมานรัตนาราม ที่มีป้ายโฆษณาเกือบจะทุกถนนในฉะเชิงเทรา ว่ามีพระพิฆเณศประทับนั่งองค์ใหญ่
ขับไปยังไงก็จำไม่ได้ เพราะใช้ GPS ท่านลองใช้ดูมั่ง รึวิ่งไปตามป้ายนั่นแหละ จะมีป้ายบอกทางอยู่เกือบทุกถนนว่าไปวัด
สมานฯยังไง จากวัดโสธรฯขับไปไกลพอสมควรครับ เกือบครึ่งชั่วโมงเหมือนกัน(ผมขับไม่เร็วนะ) เจอป้ายว่าถึงแล้ว เราก็ดีใจ
เลี้ยวรถเข้าซอย พอเข้าซอยปุ๊บ ป้ายบอกว่าไปอีก 8 โล (โหย คุณหลอกดาว) ขับไปอีกพอสมควร ต้องข้ามสะพานคลองส่งน้ำ
ไม่ค่อยเห็นรถเลย คิดว่าคนคงน้อย แต่พอรถมาถึงหน้าวัดจริงๆ เท่านั้นแหละครับ หะ หะ นี่ขนาดบ่ายวันจันทร์นะ คนเยอะมาก
และพื้นที่เขตของวัดก็ใหญ่มากด้วย มีลานให้จอดรถทัวร์ขนาดสนามฟุตบอล 2 สนาม มีรถทัวร์จอดกันแล้วเกือบ 10 คัน คนก็เดิน
เพื่อไปถึงเขตท่องเที่ยวกันเป็นร้อย ๆ คน มีของขายกันไปตลอดทางเหมือนกัน
ตรงนี้แหละครับบริเวณไฮไลท์ของวัด มีสิ่งก่อสร้างอยู่ติดๆ กันเป็นแพ คนเลยแน่น
กันอยู่แถวนี้
รูปปั้นพิฆเณศน่ะมี เผื่อท่านอยากจะไปดู เลยอุบไว้ไม่ลงครับ เอาไปถ่ายรูปกันเองดีกว่า
อันนี้รูปพระพรหม ขนาดประมาณได้กับตึก 5 ชั้น เข้าไปเดินเล่นข้างในได้ด้วยนะ
ข้างในมีรูปเทพ ปางต่างๆ อีกมาก ฝีมือปั้นสวยงามทีเดียว
อยู่พอสมควรแล้วก็ออกมา แวะไปที่รูปพิฆเณศยืนครับ สถานที่คืออุทยานพิฆเณศ คนละ
เจ้าของกับวัดสมานฯ และอยู่ไกลออกไปอีกเกือบ 20 กิโลฯ ไปถึงก็ถึงกับอึ้ง เจอพิฆเณศ
ประทับยืนสูงรวม 50 เมตรได้ ขนาดเดียวกับอุลตร้าแมนเลยทีเดียว พอดีตอนนั้นเย็นมากแล้ว
และพิฆเณศประทับหันไปทางตะวันออก เลยถ่ายได้แต่รูปย้อนแสง ได้มาภาพเดียว เพราะ
ที่นี่ก็ยังสร้างกันอยู่ ยังสร้างไม่เรียบร้อย มีอีกหลายอย่างที่กำลังทำกัน คนจึงน้อยมาก
มีนักท่องเที่ยวอยู่ 1 ชุด 4-5 คน และของผมเป็นชุดที่ 2
เสร็จแล้วคิดว่าจะไปปราจีณ เพราะตอนนั้นก็เกือบ 5 โมงเย็นแล้ว กดจีพีเอสวิ่งเส้นทาง
บางคล้า-ปราจีณ ปรากฎว่าผ่านวัดนี้ครับ เห็นในไกด์เว็บของฉะเชิงเทราเหมือนกัน ว่า
มีอุโบสถทาสีทองเหลืองอร่อมทั้งวัด คิดว่าไม่ไปละ เพราะเห็นว่าเย็นมากแล้ว ปรากฎว่า
เป็นเส้นทางผ่าน ผมเลยจำชื่อวัดไม่ได้ แต่แวะลงไปถ่ายรูปแชะเดียวแล้วขับรถไปต่อกันเลย
ทีแรกว่าจะแวะสระมรกตกับโบราณสถานศรีมโหสถ แต่กว่ารถจะเข้าเขตปราจีณฟ้าก็มืดแล้ว
เลยคิดว่าหาที่พักดีกว่า ผมแวะกินข้าวข้างทางที่อำเภอนึง มีคนพลุกพล่านพอสมควร แต่
เป็นชุมชนระดับที่ยังไม่มีร้านเซเว่นเลย กินก๋วยจั๊บ 2 ชาม คนขายบอกว่า 50 บาท
ผมนี้อึ้งเลยครับ คือ 2 ชาม 50 บาท ที่อึ้งเพราะผมเป็นเด็กกรุงเต๊ป ไม่ได้เจออาหารจานละ
25 มานานแล้วครับ เวลาไปเที่ยว ถ้าไปแหล่งท่องเที่ยวก็ต้อง 40-50 อยู่ดี นี่ขนาดหอยทอด
วัดโสธรฯ ก็ยังคิดเงินจาน 40 บาทเลย
จากนั้นก็ตรงไปปราจีณ ตอนนี้มืดสนิทแล้ว ไฟถนนก็ไม่มี ตรงไปอีก 30-40 โลจะถึงตัวเมืองปราจีณ
เห็นป้ายข้างทางบอกว่ามีรีสอร์ทอยู่ แต่ลักษณะเหมือนโรงแรมม่านรูดมากกว่า พอเข้าตัวเมืองได้ก็
แวะกินอีกแล้วครับ เสร็จแล้วขึ้นรถ มองหาที่พักจากทั้งจีพีเอสและกูเกิ้ล ที่พักที่เหมาะๆ จะเป็นพวกรีสอร์ท
ที่อยู่เชิงเขาใหญ่ ซึ่งนั่นต้องไปอีกเส้นทางนึงที่ผมจะไปตอนเช้า คือไปสระแก้ว ก็เลยไม่อยากไปไกลขนาดนั้น
คิดว่าหาเอาในตัวเมืองปราจีณก็ได้ หาอยู่เกือบชั่วโมง ไม่มีครับ จาก GPS และ Google พอไปถึงจริงๆ แล้วมีสภาพ
เป็นโรงแรมม่านรูดทั้งหมด เลยขับรถกลับไป 20 โล ไปตรงรีสอร์ทที่เห็ฯระหว่างทาง พอไปถึงจริงๆ สภาพก็คือ
โรงแรมม่านรูด แถมวนรถเข้าไปแล้วไม่มีแขกพักเลย กลัวกลางคืนนอนแล้วจะโดนตีหัวปล้น เลยเลี้ยวรถกลับเข้า
เมืองอีก 20 โล วิ่งวนหาโรงแรมอยู่พักใหญ่ จนเจอที่นี่ครับ สภาพก็คือโรงแรมจิ้งหรีด มีชื่อ Rose ประกอบอยู่ด้วยนะ
แต่จะชื่อเต็มว่าอะไรผมลืมไปละ
ค่าห้องมีแบบพัดลมด้วยครับ ผมเลยเอาแบบแอร์วีไอพี ราคา 500 บาท มีน้ำอุ่น (แอร์ธรรมดา 450 ไม่มีน้ำอุ่น) ต้องแบก
กระเป๋าเองนะ เขาไม่ช่วย ขึ้นไปถึงห้องก็เป็นสภาพเก่าพออยู่ได้ แต่ที่นอนนี่นอนไม่ได้เลย คือสาวๆ จะนอนได้ไม่รู้สึกอะไร
แต่สำหรับผม ถ้าที่นอนไม่แข็งไม่ support หลังนี่ ผมจะนอนไม่ได้เลย จะรู้สึกปวดหลังภายใน 5 นาทีเมื่อลงนอน
เลยต้องเอาเสื้อยืดตัวนึงมาม้วนแล้วยันไว้ที่กลางหลัง ไม่ให้กระดูกสันหลังโค้งลงมา ซึ่งจะทำให้ปวดเมื่อยและนอนไม่หลับ
ทั้งคืน
ผมแวะออกไปเที่ยวตัวเมืองปราจีณหลังจากนั่งดูทีวีไปได้สัก 2 ชั่วโมง ไม่รู้ว่าเพราะเราหาแหล่งเที่ยวไม่เจอ รึที่นี่ไม่มีก็ไม่รู้นะครับ
ขับรถวิ่งวนรอบเมืองครึ่งชั่วโมงกว่า ไม่เจออะไรนอกจากร้านรวงที่ปิดประตูนอนกันหมดแล้ว แต่เห็นมีโลตัสที่รถจอดน้อยๆ คู่มากับ
ห้างโรบินสันที่กำลังสร้างอยู่ สรุปรวมก็คือ ตัวเมืองปราจีณแท้ๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยครับ แต่ที่น่าสนใจก็คือที่โรงแรมนี้ มีอะไรให้
ดูบนกำแพงภายในตัวตึกของโรงแรมพอสมควร เดาว่าเจ้าของคงเป็นแฟนทีมฟุตบอล และเมียคงเป็นติ่งจานสวยๆ เห็นติดโชว์อยู่
เยอะพอสมควรทีเดียว เชิญทัศนา
ที่น่าสนใจคือ รูปถ่ายนักฟุตบอลที่มีลายเซ็นด้วย แต่ลายมือที่เขียนดันเป็นลายมือเดียวกันหมดเลย
รึเขาให้เลขาฯเขียนให้ แล้วแบ่งให้นักบอลล์มาช่วยกันเซ็นก็เป็นได้ อย่างนี้ถือว่าเป็นแฟน
พันธุ์แท้ฟุตบอลมั้ยครับ เผอิญ ผมไม่ใช่สาวกทีมไหน เลยไม่ได้รู้สึกอินด้วย แต่เก็บเอามาฝาก
คนที่อิน
เช้านั้นออกหาอาหารเช้ากิน ก็ไม่ได้เจอร้านสุดยอดอะไรครับ เพียงแต่มาที่ตึกแถวริมน้ำ มีร้าน
ข้าวมันไก่เปิดติดกัน 3 ร้าน เลือกร้านผิดรึเปล่าก็ไม่รู้ เพราะร้านที่สั่งมากินก็รู้สึกเฉยๆ งั้นๆ
มิได้ประทับใจอันใด
พอกินกันเสร็จแล้วก็ออกเดินทางไปร.พ.อภัยภูเบศร์ ซึ่งตอนนี้มีการก่อสร้างขนานใหญ่มาก
ในเขตร.พ. คนก็มาก รถก็เยอะ หาที่จอดยากมากตอนนี้ คนก็มากมายทีเดียวที่มาร.พ.กัน
ผมเคยมาที่นี่เมื่อ 10 ปีก่อน ตอนนั้นตรงถึงเป็นตึกโบราณปิดซะด้วยซ้ำ ให้ไปยืนๆ มองๆ ถ่ายรูป
กันที่ภายนอก
เดี๋ยวนี้ให้เข้าไปเดินเล่นข้างในกันได้แล้ว มีพิพิธภัณฑ์แพทย์แผนไทย มีขายยาไทยแผนโบราณกัน
เป็นเรื่องเป็นราวน่าซื้อและน่าศึกษา
มีมุมให้นั่งโพสต์ท่าถ่ายรูปได้อีกตะหาก อันนี้นั่งเต๊ะท่า เผื่อจะให้มาดมองดูเป็นคุณหลวง
เข้าไปซื้อยาอภัยภูเบศร์ตั้ง 3 พันกว่าบาท(เพราะจะได้ลดราคาตั้ง 30%) แล้วก็ออกเดินทางต่อ
ไปพิพิธภัณฑ์ของเก่า ขออภัยชื่ออะไร"สุวรรณวงศ์"อะไรเทือกนี้ ขออภัยจริงๆ ครับ ลืมแล้ว
ด้วยความเป็นวันอังคาร มีคนเข้าชมช่วงบ่ายเวลาเดียวกับผม 3 กลุ่ม กลุ่มละไม่เกิน 5 คน
เลยมีไกด์มาเที่ยว เดินแนะนำและอธิบายไปด้วย มีคนเดินตามประมาณ 6-7 คน บรรยากาศ
ดูเหงามาก แต่อีกความรู้สึกนึงก็คือ เหมือนวันนี้เขาเปิดให้เราชมคนเดียว อยากจะดูอะไรทำอะไร
ก็สะดวกไปหมด เลยมาลองเป็นคนขายโกปี๊ กับช่างตัดผมดู
พิพิธภัณฑ์นี้มีของเก่าไม่โบราณมาก ระดับร้อยกว่าปีถึง 20-30 ปีนี้ เป็นข้าวของที่ผมเกิดทัน
เลยไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นนัก ก็ได้แต่เอาใจช่วยเจ้าของให้มีกำไรเยอะๆ จากงานนี้ เพราะถ้าเป็น
วันธรรมดาแล้วคงเงียบมากทีเดียว
พอแค่นี้ก่อนครับ ตัวหนังสือเต็มพื้นที่ พิมพ์ต่อมิได้แล้ว
ชมรมคนหยุดวันธรรมดา พาเที่ยวพิพิธภัณฑ์ใกล้กรุงฯ/ของเก่า/ฟุตบอล/จาน พระพิฆเณศใหญ่มาก และปราสาทสล้อกก๊อกธม
สวัสดีครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ประมาณ 1 เดือนแล้ว อยากเอามาโพสต์ยาวๆ แต่ช่วงนั้นมีงานติดพัน
กลัวลงเรื่องราวไม่ครบต้องมาต่อภาค 2 ภาค 3 กลัวคนอ่านจะหมดสนุก แถมคนโพสต์ก็จะขาด
อารมณ์ต่อเนื่อง เพราะเคยเป็นแบบนี้มาก่อน ตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นโพสต์ไม่หมด จะกลับมาโพสต์อีกทีก็เซ็งๆ
อึนๆ คราวนี้เลยไม่โพสต์ดีกว่า รอว่างจริงๆ ค่อยมาลงรวดเดียว
แต่ปรากฎว่าพอเวลาผ่านไปหลายวันก็ลืมๆ ไปบ้าง ว่าที่ถ่ายรูปมาเนี่ย ที่ไหน ไปยังไง ทำอะไรบ้าง
คนแก่แล้วก็ลืมๆ เลือนๆ ไปจำไม่ค่อยได้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ถือซะว่าให้ท่านหาลายแทงดูเอาครับ
เพราะที่ไปที่ก็ไม่ได้ไกลจากกทม.เลย ขับรถชั่วโมงกว่าสองชั่วโมงก็ถึงแล้ว คือไป ฉะเชิงเทรา
ปราจีณ สระแก้วตรงนี้เองใกล้ๆ บางอันจึงใกล้และไปบ่อยมากจนลืมถ่ายรูป เช่น วัดโสธรฯ ไปเหมือนกัน
แต่ไม่ได้ถ่ายรูป เพราะตัวเองจะไปไหว้พระเสี่ยงเซียมซีปีละ 2-3 หนอยู่แล้ว จึงรู้สึกคุ้นเคยเกินกว่าจะหยิบกล้อง
มาถ่ายรูป อีกอย่างบ้านก็ใกล้กับถนนสุวินทวงศ์ด้วย เรียกว่าตื่นเช้ามาถ้านึกไม่ออกว่าจะทำอะไรก็จะขับรถออก
วิ่งตามสุวินทวงศ์ไปหยุดที่วัดโสธรเป็นประจำ
กลางเดือนที่แล้วมีคนจ้างไปทำงานครับ ที่จังหวัดสระแก้ว ให้ไปพักโรงแรมอินโดจีน 1 คืน ผมเห็นว่าได้โอกาสดี
เลยออกเดินทางล่วงหน้าไปอีก 1 วัน เพราะเส้นทางสายฉะเชิงเทรา ปราจีณ สระแก้ว ไม่เคยออกเที่ยวเลย
อยากดูรูปพระพิฆเณศ อยากเห็นเมืองศรีมโหสถ และปราสาทสล้อกก๊อกธม เลยได้โอกาสละทีนี้ ถือว่ามีคนจ้างไปเที่ยว
กินฟรีอยู่ฟรี 1 คืนกับ 2 มื้อ ที่เหลือออกเอาเองและหาที่นอนเองอีก 1 คืน
งานที่เขาจ้างไป ก็ไปทำที่โรงแรมอินโดจีนนั่นแหละครับ เริ่มงานเช้า 9 โมงและเสร็จตอนเที่ยงของวันพุธ ผมเลยถือโอกาส
เดินทางมันซะบ่ายๆ วันจันทร์ ถือโอกาสหยุดยาว 3 วันซะเลย ปกติงานผมจะชุกวันเสาร์ อาทิตย์ วันธรรมดาจะมีวันว่างหลายวัน
ถ้ามีใครให้ไปทำงานต่างจังหวัดวันธรรมดานี่ จะฟินมาก เพราะถือว่าเราได้หยุดไปเที่ยว งานก็ไม่ยากมากนักหรอกครับ สนุกดี
มีหน้าที่พูดๆ โชว์ๆ แสดงอะไรนิดหน่อย
ออกเดินทางจากแถวบางกะปิก็ไปถึงวัดหลวงพ่อโสธร กราบพระเอาฤกษ์ก่อน ตั้งแต่เด็กก็รู้จักแต่วัดนี้เวลาออกต่างจังหวัด
สอบเข้ามัธยม/ มหาลัย/ ไปนอก/ ฯลฯ ก็มาบนประจำเลย เลยมาแก้บนท่านบ่อย มีอยู่ช่วงนึงรู้สึกว่าชีวิตมีความสุขดีแล้ว
มาไหว้พระก็บอกว่าไม่บนแล้ว แล้วก็ทำได้แค่หนเดียว หลังจากนั้นมาก็มาบนท่านใหม่อีก ทีนี้ละ บนไม่เลิก แต่ยังไม่ได้แก้บน
สักทีเลย ที่บนไว้คราวหลังนี่
อาหารเที่ยงตอนนี้บ่ายโมงกว่าๆ มาหาหอยทอดกิน ร้านที่กินประจำไม่ได้ขายวันนี้ เป็นหอยทอดที่อร่อยมาก ท่านที่มาที่วัด
อยากกินหอยทอดอร่ย เข้ามาที่ลานจอดรถของวัด ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับศาลาชั่วคราวเก่า ที่ติดกับโรงเรียนวัดโสธร ที่เป็นเพิง
หลังคาสังกะสีเยอะๆ มีขายของมากๆ ตรงนี้จะมีร้านอาหารเยอะพอสมควร เกิน 10 ร้าน และร้านขายหอยทอดก็จะมีมากกว่า 5 ร้าน
ผมใช้วิธีจำร้านสุดอร่อยง่ายๆ คือให้ดูที่กระทะผัดหอย ที่เป็นแผนเหล็กสี่เหลี่ยมใหญ่ๆ ร้านอร่อยสุดที่ผมชอบมากิน ร้านนี้กระทะ
ตรงที่ใช้ผัดหอยประจำจะยุบบุ๋มลงไป บ่งบอกว่ากระทะใบนี้ใช้ผัดหอยมานานกว่าร้านอื่นๆ และใช้งานหนักกว่าร้านอื่นๆ
บังเอิญวันที่ไปเป็นวันจันทร์ ร้านอร่อยนี่หยุด ส่วนร้านอื่นๆ เปิดเป็นปกติ อ่า........ก็ใช่สิ ขายดีขนาดนี้ หยุดบ้างก็ได้ แบ่งลูกค้าให้
คนอื่นไปมั่ง
กินเสร็จออกเดินทางไปวัดสมานรัตนาราม ที่มีป้ายโฆษณาเกือบจะทุกถนนในฉะเชิงเทรา ว่ามีพระพิฆเณศประทับนั่งองค์ใหญ่
ขับไปยังไงก็จำไม่ได้ เพราะใช้ GPS ท่านลองใช้ดูมั่ง รึวิ่งไปตามป้ายนั่นแหละ จะมีป้ายบอกทางอยู่เกือบทุกถนนว่าไปวัด
สมานฯยังไง จากวัดโสธรฯขับไปไกลพอสมควรครับ เกือบครึ่งชั่วโมงเหมือนกัน(ผมขับไม่เร็วนะ) เจอป้ายว่าถึงแล้ว เราก็ดีใจ
เลี้ยวรถเข้าซอย พอเข้าซอยปุ๊บ ป้ายบอกว่าไปอีก 8 โล (โหย คุณหลอกดาว) ขับไปอีกพอสมควร ต้องข้ามสะพานคลองส่งน้ำ
ไม่ค่อยเห็นรถเลย คิดว่าคนคงน้อย แต่พอรถมาถึงหน้าวัดจริงๆ เท่านั้นแหละครับ หะ หะ นี่ขนาดบ่ายวันจันทร์นะ คนเยอะมาก
และพื้นที่เขตของวัดก็ใหญ่มากด้วย มีลานให้จอดรถทัวร์ขนาดสนามฟุตบอล 2 สนาม มีรถทัวร์จอดกันแล้วเกือบ 10 คัน คนก็เดิน
เพื่อไปถึงเขตท่องเที่ยวกันเป็นร้อย ๆ คน มีของขายกันไปตลอดทางเหมือนกัน
ตรงนี้แหละครับบริเวณไฮไลท์ของวัด มีสิ่งก่อสร้างอยู่ติดๆ กันเป็นแพ คนเลยแน่น
กันอยู่แถวนี้
รูปปั้นพิฆเณศน่ะมี เผื่อท่านอยากจะไปดู เลยอุบไว้ไม่ลงครับ เอาไปถ่ายรูปกันเองดีกว่า
อันนี้รูปพระพรหม ขนาดประมาณได้กับตึก 5 ชั้น เข้าไปเดินเล่นข้างในได้ด้วยนะ
ข้างในมีรูปเทพ ปางต่างๆ อีกมาก ฝีมือปั้นสวยงามทีเดียว
อยู่พอสมควรแล้วก็ออกมา แวะไปที่รูปพิฆเณศยืนครับ สถานที่คืออุทยานพิฆเณศ คนละ
เจ้าของกับวัดสมานฯ และอยู่ไกลออกไปอีกเกือบ 20 กิโลฯ ไปถึงก็ถึงกับอึ้ง เจอพิฆเณศ
ประทับยืนสูงรวม 50 เมตรได้ ขนาดเดียวกับอุลตร้าแมนเลยทีเดียว พอดีตอนนั้นเย็นมากแล้ว
และพิฆเณศประทับหันไปทางตะวันออก เลยถ่ายได้แต่รูปย้อนแสง ได้มาภาพเดียว เพราะ
ที่นี่ก็ยังสร้างกันอยู่ ยังสร้างไม่เรียบร้อย มีอีกหลายอย่างที่กำลังทำกัน คนจึงน้อยมาก
มีนักท่องเที่ยวอยู่ 1 ชุด 4-5 คน และของผมเป็นชุดที่ 2
เสร็จแล้วคิดว่าจะไปปราจีณ เพราะตอนนั้นก็เกือบ 5 โมงเย็นแล้ว กดจีพีเอสวิ่งเส้นทาง
บางคล้า-ปราจีณ ปรากฎว่าผ่านวัดนี้ครับ เห็นในไกด์เว็บของฉะเชิงเทราเหมือนกัน ว่า
มีอุโบสถทาสีทองเหลืองอร่อมทั้งวัด คิดว่าไม่ไปละ เพราะเห็นว่าเย็นมากแล้ว ปรากฎว่า
เป็นเส้นทางผ่าน ผมเลยจำชื่อวัดไม่ได้ แต่แวะลงไปถ่ายรูปแชะเดียวแล้วขับรถไปต่อกันเลย
ทีแรกว่าจะแวะสระมรกตกับโบราณสถานศรีมโหสถ แต่กว่ารถจะเข้าเขตปราจีณฟ้าก็มืดแล้ว
เลยคิดว่าหาที่พักดีกว่า ผมแวะกินข้าวข้างทางที่อำเภอนึง มีคนพลุกพล่านพอสมควร แต่
เป็นชุมชนระดับที่ยังไม่มีร้านเซเว่นเลย กินก๋วยจั๊บ 2 ชาม คนขายบอกว่า 50 บาท
ผมนี้อึ้งเลยครับ คือ 2 ชาม 50 บาท ที่อึ้งเพราะผมเป็นเด็กกรุงเต๊ป ไม่ได้เจออาหารจานละ
25 มานานแล้วครับ เวลาไปเที่ยว ถ้าไปแหล่งท่องเที่ยวก็ต้อง 40-50 อยู่ดี นี่ขนาดหอยทอด
วัดโสธรฯ ก็ยังคิดเงินจาน 40 บาทเลย
จากนั้นก็ตรงไปปราจีณ ตอนนี้มืดสนิทแล้ว ไฟถนนก็ไม่มี ตรงไปอีก 30-40 โลจะถึงตัวเมืองปราจีณ
เห็นป้ายข้างทางบอกว่ามีรีสอร์ทอยู่ แต่ลักษณะเหมือนโรงแรมม่านรูดมากกว่า พอเข้าตัวเมืองได้ก็
แวะกินอีกแล้วครับ เสร็จแล้วขึ้นรถ มองหาที่พักจากทั้งจีพีเอสและกูเกิ้ล ที่พักที่เหมาะๆ จะเป็นพวกรีสอร์ท
ที่อยู่เชิงเขาใหญ่ ซึ่งนั่นต้องไปอีกเส้นทางนึงที่ผมจะไปตอนเช้า คือไปสระแก้ว ก็เลยไม่อยากไปไกลขนาดนั้น
คิดว่าหาเอาในตัวเมืองปราจีณก็ได้ หาอยู่เกือบชั่วโมง ไม่มีครับ จาก GPS และ Google พอไปถึงจริงๆ แล้วมีสภาพ
เป็นโรงแรมม่านรูดทั้งหมด เลยขับรถกลับไป 20 โล ไปตรงรีสอร์ทที่เห็ฯระหว่างทาง พอไปถึงจริงๆ สภาพก็คือ
โรงแรมม่านรูด แถมวนรถเข้าไปแล้วไม่มีแขกพักเลย กลัวกลางคืนนอนแล้วจะโดนตีหัวปล้น เลยเลี้ยวรถกลับเข้า
เมืองอีก 20 โล วิ่งวนหาโรงแรมอยู่พักใหญ่ จนเจอที่นี่ครับ สภาพก็คือโรงแรมจิ้งหรีด มีชื่อ Rose ประกอบอยู่ด้วยนะ
แต่จะชื่อเต็มว่าอะไรผมลืมไปละ
ค่าห้องมีแบบพัดลมด้วยครับ ผมเลยเอาแบบแอร์วีไอพี ราคา 500 บาท มีน้ำอุ่น (แอร์ธรรมดา 450 ไม่มีน้ำอุ่น) ต้องแบก
กระเป๋าเองนะ เขาไม่ช่วย ขึ้นไปถึงห้องก็เป็นสภาพเก่าพออยู่ได้ แต่ที่นอนนี่นอนไม่ได้เลย คือสาวๆ จะนอนได้ไม่รู้สึกอะไร
แต่สำหรับผม ถ้าที่นอนไม่แข็งไม่ support หลังนี่ ผมจะนอนไม่ได้เลย จะรู้สึกปวดหลังภายใน 5 นาทีเมื่อลงนอน
เลยต้องเอาเสื้อยืดตัวนึงมาม้วนแล้วยันไว้ที่กลางหลัง ไม่ให้กระดูกสันหลังโค้งลงมา ซึ่งจะทำให้ปวดเมื่อยและนอนไม่หลับ
ทั้งคืน
ผมแวะออกไปเที่ยวตัวเมืองปราจีณหลังจากนั่งดูทีวีไปได้สัก 2 ชั่วโมง ไม่รู้ว่าเพราะเราหาแหล่งเที่ยวไม่เจอ รึที่นี่ไม่มีก็ไม่รู้นะครับ
ขับรถวิ่งวนรอบเมืองครึ่งชั่วโมงกว่า ไม่เจออะไรนอกจากร้านรวงที่ปิดประตูนอนกันหมดแล้ว แต่เห็นมีโลตัสที่รถจอดน้อยๆ คู่มากับ
ห้างโรบินสันที่กำลังสร้างอยู่ สรุปรวมก็คือ ตัวเมืองปราจีณแท้ๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยครับ แต่ที่น่าสนใจก็คือที่โรงแรมนี้ มีอะไรให้
ดูบนกำแพงภายในตัวตึกของโรงแรมพอสมควร เดาว่าเจ้าของคงเป็นแฟนทีมฟุตบอล และเมียคงเป็นติ่งจานสวยๆ เห็นติดโชว์อยู่
เยอะพอสมควรทีเดียว เชิญทัศนา
ที่น่าสนใจคือ รูปถ่ายนักฟุตบอลที่มีลายเซ็นด้วย แต่ลายมือที่เขียนดันเป็นลายมือเดียวกันหมดเลย
รึเขาให้เลขาฯเขียนให้ แล้วแบ่งให้นักบอลล์มาช่วยกันเซ็นก็เป็นได้ อย่างนี้ถือว่าเป็นแฟน
พันธุ์แท้ฟุตบอลมั้ยครับ เผอิญ ผมไม่ใช่สาวกทีมไหน เลยไม่ได้รู้สึกอินด้วย แต่เก็บเอามาฝาก
คนที่อิน
เช้านั้นออกหาอาหารเช้ากิน ก็ไม่ได้เจอร้านสุดยอดอะไรครับ เพียงแต่มาที่ตึกแถวริมน้ำ มีร้าน
ข้าวมันไก่เปิดติดกัน 3 ร้าน เลือกร้านผิดรึเปล่าก็ไม่รู้ เพราะร้านที่สั่งมากินก็รู้สึกเฉยๆ งั้นๆ
มิได้ประทับใจอันใด
พอกินกันเสร็จแล้วก็ออกเดินทางไปร.พ.อภัยภูเบศร์ ซึ่งตอนนี้มีการก่อสร้างขนานใหญ่มาก
ในเขตร.พ. คนก็มาก รถก็เยอะ หาที่จอดยากมากตอนนี้ คนก็มากมายทีเดียวที่มาร.พ.กัน
ผมเคยมาที่นี่เมื่อ 10 ปีก่อน ตอนนั้นตรงถึงเป็นตึกโบราณปิดซะด้วยซ้ำ ให้ไปยืนๆ มองๆ ถ่ายรูป
กันที่ภายนอก
เดี๋ยวนี้ให้เข้าไปเดินเล่นข้างในกันได้แล้ว มีพิพิธภัณฑ์แพทย์แผนไทย มีขายยาไทยแผนโบราณกัน
เป็นเรื่องเป็นราวน่าซื้อและน่าศึกษา
มีมุมให้นั่งโพสต์ท่าถ่ายรูปได้อีกตะหาก อันนี้นั่งเต๊ะท่า เผื่อจะให้มาดมองดูเป็นคุณหลวง
เข้าไปซื้อยาอภัยภูเบศร์ตั้ง 3 พันกว่าบาท(เพราะจะได้ลดราคาตั้ง 30%) แล้วก็ออกเดินทางต่อ
ไปพิพิธภัณฑ์ของเก่า ขออภัยชื่ออะไร"สุวรรณวงศ์"อะไรเทือกนี้ ขออภัยจริงๆ ครับ ลืมแล้ว
ด้วยความเป็นวันอังคาร มีคนเข้าชมช่วงบ่ายเวลาเดียวกับผม 3 กลุ่ม กลุ่มละไม่เกิน 5 คน
เลยมีไกด์มาเที่ยว เดินแนะนำและอธิบายไปด้วย มีคนเดินตามประมาณ 6-7 คน บรรยากาศ
ดูเหงามาก แต่อีกความรู้สึกนึงก็คือ เหมือนวันนี้เขาเปิดให้เราชมคนเดียว อยากจะดูอะไรทำอะไร
ก็สะดวกไปหมด เลยมาลองเป็นคนขายโกปี๊ กับช่างตัดผมดู
พิพิธภัณฑ์นี้มีของเก่าไม่โบราณมาก ระดับร้อยกว่าปีถึง 20-30 ปีนี้ เป็นข้าวของที่ผมเกิดทัน
เลยไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นนัก ก็ได้แต่เอาใจช่วยเจ้าของให้มีกำไรเยอะๆ จากงานนี้ เพราะถ้าเป็น
วันธรรมดาแล้วคงเงียบมากทีเดียว
พอแค่นี้ก่อนครับ ตัวหนังสือเต็มพื้นที่ พิมพ์ต่อมิได้แล้ว