Next Station... สถานีต่อไป ของใครหลายๆคน

กระทู้สนทนา
เรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่ง จากครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมายแต่ก็ไม่เคยลำบาก เริ่มตั้งแต่วัยรุ่นก็ต้องเดินทางมาเรียนระดับมัธยมในกรุงเทพและไปศึกษาต่อปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด เรียกว่าโตมาด้วยตัวคนเดียว แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็ใช้ชีวิตวัยเรียนและศึกษาเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป

คำนำ

    ชีวิตก็เหมือนการเดินทาง เส้นทางการเดินทางยังอีกยาวไกลนัก ยังต้องผ่านอีกหลายสถานี ถ้าทุกคนรู้ว่าสถานีต่อไปของตัวเองจะเป็นที่ไหนก็คงดี จะได้รู้ว่ามาถูกทางแล้วและอีกไกลแค่ไหนจะถึงจุดหมายปลายทาง
    แต่การเดินทางของหลายๆคน อาจจะสับสนไปบ้างอาจจะลงผิดสถานีบ้าง ก็ไม่เป็นอะไรครับ ไม่ใช่จะทำให้เราไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ การลงผิดสถานี อาจทำให้เราเสียเวลาไปบ้าง อาจทำให้เราเห็นอะไรแปลกๆบ้าง ก็คิดเสียว่าได้แวะที่ท่องเที่ยว แต่ที่สำคัญคือต้องรู้ว่าเราเดินทางมาถูกทางหรือไม่ อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าสถานีต่อไปเป็นสถานีอะไรอยู่ในเส้นทางเดินทางของเราหรือไม่
    ผมว่าก็เหมือนกับชีวิตของคนๆหนึ่ง ที่อาจมีหลงทางไปบ้าง เราอาจไม่ได้เข้าเรียนในคณะและมหาวิทยาลัยที่ต้องการ อาจไม่ได้ทำงานในสายอาชีพที่ต้องการ อาจไม่สามารถเลือกบริษัทเข้าทำงานได้ อาจไม่สามารถจะเป็นเจ้าของกิจการหรือประกอบอาชีพที่ตัวเองชอบได้ แต่เราสามารถกำหนดเป้าหมายต่อไปของตัวเองได้
    การมีเป้าหมายในอนาคตเป็นเรื่องที่ดี เหมือนเรากำหนดเส้นทางเดินเอาไว้แล้ว และการกำหนดเป้าหมายระยะสั้นๆก็เหมือนกับเรารู้ว่าสถานีต่อไปนั้นเป็นสถานีอะไร การผ่านเป้าหมายระยะสั้นไปเรื่อยๆหรือการเดินทางผ่านสถานีต่อไป ไปเรื่อยๆ ทำให้เรารู้ว่าเรามาถูกทางแล้วและเข้าใกล้เป้าหมายของตัวเองแล้ว
ด้วยความปารถนาดี


    “สถานีต่อไป สถานี…” เสียงหวานๆ แจ้งถึงสถานีที่รถไฟฟ้ากำลังจะถึง ทำให้ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิด หันซ้ายหันขวาดูว่าใช่สถานีที่ผมจะลงหรือไม่ และเสียงหวานๆนั้นยังช่วยสะกิดแคะเศษเสี้ยวความคิดที่เหมือนจะลืมเลือนไปแล้วว่า ครั้งก่อนนานมากแล้วผมเป็นคนที่นั่งรถหลงเป็นประจำ อาจเป็นเพราะผมชอบตกอยู่ในภวังค์ความคิดยามที่ต้องนั่งนิ่งๆ อย่างนี้นานๆ เสมอ และการนั่งรถเมล์ก็ไม่มีเสียงหวานๆแบบนี้มาคอยบอกสถานีต่อไปแบบนี้ ก็เลยทำให้ผมลงไม่ถูกป้ายเป็นประจำ แล้วก็เลยย้อนคิดมาถึงชีวิตการเรียนและการทำงานของตัวเอง ถ้าเมื่อก่อนมีคนมาคอยบอกว่าเป้าหมายของเราคืออะไรก็คงดี ผมคงไม่หลงทางมาไกลซะขนาดนี้ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าสถานีต่อไปของผมคือสถานีอะไร ก็คงไม่ยากแล้วสำหรับการเดินทางเพื่อไปให้ถึง เพราะอย่างไรเสียก็จะมีเสียงหวานๆ คอยบอกเป็นระยะๆ ว่าสถานีต่อไปคือสถานีอะไร
    เสียงหวานๆ บอกมาอีกครั้งว่ารถกำลังจะเทียบชานชลาสถานีอะไร ทำให้ผมรู้ว่ายังอีกไกลกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางของผม นั่นทำให้ผมเข้าไปอยู่ในภวังค์ความคิดได้อีกนานโขทีเดียว แล้วภาพต่างๆในอดีตครั้งก่อนก็เข้ามาอยู่ในหัวผมอีกครั้ง
เมื่อ 7 ปีที่แล้วผมก็ต้องเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจุดหมายปลายทางยังไม่ชัดเจนนักหรือยังไม่รู้จุดหมายปลายทางเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะความไม่มั่นใจหรือความลังเล แต่เป็นเพราะจุดเริ่มต้นในครั้งนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่ผมหวังไว้ ไม่ได้อยู่บนจุดที่ผมต้องการ ทำให้เส้นทางเดินต่อไปนั้นเป็นเส้นทางเดินที่ไม่ได้คิดเอาไว้ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่สิ! จริงๆแล้วต้องบอกว่าเป็นเพราะผมไม่ได้คิด ไม่ได้วางแผนเองตั้งแต่เริ่มต้นมากกว่า จึงทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น หลายท่านอาจจะสงสัยว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไรกัน ก่อนจะเล่าตั้งแต่เริ่มให้ฟัง ผมขอบอกสถานการณ์เมื่อ 4 ปีที่แล้วซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของผมก่อนดีกว่า ว่าเป็นอย่างไร…
    สถานภาพของผม ณ เวลานั้นต้องเรียกว่าคนว่างงาน จำเป็นต้องเรียกอย่างนี้ ทั้งๆที่คงไม่มีใครชอบนักหรอก รวมทั้งตัวผมเองด้วย แต่มันก็จำเป็นจริงๆ เพราะว่าอย่างน้อยก็ยังได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงานจากสำนักงานประกันสังคมต่อไปอีก 90วัน รวมกับเงินเก็บอีกนิดหน่อย อย่างน้อยผมก็อยู่ได้แบบประหยัดกิน ประหยัดใช้ต่อไปได้อย่างน้อยก็สัก 3-4 เดือนโดยไม่ต้องขอเงินแม่ใช้ และก็คงพอสำหรับการรอเวลาหางานทำใหม่
ก็ไม่รู้จะเป็นเรื่องง่ายหรือยากสำหรับวุฒิปริญญาตรี คณะสังคมศาสตร์อย่างผม ตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้เลยว่าผมควรจะทำงานอะไร ผมส่งอีเมลล์สมัครงานไว้กับบริษัทต่างๆประมาณสัก สิบกว่าแห่ง ตำแหน่งงานอะไรผมแทบจะไม่ได้สนใจ ไม่ว่าจะเป็นงานขาย งานการตลาด งานธุรการ งานบุคคล งานบัญชี งานการเงิน และงานอะไรๆอีกมากมายที่บริษัทต่างๆลงประกาศไว้ตามเว็บไซต์ต่างๆ ผมสมัครทิ้งไว้หมด แล้วก็มานั่งรอว่าจะมีบริษัทไหนสนใจคุณวุฒิอย่างผมบ้าง ชั่วโมงนั้นขอแค่มีงานทำผมก็ดีใจแล้ว อย่าให้อยู่ในสถานภาพคนตกงานนานๆเลย รู้สึกว้าเหว่อย่างไรไม่รู้
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกสบาย มีอิสรภาพเสรี ไม่ต้องตื่นตั้งแต่ หกโมงเช้าเพื่อนั่งวินมอเตอร์ไซต์ ไปรอรถโดยสารเดินทางไปเพื่อไปรอขึ้นรถไฟฟ้าอีกต่อ เพื่อไปให้ถึงบริษัทก่อนแปดโมงครึ่งไม่อย่างนั้นเครื่องสแกนลายนิ้วมือจะบันทึกว่ามาทำงานสาย ผมทำงานที่บริษัทเดิมมาร่วมๆสิบเดือน ไปทำงานสายไม่น่าจะต่ำกว่า 20 ครั้ง ถูกหัวหน้าเรียกไปตักเตือน 3 ครั้ง ก็อยากให้หัวหน้าลองไปอยู่แถวๆอพาร์ทเม้นท์ผมจริงๆ จะได้รู้ว่าการรอรถโดยสารไม่ใช่เรื่องน่าสนุกสักเท่าไหร่เลย

บางวันต้องรอเกือบครึ่งชั่วโมง วันไหนโชคดีหน่อยก็ไม่ต้องรอ มาถึงป้ายปุ๊ปรถมาปั๊ป ต้องเรียกว่าเฮงสุดๆ ผมแทบจะต้องจดบันทึกไว้เลยว่าวันนั้นก้าวเท้าไหนออกจากที่พักก่อน!! และทำอะไรที่ไม่ปกติไปบ้าง แต่บางวันก็ต้องเรียกว่าโชคร้ายซ้ำซ้อน ทั้งๆที่ก็ก้าวเท้าเดิมออกจากที่พัก คือนอกจากจะต้องรอรถนานแล้ว รถยังติดมากกว่าปกติอีก โดยเฉพาะเช้าวันจันทร์นี่ติดเป็นประจำ

ธรรมดาแล้วผมออกจากที่พัก เวลาหกโมงเช้า หลังจากเดินทางด้วยยานพาหนะ 2ชนิดใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงกว่าๆไปถึงสถานีรถไฟฟ้า ใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟฟ้าอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง ก็ถึงที่ทำงาน ก็ราวๆสัก แปดโมงกว่านิดหน่อย ยังไม่หมดนะครับ ยังต้องฝ่าฝูงชนเพื่อขึ้นลิฟท์ไปชั้น 18 อีกก็ใช้เวลาราวๆ ห้าถึงสิบนาที รวมเวลาที่ใช้ในการเดินทางจากห้องพักมาถึงเครื่องสแกนลายนิ้วมือประมาณ สองชั่วโมงกว่าๆก็เรียกว่าแทบจะหมดแรงอยู่แล้ว วันไหนโชคเข้าข้าง ไม่มีอุปสรรคใดๆมากีดขวาง มาถึงบริษัทเวลาเคารพธงชาติพอดี ก็มีเวลานั่งเล่นชิวๆทานกาแฟสักแก้ว พร้อมกับอ่านนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ไป เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ขนาดนั้นเลย ! แต่บางวันก็เหมือนนักวิ่ง 100 เมตร เศษเสี้ยวของวินาทีก็มีค่ามหาศาล วันไหนเครื่องสแกนลายนิ้วมือขึ้นเลข 8.30 น. ตอนเวลาที่ผมทาบนิ้วโป้งลงบนเครื่อง ก็คงเหมือนนักวิ่ง 100 เมตร วิ่งเข้าเส้นชัยเฉือนคู่แข่งแค่ปลายจมูก แต่ถ้าวันไหนทาบนิ้วโป้งลงบนเครื่อง พร้อมกับตัวเลข “0” เปลี่ยนเป็นเลข “1” คือจาก 8.30 น. เป็น 8.31 น. มันก็คงเหมือนกับการซื้อล็อตเตอรี่ แล้วตัวเลขผิดไปเลขเดียวของรางวัลที่หนึ่ง จากเงินล้านกลับกลายเป็นศูนย์บาท จะบอกว่าไม่ยุติธรรมก็คงไม่ใช่ ก็กติกาเราก็รู้อยู่ก่อนแล้วว่าเป็นอย่างไร ก็ต้องก้มหน้ายอมรับกันไป ผู้บริหารและหัวหน้าไม่มีวันรู้หรอกว่ามันยากลำบากขนาดไหน กับคนที่ต้องเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางอย่างพวกผม แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดที่ทำให้ต้องลาออกหรอกนะ ถ้าไม่อย่างนั้นผมคงลาออกไปตั้งแต่เดือนแรกที่มาทำงานแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ก็มีส่วนไม่น้อยเหมือนกัน…
ฟางเส้นสุดท้ายจริงๆแล้วก็พวกปากหอยปากปูทั้งหลายนั่นเอง นี่ผมเพิ่งมาคิดได้ว่าผมลาออกจากงานด้วยเรื่องไร้สาระสิ้นดี ! แต่จะว่าไปแล้วผมก็ทนมาได้ตั้ง หกเจ็ดเดือน ย้อนกลับไปวันแรกที่ได้มาทำงานที่นี่ ผมมาพร้อมกับความหวังอย่างเต็มเปี่ยม มาพร้อมกับความคาดหวังว่าจะต้องทำงานให้มีผลงานเห็นได้อย่างชัดเจน หัวหน้าต้องชื่นชม เพื่อนร่วมงานต้องยกย่อง ผมมองไปถึงว่าภายในเวลาไม่นานจะได้ปรับเงินเดือน จะได้เลื่อนตำแหน่งแล้วต่อไปก็จะได้ขึ้นเป็นผู้บริหาร คงเป็นเรื่องปกติของคนที่ได้งานทำที่ใหม่ พอได้งานทำก็วาดหวังไว้สูง บางทีมันอาจจะสูงไป หรือบางทีความอดทนของเราอาจไม่มากพอก็เป็นได้ ทั้งๆที่งานที่ทำก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมากมาย ทำไมนะถึงทนไม่ได้! หรืออาจไม่ใช่งานที่ถนัด หรือไม่ใช่งานที่ตรงกับที่อุตส่าห์เรียนมาตั้ง 4 ปี หรือ หรือ… อีกสารพัดเหตุผล แต่ก็อย่างที่บอกฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ผมตัดสินใจลาออกจริงๆก็คือ พวกปากหอยปากปูทั้งหลาย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ชอบผมกันนักหนา ก็แค่ไม่สนิทกันก็เท่านั้นเองต่างคนต่างทำงานไปไม่เห็นต้องมาเกลียดกันเลย…
แต่ก็ช่างมันเถอะ ก็ลาออกมาแล้วนี่ เพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน ต่างก็บอกว่าผมโง่ ทำไมไม่หางานทำให้ได้ก่อนค่อยลาออก จะได้ไม่เป็นคนตกงาน แล้วพอเป็นอย่างนี้ก็หางานทำยาก บริษัทไหนเขาเห็นประวัติการทำงานเขาก็ไม่อยากรับเพราะเขาจะคิดว่าเป็นพวกไม่อดทน รับความกดดันไม่ได้แล้วจะทำงานกับบริษัทเขาได้นานเท่าไหร่เชียว ผมก็ยอมรับนะว่าความอดทนมีจำกัด ความกดดันมากๆ จากหลายๆ สาเหตุใครจะไปทนไหว ทั้งเรื่องการทำงาน เรื่องการเดินทาง เรื่องหัวหน้าและเรื่องเพื่อนร่วมงาน สารพัดความกดดัน ถามกลับพวกเพื่อนๆ ก็เงียบกันหมด ผมนะอดทนมากแล้วไม่อย่างนั้นไม่ทนมาได้ตั้งนานหรอก เพราะทำงานที่นั่นได้ยังไม่ถึง 3 เดือนดี ผมก็รู้แล้วว่างานแบบนี้มันไม่ใช่งานที่ผมชอบ ที่ทำงานเก่าผมยังรู้สึกสนุกกับการทำงานมากกว่าที่นี่ตั้งเยอะ อย่างที่บอกนั่นแหละ ช่างมันเถอะ สิ่งที่ผมจะต้องทำในตอนนั้นคือ ใช้อย่างประหยัดแล้วก็รอเสียงโทรศัพท์ดัง ก็แปลกดีนะ! ปกติเวลาเพื่อนฝูงโทรมาจะรู้สึกดีใจที่เพื่อนยังไม่ลืมกัน ยังโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่ คุยเรื่องเก่าๆสมัยเรียนก็มีความสุขดี แต่ตอนนั้นผมกลับใจจดจ่อกับเสียงโทรศัพท์จากหมายเลขแปลกๆ ยิ่งถ้าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย 02… ก็จะรู้สึกตื่นเต้นอย่างไรพิกล ต้องรีบหยิบโทรศัพท์มารับอย่างไว แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ระบบการค้นหาคนสมัครงานมันรวน หรือเพราะว่าผมสมัครงานไว้หลายแห่งเกินจนจำไม่ได้ บริษัทที่โทรมาเกือบทั้งหมดเป็นบริษัทที่ผมจำได้ว่าไม่ได้สมัครไว้สักที่ โทรมาขอนัดให้เข้าไปสัมภาษณ์ บางวันโทรเข้ามา สองสามสายจากบริษัทเดียวกัน ทีแรกผมก็คิดว่าคุณสมบัติอย่างผมคงเป็นที่ต้องการของบริษัทนี้จริงๆ แต่หลังจากไปสัมภาษณ์มาผมถึงรู้ว่า… ลักษณะนี้ผมเคยมาสัมภาษณ์แล้วครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง เขาไม่ได้ต้องการคนที่มีคุณสมบัติอย่างผมหรอก แต่เขาต้องการทุกคนที่ตกงานนั่นแหละ เพราะงานแบบนี้คงต้องการคนเยอะๆไปทำ ตอนนั้นผมยังคิดว่าถ้าจวนเจียนจริงๆอาจจะลองไปทำดูสักตั้ง แต่ผมอาจไม่มีวาสนาได้เป็นเจ้าของรถหรูๆ ได้เป็นเจ้าของบ้านหลังโตๆเหมือนที่เขาบอกมาตอนที่ไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทนั้น ก็เลยไม่ได้ไปทำ

เพราะผมดันได้งานที่คาดไม่ถึง ยิ่งกว่าเสียก่อน…
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่