สวัสดีค่ะ เพื่อนชาวพันทิปทุกคน วันนี้เราจะมารีวิว บินเที่ยวเชียงใหม่ พักโรงแรมMercure Chiang Mai ทริปพักผ่อนสั้น 3 วัน 2 คืน
โดยที่ทริปนี้เราจะใช้บริการรถเช่า พร้อมคนขับค่ะ เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง เนื่องจากเราพาคุณแม่ไปพักผ่อนเลยไม่อยากโบกรถหรือเช่ารถขับเองค่ะ (เพราะเราขับรถไม่เป็น
จะให้คุณแม่ขับก็เกรงว่าจะไม่ดีเพราะตั้งใจพาท่านไปเที่ยวค่ะ)
เริ่มกันที่เลือกจองแพคเกจเที่ยวจากเว็บของเจ้าเดิมค่ะ AirAsiaGo เราพวกบ้าติดตามโปรโมชั่นค่ะ 55 เลยมักจะได้โปรดีๆในการเดินทางเที่ยว แต่ว่าจริงๆ ช่วงหลังๆมาก็ไม่ได้ราคาถูกมากนะคะ ทริปหน้าเราไปเชียงรายก็ราคาสูงอยู่เหมือนกัน เดี๋ยวไว้กลับมาจะรีวิวให้ชมนะคะ เรามาดูราคาที่เราได้สำหรับทริปนี้ก่อนคะ
ราคาโรงแรมพร้อมเที่ยวบิน ฿2,159.94 ต่อคน ได้พักโรงแรมMercure ถือว่าไม่แพงเท่าไรแต่ว่า ราคานี้ไม่ได้รวมอาหารเช้านะคะ ซึ่งเราไปซื้อเพิ่มทางโรงแรมคิดที่ราคา 300 บาทต่อคน (รับประทานอาหารเช้า 2 วัน) เราก็เลยซื้อบุฟเฟ่ต์มื้อเช้าเพิ่มเลยค่ะ
เที่ยวบินที่ได้สำหรับทริปเชียงใหม่ 3 วัน 2คืน
ขาไป กรุงเทพฯ (DMK) - เชียงใหม่ (CNX) 11:35 - 12:55
ขากลับ เชียงใหม่ (CNX) - กรุงเทพฯ (DMK) 14:15 -15:30
ส่วนตัวเราชอบบินไฟลท์สายๆแบบนี้นะคะ ไม่ชอบไฟลท์เช้าสุดกลับดึกสุด มันลำบากตอนตื่นกลัวรถติดกลัวตกเครื่องค่ะ
(อีกอย่างเวลาทำงานเราก็มีไปส่งลูกค้าไฟลท์เช้าๆ แบบตี 4 โอ้ยไม่ได้นอนเลยคะ ตี 2 ก็ต้องตื่นไปสนามบินแล้ว เที่ยวเองขอสบายๆหน่อยแล้วกัน)
เมื่อเราได้ตั๋วราคาประหยัดซึ่งมักจะไม่รวมค่าโหลดกระเป๋า เราก็จะใช้กระเป๋าล้อลากขนาด 20 นิ้วถือขึ้นเครื่องค่ะ น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลนะคะ ขนาดนี้ถือขึ้นเครื่องได้คะ
รูปกระเป๋าคู่กายเรา สีสันสดใส
เมื่อไม่ได้โหลดกระเป๋าลงใต้ท้องเครื่องดังนั้น ของใช้ส่วนตัวที่เป็นของเหลวจะถือขึ้นเครื่องได้เมื่อบรรจุภัณฑ์มีขนาดความจุไม่เกิน 100ml. และจำนวนชิ้นไม่เกิน 10 ชิ้นหรือ รวมประมาณไม่เกิน 1,000ml. และใส่ลงในถุงซิบล็อคอย่างเรียบร้อยแบบนี้คะ
เครื่องออกแล้ว 11:35 เราออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองพร้อมเดินทางสู่สนามบินเชียงใหม่กันแล้วจ้า
เมื่อถึงสนามบินเชียงใหม่เราก็โทรหาพี่คนขับรถเช่าที่เราจองเอาไว้ค่ะ ขอบอกว่าเราได้ในราคา 3,000 บาท สำหรับทริป 3 วัน พร้อมคนขับ แต่ไม่รวมน้ำมันนะคะ ยังคงKoncept ประหยัดๆ เหมือนเดิม
รูปรถเช่าค่ะ เป็นรถToyota Avanza โฉมเก่า แต่ก็นั่งสบายคะ เดินทางแค่ 2 คนรถขนาดนี้กำลังดีเลย แถมมีที่เก็บกระเป๋าตรงด้านท้ายรถ ดีและคุ้มค่ะ
ภาพนี้เราถ่ายตอนใกล้จะกลับแล้วนะคะแต่ขอเอามาลงเพื่อการบรรยายทริปอย่างเห็นภาพค่ะ
จากนั้นเราก็ไปทำการเช็คอินกันเลยค่ะ จากสนามบินมาโรงแรมMercure Chiang Maiไม่ไกลค่ะใกล้นิดเดียวเอง
โรงแรมเมอร์เคียวเชียงใหม่ อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองค่ะ เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ที่ได้มาตรฐาน แม้ว่าโรงแรมจะสร้างมาค่อนข้างนานแล้ว แต่ก็มีการทำRenovate ปรับปรุงห้องพัก ที่เราประทับใจคือความเป็นมาตรฐานของเมอร์เคียวค่ะ
มาดูรูปภายในห้องพักกันนะคะ เตียงใหญ่มาก เรียกว่าคิงไซส์เบด ใหญ่กว่าเตียงปกติที่บ้านอีกคะ่
อีกรูปจากอีกมุมนะคะ
ห้องพักที่เราได้เป็นชั้นเดียวกับชั้นของสระว่ายน้ำเลยคะ ทริปกระบี่ก็ติดสระ สงสัยพนง.เห็นหน้าเราจะรู้ได้เลยว่าเราชอบว่ายน้ำมากๆ
มาดูที่สระว่ายน้ำโรงแรมกันค่ะ
ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาว่ายกันเยอะค่ะ แต่ไม่ส่งเสียงดังรบกวนนะคะ ว่ายน้ำแบบว่ายจริงๆ แต่ถ้าเป็นครอบครัวคนไทยจะเสียงดังมาก และมาเล่นน้ำมากกว่าค่ะ และสระจะดูเล็กไปเลยถ้ามีครอบครัวคนไทยมาลงสระกัน
เก็บของเสร็จแล้วออกไปเที่ยวดีกว่าคะ เริ่มจากสถานที่แรกคือ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ค่าเข้าชม 20 บาทค่ะ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างขึ้น ในปีพ.ศ. 2504 ใช้เป็นที่ประทับในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานมาประทับแรม ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทรงงาน และเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตภาคเหนือคะ
ภายในมีสวนดอกไม้เมืองหนาว ซึ่งมีชื่อเรียกว่าสวนสุวรี เป็นสวนกุหลาบซึ่งตั้งตามชื่อของท่านผู้หญิงสุวรี เทพาคำนางสนองพระโอษฐ์ คะ
ยังมีอ่างเก็บน้ำ เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่เก็บกักน้ำไว้ใช้ในพระตำหนัก
หลักจากเราเที่ยวพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เรียบร้อยแล้ว เราก็ไปกันเที่ยวกันต่อค่ะ
เรามากราบสักการะ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ตั้งอยู่บนยอดดอยสุเทพ ซึ่งวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร และถือเป็นวัดที่มีความสำคัญมากของจังหวัดเชียงใหม่ ก่อสร้างตามแบบศิลปะล้านนา เราเลือกจะเดินขึ้นทางบันไดนาคค่ะ
วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนที่เกิดในปีมะแมด้วยนะคะ
กราบองค์พระธาตุเรียบร้อยแล้วเราก็เดินทางลงจากดอยตุงเพื่อไปหาร้านรับประทานอาหารเย็นกันค่ะ
พี่คนขับรถเลยพามาร้านนี้ค่ะ ร้านข้าวซอยลำดวนฟ้าฮ่าม จ.เชียงใหม่
มาถึงแล้วก็ต้องไม่พลาดที่จะสั่ง ข้าวซอยมาลองชิมกันค่ะ
มาแล้วข้าวซอย อร่อยตามแบบชาวเชียงใหม่จริงๆค่ะ
และเราก็สั่งหมูสะเต๊ะ มาทานเล่นด้วยนะคะ เราชอบบรรยากาศลักษณะของร้านมากๆค่ะ
และที่พลาดไม่ได้ ไม่ได้เป็นอาหารขึ้นชื่อแต่อยากทานค่ะ ตำปลาร้านั้นเอง
บรรยากาศของร้านจะเป็นลักษณะโบราณนิดๆค่ะ ตัวอาคารรูปทรงสวยงามตามแบบล้านนา แต่ภายในจะดูแน่นๆไปนิดนะคะ แต่ก็ไม่ได้อึดอัดแต่อย่างใดค่ะ
ราคาอาหารไม่แพงมากค่ะ จานละ 35 บาท ที่เราสั่งไปก็ราคาร้อยกว่าบาท เกือบๆสองร้อยเองค่ะ ถูกมากๆ
จากนั้นเราก็กลับเข้าโรงแรมที่พักค่ะ พักผ่อนเอาแรงก่อน
วันที่สองของการเดินทาง พี่คนขับรถก็มารับตามเวลาซึ่งเราเลือกออกจากโรงแรม 9 โมงเช้าคะ มาเทียวเลยไม่อยากตื่นเช้ามาก เอาแบบสบายๆตามแบบฉบับเราเหมือนเดิม เราก็เดินทางมาถึงม่อนแจ่ม ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่แค่ 40 นาทีค่ะ อยู่ในอำเภอแม่ริม มาถึงก็เก็บภาพบรรยากาศกันเลยค่ะ
ม่อนแจ่มนั้นมีอากาศเย็นสบายตลอดปี หากมาในตอนเช้าก็จะมีหมอก แต่เรามาสายแล้วค่ะหมอกไปหมดแล้ว แต่ก็มาชมวิวทิวทัศน์ของทิวเขาที่สลับกันอย่างสวยงาม
จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจของม่อนแจ่ม คือ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย
ซึ่งภายในมีแปลงผักและผลไม้เมืองหนาว เช่น อาติโช๊ค,องุ่น,สตรอเบอรี่ ฯลฯ
และยังมีชาวเขามาให้บริการเช่าชุดเพื่อถ่ายรูปเล่นด้วยค่ะ ค่าเช่าชุดอยู่ที่ 50 บาทค่ะ
จากนั้นเราก็มาแวะไร่สตรอเบอรี่ลูกใหญ่มาก นั้นมันของปลอมนิ
จริงๆผลผลิตยังลูกเล็กๆอยู่เลยค่ะ
จากนั้นเราก็มาย่านถนนนิมมานเหมินทร์กันคะ เพื่อหาร้านอาหารรับประทานอาหารกลางวันกัน ซึ่งเราก็เลือกทานกันที่ Moshi Moshi Japanese Restaurant แล้วเราก็สั่งอาหารตามนี้เลยคะ ข้าวปั้นมาแล้ว
ร้านโมชิ โมชิ ตั้งอยู่ที่ ถนนนิมมานเหมินทร์ ซอย 5 มาแล้วจานที่สอง ปลาดิบค่ะ
เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบบตึกแถวห้องเดียว ภายในมีแอร์นะคะ แต่ว่าสั่งเบียร์ทีก็เดินออกไปซื้อข้างนอกที 55 คุณแม่เราต้องรับประทานอาหารแกลมเบียร์ด้วยคะ แล้วก็มาอีกจานซุปปูค่ะ
เบ็ดเสร็จค่าเสียมื้อนี้หมดไป 1,200 บาท มีเบียร์ 2 ขวดด้วยนะคะ อิ่มแล้วเราก็เดินย่านนิมมาน นิดหน่อยแล้วก็กลับโรงแรมค่ะ
ไปว่ายน้ำเล่นพักผ่อน และตอนเย็นเราจะไปรับประทานขันโตกกันคะ
ก่อนกลับโรงแรมพี่คนขับก็พาไปแวะดูของฝากที่ตลาดวโรรส ได้ของมาประมาณนี้เลยค่ะ
จากนั้นประมาณ 6โมง พี่คนขับก็มารับเราไปศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ (Old Chiangmai Cultural Center) เพื่อรับประทานขันโตกพร้อมชมการแสดงค่ะ
มาถึงก็ถ่ายรูปหน่อยค่ะ
จริงแล้วร้านอาหารขันโตกในเชียงใหม่มีหลายร้านนะคะ แต่ว่าขันโตกศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ นั้นจะเป็นแบบล้านนาแท้ และเปิดเป็นเจ้าแรกของเชียงใหม่
ราคาอาหารแบบบุฟเฟต์ขันโตกอยู่ที่ 520 บาท ต่อคนค่ะ
อาหารก็จะมีประมาณนี้ค่ะ และมาเติมเรื่อย พนักงานบริการดีมาก ค่อยถามไถ่ตลอดรับอะไรเพิ่มไหม แถมชวนคุย น่ารักมากๆค่ะ จริงๆแล้วรสชาติอาหารยังกลางๆ ค่อนไปทางจืดค่ะ น้ำพริกหนุ่มและน้ำพริกอ่องรสชาติยังไม่ถึง คิดว่าน่าจะทำรสจืดให้ถูกปากชาวต่างชาติมากกว่าค่ะ แต่ยอมรับว่าประทับใจการบริการมากค่ะ
แล้วก็ชมการแสดงกันค่ะ เราชมไม่จบนะคะ กลับโรงแรมก่อนแบบว่าง่วงนอนแล้ว
วันที่สามของการเดินทางวันนี้เรามีไฟลท์บินกลับตอน 14:15 ซึ่งมีเวลาเที่ยวแค่ช่วงเช้าค่ะ ตอนแรกเราแจ้งพี่คนขับว่าจะไหว้พระในตัวเมืองแล้วกลับ แต่พี่เค้าเสนอให้ไปเที่ยวเวียงกุมกามก่อนค่ะ พี่เค้าบอกว่าเวลาเหลือเฟือ
เราก็มาเที่ยวกันที่เวียงกุมกาม นั่งรถม้าชมเมืองกันค่ะ โดยพี่คนขับรถม้าจะทำหน้าที่เป็นไกด์บรรยายสถานที่ท่องเที่ยวด้วยค่ะ
เวียงกุมกามอดีตเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนา พญามังรายโปรดให้สร้างเมื่อ พ.ศ. 1829 ทดลองที่สร้างเมืองนี้ขึ้นก่อนที่จะมาเป็นเมืองเชียงใหม่
วัดแรกที่เราแวะชมคือวัดหลางแห่งเมืองกุมกามค่ะ
เวียงกุมกามเป็นเมืองหลวงได้เพียง 12 ปี เพราะประสบปัญหาน้ำท่วมทุกปี พญามังรายจึงโปรดให้ย้ายเมืองไปสร้าง “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” ซึ่งมีชัยภูมิที่ดีกว่า เวียงกุมกามจึงกลายเป้นเมืองที่ถูกลืม
[CR] รีวิวบินเที่ยวเชียงใหม่ 3 วัน 2 คืน พักโรงแรม Mercure Chiang Mai
โดยที่ทริปนี้เราจะใช้บริการรถเช่า พร้อมคนขับค่ะ เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง เนื่องจากเราพาคุณแม่ไปพักผ่อนเลยไม่อยากโบกรถหรือเช่ารถขับเองค่ะ (เพราะเราขับรถไม่เป็น จะให้คุณแม่ขับก็เกรงว่าจะไม่ดีเพราะตั้งใจพาท่านไปเที่ยวค่ะ)
เริ่มกันที่เลือกจองแพคเกจเที่ยวจากเว็บของเจ้าเดิมค่ะ AirAsiaGo เราพวกบ้าติดตามโปรโมชั่นค่ะ 55 เลยมักจะได้โปรดีๆในการเดินทางเที่ยว แต่ว่าจริงๆ ช่วงหลังๆมาก็ไม่ได้ราคาถูกมากนะคะ ทริปหน้าเราไปเชียงรายก็ราคาสูงอยู่เหมือนกัน เดี๋ยวไว้กลับมาจะรีวิวให้ชมนะคะ เรามาดูราคาที่เราได้สำหรับทริปนี้ก่อนคะ
ราคาโรงแรมพร้อมเที่ยวบิน ฿2,159.94 ต่อคน ได้พักโรงแรมMercure ถือว่าไม่แพงเท่าไรแต่ว่า ราคานี้ไม่ได้รวมอาหารเช้านะคะ ซึ่งเราไปซื้อเพิ่มทางโรงแรมคิดที่ราคา 300 บาทต่อคน (รับประทานอาหารเช้า 2 วัน) เราก็เลยซื้อบุฟเฟ่ต์มื้อเช้าเพิ่มเลยค่ะ
เที่ยวบินที่ได้สำหรับทริปเชียงใหม่ 3 วัน 2คืน
ขาไป กรุงเทพฯ (DMK) - เชียงใหม่ (CNX) 11:35 - 12:55
ขากลับ เชียงใหม่ (CNX) - กรุงเทพฯ (DMK) 14:15 -15:30
ส่วนตัวเราชอบบินไฟลท์สายๆแบบนี้นะคะ ไม่ชอบไฟลท์เช้าสุดกลับดึกสุด มันลำบากตอนตื่นกลัวรถติดกลัวตกเครื่องค่ะ
(อีกอย่างเวลาทำงานเราก็มีไปส่งลูกค้าไฟลท์เช้าๆ แบบตี 4 โอ้ยไม่ได้นอนเลยคะ ตี 2 ก็ต้องตื่นไปสนามบินแล้ว เที่ยวเองขอสบายๆหน่อยแล้วกัน)
เมื่อเราได้ตั๋วราคาประหยัดซึ่งมักจะไม่รวมค่าโหลดกระเป๋า เราก็จะใช้กระเป๋าล้อลากขนาด 20 นิ้วถือขึ้นเครื่องค่ะ น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลนะคะ ขนาดนี้ถือขึ้นเครื่องได้คะ
รูปกระเป๋าคู่กายเรา สีสันสดใส
เมื่อไม่ได้โหลดกระเป๋าลงใต้ท้องเครื่องดังนั้น ของใช้ส่วนตัวที่เป็นของเหลวจะถือขึ้นเครื่องได้เมื่อบรรจุภัณฑ์มีขนาดความจุไม่เกิน 100ml. และจำนวนชิ้นไม่เกิน 10 ชิ้นหรือ รวมประมาณไม่เกิน 1,000ml. และใส่ลงในถุงซิบล็อคอย่างเรียบร้อยแบบนี้คะ
เครื่องออกแล้ว 11:35 เราออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองพร้อมเดินทางสู่สนามบินเชียงใหม่กันแล้วจ้า
เมื่อถึงสนามบินเชียงใหม่เราก็โทรหาพี่คนขับรถเช่าที่เราจองเอาไว้ค่ะ ขอบอกว่าเราได้ในราคา 3,000 บาท สำหรับทริป 3 วัน พร้อมคนขับ แต่ไม่รวมน้ำมันนะคะ ยังคงKoncept ประหยัดๆ เหมือนเดิม
รูปรถเช่าค่ะ เป็นรถToyota Avanza โฉมเก่า แต่ก็นั่งสบายคะ เดินทางแค่ 2 คนรถขนาดนี้กำลังดีเลย แถมมีที่เก็บกระเป๋าตรงด้านท้ายรถ ดีและคุ้มค่ะ
ภาพนี้เราถ่ายตอนใกล้จะกลับแล้วนะคะแต่ขอเอามาลงเพื่อการบรรยายทริปอย่างเห็นภาพค่ะ
จากนั้นเราก็ไปทำการเช็คอินกันเลยค่ะ จากสนามบินมาโรงแรมMercure Chiang Maiไม่ไกลค่ะใกล้นิดเดียวเอง
โรงแรมเมอร์เคียวเชียงใหม่ อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองค่ะ เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ที่ได้มาตรฐาน แม้ว่าโรงแรมจะสร้างมาค่อนข้างนานแล้ว แต่ก็มีการทำRenovate ปรับปรุงห้องพัก ที่เราประทับใจคือความเป็นมาตรฐานของเมอร์เคียวค่ะ
มาดูรูปภายในห้องพักกันนะคะ เตียงใหญ่มาก เรียกว่าคิงไซส์เบด ใหญ่กว่าเตียงปกติที่บ้านอีกคะ่
อีกรูปจากอีกมุมนะคะ
ห้องพักที่เราได้เป็นชั้นเดียวกับชั้นของสระว่ายน้ำเลยคะ ทริปกระบี่ก็ติดสระ สงสัยพนง.เห็นหน้าเราจะรู้ได้เลยว่าเราชอบว่ายน้ำมากๆ
มาดูที่สระว่ายน้ำโรงแรมกันค่ะ
ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาว่ายกันเยอะค่ะ แต่ไม่ส่งเสียงดังรบกวนนะคะ ว่ายน้ำแบบว่ายจริงๆ แต่ถ้าเป็นครอบครัวคนไทยจะเสียงดังมาก และมาเล่นน้ำมากกว่าค่ะ และสระจะดูเล็กไปเลยถ้ามีครอบครัวคนไทยมาลงสระกัน
เก็บของเสร็จแล้วออกไปเที่ยวดีกว่าคะ เริ่มจากสถานที่แรกคือ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ค่าเข้าชม 20 บาทค่ะ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างขึ้น ในปีพ.ศ. 2504 ใช้เป็นที่ประทับในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานมาประทับแรม ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทรงงาน และเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตภาคเหนือคะ
ภายในมีสวนดอกไม้เมืองหนาว ซึ่งมีชื่อเรียกว่าสวนสุวรี เป็นสวนกุหลาบซึ่งตั้งตามชื่อของท่านผู้หญิงสุวรี เทพาคำนางสนองพระโอษฐ์ คะ
ยังมีอ่างเก็บน้ำ เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่เก็บกักน้ำไว้ใช้ในพระตำหนัก
หลักจากเราเที่ยวพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เรียบร้อยแล้ว เราก็ไปกันเที่ยวกันต่อค่ะ
เรามากราบสักการะ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ตั้งอยู่บนยอดดอยสุเทพ ซึ่งวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร และถือเป็นวัดที่มีความสำคัญมากของจังหวัดเชียงใหม่ ก่อสร้างตามแบบศิลปะล้านนา เราเลือกจะเดินขึ้นทางบันไดนาคค่ะ
วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนที่เกิดในปีมะแมด้วยนะคะ
กราบองค์พระธาตุเรียบร้อยแล้วเราก็เดินทางลงจากดอยตุงเพื่อไปหาร้านรับประทานอาหารเย็นกันค่ะ
พี่คนขับรถเลยพามาร้านนี้ค่ะ ร้านข้าวซอยลำดวนฟ้าฮ่าม จ.เชียงใหม่
มาถึงแล้วก็ต้องไม่พลาดที่จะสั่ง ข้าวซอยมาลองชิมกันค่ะ
มาแล้วข้าวซอย อร่อยตามแบบชาวเชียงใหม่จริงๆค่ะ
และเราก็สั่งหมูสะเต๊ะ มาทานเล่นด้วยนะคะ เราชอบบรรยากาศลักษณะของร้านมากๆค่ะ
และที่พลาดไม่ได้ ไม่ได้เป็นอาหารขึ้นชื่อแต่อยากทานค่ะ ตำปลาร้านั้นเอง
บรรยากาศของร้านจะเป็นลักษณะโบราณนิดๆค่ะ ตัวอาคารรูปทรงสวยงามตามแบบล้านนา แต่ภายในจะดูแน่นๆไปนิดนะคะ แต่ก็ไม่ได้อึดอัดแต่อย่างใดค่ะ
ราคาอาหารไม่แพงมากค่ะ จานละ 35 บาท ที่เราสั่งไปก็ราคาร้อยกว่าบาท เกือบๆสองร้อยเองค่ะ ถูกมากๆ
จากนั้นเราก็กลับเข้าโรงแรมที่พักค่ะ พักผ่อนเอาแรงก่อน
วันที่สองของการเดินทาง พี่คนขับรถก็มารับตามเวลาซึ่งเราเลือกออกจากโรงแรม 9 โมงเช้าคะ มาเทียวเลยไม่อยากตื่นเช้ามาก เอาแบบสบายๆตามแบบฉบับเราเหมือนเดิม เราก็เดินทางมาถึงม่อนแจ่ม ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่แค่ 40 นาทีค่ะ อยู่ในอำเภอแม่ริม มาถึงก็เก็บภาพบรรยากาศกันเลยค่ะ
ม่อนแจ่มนั้นมีอากาศเย็นสบายตลอดปี หากมาในตอนเช้าก็จะมีหมอก แต่เรามาสายแล้วค่ะหมอกไปหมดแล้ว แต่ก็มาชมวิวทิวทัศน์ของทิวเขาที่สลับกันอย่างสวยงาม
จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจของม่อนแจ่ม คือ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย
ซึ่งภายในมีแปลงผักและผลไม้เมืองหนาว เช่น อาติโช๊ค,องุ่น,สตรอเบอรี่ ฯลฯ
และยังมีชาวเขามาให้บริการเช่าชุดเพื่อถ่ายรูปเล่นด้วยค่ะ ค่าเช่าชุดอยู่ที่ 50 บาทค่ะ
จากนั้นเราก็มาแวะไร่สตรอเบอรี่ลูกใหญ่มาก นั้นมันของปลอมนิ
จริงๆผลผลิตยังลูกเล็กๆอยู่เลยค่ะ
จากนั้นเราก็มาย่านถนนนิมมานเหมินทร์กันคะ เพื่อหาร้านอาหารรับประทานอาหารกลางวันกัน ซึ่งเราก็เลือกทานกันที่ Moshi Moshi Japanese Restaurant แล้วเราก็สั่งอาหารตามนี้เลยคะ ข้าวปั้นมาแล้ว
ร้านโมชิ โมชิ ตั้งอยู่ที่ ถนนนิมมานเหมินทร์ ซอย 5 มาแล้วจานที่สอง ปลาดิบค่ะ
เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบบตึกแถวห้องเดียว ภายในมีแอร์นะคะ แต่ว่าสั่งเบียร์ทีก็เดินออกไปซื้อข้างนอกที 55 คุณแม่เราต้องรับประทานอาหารแกลมเบียร์ด้วยคะ แล้วก็มาอีกจานซุปปูค่ะ
เบ็ดเสร็จค่าเสียมื้อนี้หมดไป 1,200 บาท มีเบียร์ 2 ขวดด้วยนะคะ อิ่มแล้วเราก็เดินย่านนิมมาน นิดหน่อยแล้วก็กลับโรงแรมค่ะ
ไปว่ายน้ำเล่นพักผ่อน และตอนเย็นเราจะไปรับประทานขันโตกกันคะ
ก่อนกลับโรงแรมพี่คนขับก็พาไปแวะดูของฝากที่ตลาดวโรรส ได้ของมาประมาณนี้เลยค่ะ
จากนั้นประมาณ 6โมง พี่คนขับก็มารับเราไปศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ (Old Chiangmai Cultural Center) เพื่อรับประทานขันโตกพร้อมชมการแสดงค่ะ
มาถึงก็ถ่ายรูปหน่อยค่ะ
จริงแล้วร้านอาหารขันโตกในเชียงใหม่มีหลายร้านนะคะ แต่ว่าขันโตกศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ นั้นจะเป็นแบบล้านนาแท้ และเปิดเป็นเจ้าแรกของเชียงใหม่
ราคาอาหารแบบบุฟเฟต์ขันโตกอยู่ที่ 520 บาท ต่อคนค่ะ
อาหารก็จะมีประมาณนี้ค่ะ และมาเติมเรื่อย พนักงานบริการดีมาก ค่อยถามไถ่ตลอดรับอะไรเพิ่มไหม แถมชวนคุย น่ารักมากๆค่ะ จริงๆแล้วรสชาติอาหารยังกลางๆ ค่อนไปทางจืดค่ะ น้ำพริกหนุ่มและน้ำพริกอ่องรสชาติยังไม่ถึง คิดว่าน่าจะทำรสจืดให้ถูกปากชาวต่างชาติมากกว่าค่ะ แต่ยอมรับว่าประทับใจการบริการมากค่ะ
แล้วก็ชมการแสดงกันค่ะ เราชมไม่จบนะคะ กลับโรงแรมก่อนแบบว่าง่วงนอนแล้ว
วันที่สามของการเดินทางวันนี้เรามีไฟลท์บินกลับตอน 14:15 ซึ่งมีเวลาเที่ยวแค่ช่วงเช้าค่ะ ตอนแรกเราแจ้งพี่คนขับว่าจะไหว้พระในตัวเมืองแล้วกลับ แต่พี่เค้าเสนอให้ไปเที่ยวเวียงกุมกามก่อนค่ะ พี่เค้าบอกว่าเวลาเหลือเฟือ
เราก็มาเที่ยวกันที่เวียงกุมกาม นั่งรถม้าชมเมืองกันค่ะ โดยพี่คนขับรถม้าจะทำหน้าที่เป็นไกด์บรรยายสถานที่ท่องเที่ยวด้วยค่ะ
เวียงกุมกามอดีตเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนา พญามังรายโปรดให้สร้างเมื่อ พ.ศ. 1829 ทดลองที่สร้างเมืองนี้ขึ้นก่อนที่จะมาเป็นเมืองเชียงใหม่
วัดแรกที่เราแวะชมคือวัดหลางแห่งเมืองกุมกามค่ะ
เวียงกุมกามเป็นเมืองหลวงได้เพียง 12 ปี เพราะประสบปัญหาน้ำท่วมทุกปี พญามังรายจึงโปรดให้ย้ายเมืองไปสร้าง “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” ซึ่งมีชัยภูมิที่ดีกว่า เวียงกุมกามจึงกลายเป้นเมืองที่ถูกลืม