สวัสดีค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวฝากผลงานไว้ที่เว็บพันทิปด้วยนะคะ ยินดีน้อมรับคำนำแนะนำจากทุกท่านค่ะ
- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -
บทนำ
‘ชนเหล่าใดมีกิเลสเป็นที่ตั้ง สุดท้ายย่อมวินาศ ไร้สุข ไร้สงบ’
‘เสียงเล่าลือกล่าวขานถึงนางในตำนานผู้แสนเหี้ยมโหดชั่วร้ายเกินใคร แต่อำนาจบันดาลได้ทุกสิ่งที่นางมีย่อมเย้ายวนให้คนปรารถนา ยอมแลกชีวิตเพื่อให้ได้มา ปรารถนาอำนาจสูงส่งจากนาง
ชายใดรูปงามหรือนางพึงใจ ว่ากันว่าคนผู้นั้นประสงค์สิ่งใดมักได้สิ่งนั้นตามที่ต้องการ ข้อแลกเปลี่ยนเดียวคือการเป็นสามี ปรนนิบัตินางให้สำราญใจ ผู้คนมากมายใคร่ได้อำนาจนี้นักแต่ก็เกรงกลัว ทว่าบางคนกลับยอมเอาชีวิตเอาดวงจิตเข้าแลกผลเพื่อประโยชน์ของตนอยู่ดี ทั้งที่จุดจบแท้จริงของผู้แลกเปลี่ยนคือ ‘ความตาย’ นางสูบวิญญาณชายเหล่านั้นเพื่อเป็นอมตะ’
- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -
กลองศึกลั่นระทึกปลุกใจ ความเงียบก่อนนั้นสลาย ทหารมากมายของสองกองทัพกำลังเผชิญหน้ากัน ผืนดินที่เป็นดินแดงโล่งกว้าง ภูเขาหินขนาดย่อมปกคลุมด้วยสีเขียวของต้นไม้อยู่เป็นฉากหลังด้านหนึ่ง นักรบมากมายอยู่ตรงลานกว้างหันหน้าเข้าหาภูเขานั้น...ที่ซึ่งจะกลายเป็นสมรภูมิเดือดในอีกไม่ช้า
กลองระรัวดังก้องตีเร็วกระชั้นถี่มากขึ้นทุกขณะ หัวใจทหารบางนายสั่นหวิวริบรัว แม้พยายามข่มใจให้สงบนิ่งก็ไม่ง่าย แต่บางนายก็ฮึกเหิมไม่หยุด
แม่ทัพฝ่ายรุกรานมองพลของตนในสนามรบนี้ เขากำลังยิ้มที่มุมปาก จำนวนพลที่มีมากกว่า ยุทโธปกรณ์สูงส่งกว่า ชัยชนะจึงใกล้เข้ามาทุกที เขาได้ลิ้มรสของผู้มีชัย กรีธาทัพมาจนถึงหน้าภูเขาขนาดย่อมที่เป็นประตูเมืองหลวงด้วยเวลารวดเร็วกว่าผู้อื่น ความพ่ายแพ้ตลอดเส้นทางของนครแห่งนี้บ่งบอกบางสิ่ง ผู้ใดทำศึกยากแต่สำหรับเขาช่างง่ายดายนัก แม้อีกฝ่ายมีแม่ทัพฝีมือฉกาจก็พ่ายให้เขาอย่างต่อเนื่อง เมืองนี้เปรียบดั่งขนมหวานรสชาติชุ่มคอสำหรับเขา
สายลับในนั้นส่งข่าวให้รู้ว่าจำนวนพลรบของฝ่ายตรงข้ามมีเท่าที่เห็น หลังเขาลูกย่อมตรงหน้าคือเมืองหลวง นี่คือปราการสุดท้าย หากทำได้สำเร็จ รางวัลอันงดงามคือชื่อเสียง เกียรติยศ และนั่งเมืองเป็นเจ้านครแห่งนี้ย่อมเป็นของเขาไม่ผิดไป แม้ต้องขึ้นตรงกับมาตุภูมิก็ย่อมดีกว่าเป็นเพียงแม่ทัพต่ำศักดิ์กว่าเชื้อพระวงศ์ที่เพิ่งจะล่าถอยเพราะบาดเจ็บ
แค่อึดใจเดียว...รางวัลอันหอมหวานกำลังจะมา หอมหวนเหลือเกิน อีกไม่นานแล้วที่จะได้ครอบครอง
ธงรบโบกสะบัดเมื่อมือแม่ทัพฝ่ายรุกรานให้สัญญาณ กองทัพเข้าปะทะตามแผนที่วางไว้ สายตาอันเฉียบคมกำลังมองการรบตรงหน้า ขบวนรบเคลื่อนไป ฝุ่นแดงเริ่มตลบคละคลุ้ง ปะทะกองทัพอีกฝ่ายราวคลื่นสีดำม้วนตัวเข้าหาชายหาด กลืนกินกองทัพเจ้าบ้านอย่างง่ายดาย
น่าปรีดายิ่งนัก ทุกอย่างเป็นไปดั่งใจหมาย
รถศึกของแม่ทัพฝ่ายรุกรานกำลังเคลื่อนตัวใกล้เข้าไป กินแดนเรื่อยๆ
เขาสดับเสียงโลหะ เสียงโห่ร้อง เสียงโหยหวน ช่างชวนให้สำราญใจ บดขยี้อีกฝ่ายแหลกลาญได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งกระหายชัยชนะ อีกไม่นานนักเขากำลังจะได้เมืองขึ้นถวายองค์เหนือหัว กลิ่นคาวเลือดเริ่มโชยชัด ชวนสะอิดสะเอียนแต่ใจกลับระริกยินดี อบอวลความอำมหิตไร้เมตตาด้วยความปรีดาปราโมทย์
ศึกนี้ไม่มีคำว่าแพ้ สิ่งแลกเปลี่ยนได้ถูกตอบรับ...เขารู้ดี ‘นายเหนือหัวของเขา’ รับสั่งเช่นนั้น แล้วตัวเขาจะต้องเกรงกลัวสิ่งใด การศึกที่ผ่านมาชัดแจ้งว่าเป็นไปตามคำบอกหรือไม่ ชื่อเสียงดินแดนของเขาจะเป็นหนึ่งในโลกา
อา... บดขยี้พวกมันด้วยความรื่นรมย์ หอกดาบปักทะลุร่างกายฝ่ายนั้นช่างสวยสดงดงาม
ฟังสิฟัง... เสียงชายชาติทหารที่อดกลั้นต่อความเจ็บปวดแต่ยังลอดไรฟันให้ได้ยินช่างสุนทรีนัก ยิ่งคำรามอย่างเจ็บปวดเพราะปลายอาวุธโลหะจากฝ่ายเขากระชากออกยิ่งเบิกบาน เลือดแดงฉานย้อมติดมา หลั่งลงผืนดินแห่งนี้ทำให้ยิ่งต้องยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
รถศึกเคลื่อนตัวเข้าประชิดเขาลูกนั้นเรื่อยๆ บดขยี้ทหารอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย ใกล้ถึงประตูเมืองเท่าไรใจยิ่งฮึกเหิม ฝุ่นตลบคลุ้งโดยรอบยิ่งน่าอภิรมย์
หอม...กลิ่นชัยชนะเหลือเกิน ยิ่งเมื่อเห็นเลือดแดงฉาน ได้ฟังถ้อยคำราม มือทหารฝ่ายตรงข้ามง้างเงื้ออาวุธเพื่อปกป้องแผ่นดินสุดลมหายใจสุดท้ายก่อนจะหมดลงและล้มลงตรงหน้าเป็นจำนวนมากเท่าไหร่ ก็ราวกับนาฏลีลาอันงดงามตามความนิยมของบุรุษผู้เสวยรสสงครามอย่างเขามากเท่านั้น น่าเปรมปรีดิ์ยิ่ง
ประตูเมืองเห็นอยู่ไม่ไกล ได้แต่ยิ้มออกมา... อย่างเหี้ยมเกรียม
- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -
ประตูเมือง อีกฟากหนึ่งของสนามรบ
ทหารผู้ปกป้องแผ่นดินตนล้วนต่อสู้เต็มกำลัง ทั้งอาวุธและจำนวนพลช่างอ่อนด้อยนัก ทุกอย่างเป็นรอง ตัวแม่ทัพของเมืองนี้รู้ดีว่าการศึกตรงหน้าประหนึ่งเอาเนื้อไปให้อีกฝ่ายแล่เล่นก็ต้องทำ...ต้องสู้
“องค์ปัทม”
แม่ทัพยกมือห้าม นามนั้นมิทันได้เอ่ยครบ ไม่มีเสียงใดอีก
ดวงตาของผู้ถูกเรียกมองไปยังสมรภูมิ เขาไม่หันมา กองทัพผู้รุกรานใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เบื้องหน้าทหารของเขาต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรีและเต็มกำลัง ทว่ามิแตกต่างจากไฟดวงน้อยที่ดับลงเพราะน้ำจำนวนมหาศาล ยากจะต่อกร
ทหารคนสนิทข้างกายแม่ทัพใหญ่ก้มหน้ายอมรับกิริยาของนายตน แน่ชัดแล้วว่ามีความประสงค์เช่นไร จึงมองไปที่สนามรบเช่นกัน กองทัพอีกฝ่ายหาได้แตกต่างจากคลื่นมหามฤตยู คืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะ...
มิทันได้ระลึกหวาดกลัวสิ่งใดอีก ม้าศึกและร่างสูงใหญ่ทรงเกราะเฉกเช่นนักรบสูงศักดิ์ได้เคลื่อนนำไปแล้ว แผ่นหลังอันทรงภูมิของพระองค์คือที่ยึดเหนี่ยวและออกคำสั่งว่าลมหายใจสุดท้ายยอมพลีเพื่อแผ่นดิน พระองค์ปะทะฝูงชนและห่าสรรพอาวุธของผู้รุกราน ทหารที่เหลือติดตามทันที
การห้ำหั่นต่อสู้ดุเดือดเป็นไป มีเพียงเสียงอึกทึกของโลหะที่เข้าหู ฝุ่นผงตลบคละคลุ้งเข้าจมูก หายใจติดขัด แขนยกดาบกวัดแกว่งฟาดฟัน จับอาวุธใดได้ต่างมุ่งสังหาร เหงื่อผุดขึ้นเต็มแผ่นหลัง ที่กรอบหน้าเริ่มไหลเข้าตาให้แสบเคือง ไม่มีเวลาปัดเป่ามันออกไป มีแต่สติที่ยกอาวุธตั้งรับและฟาดฟัน เริ่มหายใจไม่ทัน สติทั้งหลายคอยฟังเสียง หลบอาวุธศัตรูตามสัญชาตญาณ ไม่มีสิ่งใดเป็นสัญญาณตอบรับจากนางในตำนานแก่ฝ่ายผู้ปกป้องบ้านเมือง จึงต้องสู้ด้วยใจมิย่นระย่อ
เวลานานหรือไม่มิอาจทราบได้ รู้เพียงขณะนี้เหนื่อยแทบจะขาดใจ บาดเจ็บตรงไหนมิใช่สำคัญ มือยังจับดาบสู้ได้เพราะใจปกป้องดินแดน มอบลมหายใจสุดท้ายและชีวิตแก่แผ่นดิน
ฝุ่นสีแดงกระจายฟุ้งไปทั่ว มากจนต่างฝ่ายต่างเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ ฝุ่นนั้นคละคลุ้งและสูงเหนือผืนดิน เคลื่อนเป็นกลุ่มก้อนเอื่อยๆ เข้ามา ปกคลุมด้วยความหนาแน่นประหนึ่งกลืนกินซากศพของเหล่าทหาร เพียงเสี้ยววินาทีกลับแปรเปลี่ยนเป็นพายุรุนแรงน่ากลัว แต่ที่ทำให้ขนหัวลุกและอยู่ในอาการตกตะลึงก็คือเสียงหัวเราะแหลมเย็นประหนึ่งภูตพรายผุดขึ้นจากนรกอเวจี เสียงนี้ดังสะท้อนทั่วสมรภูมิ
ทหารทั้งหลายขนกายลุกชัน ท้องฟ้าเคยแผดแสงร้อนแรงกลับเต็มไปด้วยเมฆหม่นสีเทา พายุฝุ่นคลุ้งกระจายไปทั่วในชั่วพริบตา ความเย็นเยือกแล่นปราดเข้าสู่ผิวหนังทะลุถึงกระดูก แทรกซึมเข้าทุกรูขุมขนของผู้กล้าให้รู้สึกถึงความน่ากลัวที่มาถึงปลายจมูกตนแล้ว
นางในตำนานผู้เลื่องชื่อว่าเป็นแม่มดสุดแสนอัปลักษณ์ชั่วโฉดเกินใครในแผ่นดินได้สำแดงฤทธิ์ ผู้คนในสมรภูมินิ่งงัน เหลือเพียงความเงียบในทันที
แม่ทัพผู้คิดว่าตนจะได้ชัยชนะก่อนนั้นเริ่มรู้ตัว
“ไม่!” เขาโหยหวนตะโกนก้องด้วยความเคียดแค้น อีกฝ่ายคงทำการแลกเปลี่ยน ‘บางสิ่ง’ ทันเวลาจนจุดจบพลิกผันเช่นนี้ ความเย็นเยียบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าบอกให้รู้ว่าอะไรกำลังมาถึง ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องเผชิญความตายด้วยฝีมือของนางในตำนาน แน่ชัดว่าชั่วโฉดดั่งคำลือ มากกว่านั้นที่รู้แจ้งคือ ‘ไร้สัจจะ!’ และแล้วสติสัมปชัญญะทั้งหลายได้หมดลง
เสียงคร่ำครวญของเหล่าทหารไม่รู้ฝ่ายดังตามมา หวีดร้องเสียงหลงต่อเนื่องทันที
ไม่มีใครรู้ว่าในความทะมึนมืดคลุ้งไปด้วยฝุ่นสีแดงหนาแน่นนั้นคืออะไรหรือกำลังเกิดอะไรขึ้น
ทุกผู้ทุกนามในสนามรบก็เช่นกัน เว้นเพียงหนึ่งคนในนั้นที่ยังอยู่ด้วยสติอันครบถ้วนและมองรอบกาย แต่ก็มองอะไรไม่เห็น
ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเพียงใด
ไม่รู้ว่าเสียงที่เคยดังก้องในสมรภูมิรบได้หายไปไหน
ไม่รู้ว่าในพายุฝุ่นสีแดงและความมืดทะมึนนั้นเกิดสิ่งใดขึ้น
ไม่รู้จนกระทั่งทุกอย่างอยู่ในความเงียบยิ่งกว่าเดิม
ไม่นานนักฝุ่นเคยคละคลุ้งไม่มีเหลืออีกต่อไป ความหม่นเทารอบด้านมลายหาย เพียงเท่านี้ก็ปรากฏชัดแก่สายตาบุรุษหนึ่งเดียวที่หลงเหลือในสมรภูมินั้น
ไม่มีอีกแล้วกับซากศพและผู้คนในยุทธภูมิเดือด
ไม่มีอีกแล้วกับทหารหาญมากมายที่เคยยืนหรือนอนอยู่
ไม่มีอีกแล้วกับกองทัพเลื่องชื่อที่จะได้ชัยชนะและกองทัพของผู้ที่ใกล้จะพ่ายแพ้
กลายเป็นความว่างเปล่าชั่วพริบตา
มหากาพย์สงครามยาวนานต่อเนื่องกว่าสี่ปีจบสิ้นลง เหลือเพียงกองเลือดสีแดงฉานบนผืนดินเป็นหลักฐานพยานถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
หลงเหลือ... บรรยากาศวังเวง หดหู่ ชวนสะอิดสะเอียนครอบคลุมไปทั่วบริเวณ
หลงเหลือเพียงสิ่งที่จะถูกเล่าลือกล่าวขานต่อไปยังทั่วแคว้นแดนไกล ถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของนางในตำนานชั่วกัลปาวสาน
ทันใดนั้นความน่ากลัวเหนือสิ่งใดกำลังพุ่งเข้าหาบุรุษหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ ปรากฏร่างหนึ่งมีผ้าสีดำสนิทคลุมมิดชิดทั้งร่าง ผ้าผืนนั้นยาวระพื้นจนไม่เห็นเท้าเจ้าของร่างนี้ ซึ่งเขารู้ดีว่าเป็นใครแม้ไม่เคยพบตัวมาก่อน
นางแสยะยิ้มที่เย็นเยือกจากความรู้สึก
เพียงพริบตาร่างที่คลุมผ้าสีดำก็มาอยู่ตรงหน้า เท้านางไม่แตะผืนดินจนชายผ้าลอยพัดพลิ้วไปตามแรงลม
นางประชิดติดตัวแม่ทัพรูปงามแต่ผมเผ้ารุงรังไร้หมวกแห่งแม่ทัพ ใบหน้าเคยเลอเลิศมีแต่เลือดแดงฉาน เรือนร่างกำยำอาบไปด้วยโลหิต หยาดหยดเฉกเช่นน้ำสดใหม่
แม่ทัพผู้ทำการแลกเปลี่ยนชีวิตตนและยังมีสติครบถ้วนแทบกลั้นหายใจเมื่อประจันหน้า ตาไม่กะพริบเมื่อนางขยับเข้ามาหา อยู่ห่างกันเพียงแค่ลมหายใจสัมผัสถึง รับรู้จากความรู้สึกว่ากำลังถูกนางจ้องมองและพิจารณาร่างกายของเขาทุกสัดส่วน
เขามองเข้าไปในผ้าคลุมศีรษะที่เป็นหมวกซึ่งมาจากผ้าผืนเดียวกัน แต่มิอาจเห็นสิ่งใดภายใต้ผืนผ้าสีดำของนาง มีแค่ความมืดมิดไร้ใบหน้า
“ตอบรับคำขอ นครแลคนของท่านจักพ้นภัย ว่าที่สามีของข้า” นางตอบรับ เสียงหัวเราะพึงพอใจดังมา เป็นเสียงแหบแห้งของหญิงชราที่แฝงมาด้วยความเย็นเยือกชวนขนลุก เหยียบขวัญให้ยิ่งผวา ราวกับว่าหวีดร้องลอยมาจากนรกโลกันตร์!
- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์
- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -
บทนำ
‘เสียงเล่าลือกล่าวขานถึงนางในตำนานผู้แสนเหี้ยมโหดชั่วร้ายเกินใคร แต่อำนาจบันดาลได้ทุกสิ่งที่นางมีย่อมเย้ายวนให้คนปรารถนา ยอมแลกชีวิตเพื่อให้ได้มา ปรารถนาอำนาจสูงส่งจากนาง
ชายใดรูปงามหรือนางพึงใจ ว่ากันว่าคนผู้นั้นประสงค์สิ่งใดมักได้สิ่งนั้นตามที่ต้องการ ข้อแลกเปลี่ยนเดียวคือการเป็นสามี ปรนนิบัตินางให้สำราญใจ ผู้คนมากมายใคร่ได้อำนาจนี้นักแต่ก็เกรงกลัว ทว่าบางคนกลับยอมเอาชีวิตเอาดวงจิตเข้าแลกผลเพื่อประโยชน์ของตนอยู่ดี ทั้งที่จุดจบแท้จริงของผู้แลกเปลี่ยนคือ ‘ความตาย’ นางสูบวิญญาณชายเหล่านั้นเพื่อเป็นอมตะ’
- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -
กลองศึกลั่นระทึกปลุกใจ ความเงียบก่อนนั้นสลาย ทหารมากมายของสองกองทัพกำลังเผชิญหน้ากัน ผืนดินที่เป็นดินแดงโล่งกว้าง ภูเขาหินขนาดย่อมปกคลุมด้วยสีเขียวของต้นไม้อยู่เป็นฉากหลังด้านหนึ่ง นักรบมากมายอยู่ตรงลานกว้างหันหน้าเข้าหาภูเขานั้น...ที่ซึ่งจะกลายเป็นสมรภูมิเดือดในอีกไม่ช้า
กลองระรัวดังก้องตีเร็วกระชั้นถี่มากขึ้นทุกขณะ หัวใจทหารบางนายสั่นหวิวริบรัว แม้พยายามข่มใจให้สงบนิ่งก็ไม่ง่าย แต่บางนายก็ฮึกเหิมไม่หยุด
แม่ทัพฝ่ายรุกรานมองพลของตนในสนามรบนี้ เขากำลังยิ้มที่มุมปาก จำนวนพลที่มีมากกว่า ยุทโธปกรณ์สูงส่งกว่า ชัยชนะจึงใกล้เข้ามาทุกที เขาได้ลิ้มรสของผู้มีชัย กรีธาทัพมาจนถึงหน้าภูเขาขนาดย่อมที่เป็นประตูเมืองหลวงด้วยเวลารวดเร็วกว่าผู้อื่น ความพ่ายแพ้ตลอดเส้นทางของนครแห่งนี้บ่งบอกบางสิ่ง ผู้ใดทำศึกยากแต่สำหรับเขาช่างง่ายดายนัก แม้อีกฝ่ายมีแม่ทัพฝีมือฉกาจก็พ่ายให้เขาอย่างต่อเนื่อง เมืองนี้เปรียบดั่งขนมหวานรสชาติชุ่มคอสำหรับเขา
สายลับในนั้นส่งข่าวให้รู้ว่าจำนวนพลรบของฝ่ายตรงข้ามมีเท่าที่เห็น หลังเขาลูกย่อมตรงหน้าคือเมืองหลวง นี่คือปราการสุดท้าย หากทำได้สำเร็จ รางวัลอันงดงามคือชื่อเสียง เกียรติยศ และนั่งเมืองเป็นเจ้านครแห่งนี้ย่อมเป็นของเขาไม่ผิดไป แม้ต้องขึ้นตรงกับมาตุภูมิก็ย่อมดีกว่าเป็นเพียงแม่ทัพต่ำศักดิ์กว่าเชื้อพระวงศ์ที่เพิ่งจะล่าถอยเพราะบาดเจ็บ
แค่อึดใจเดียว...รางวัลอันหอมหวานกำลังจะมา หอมหวนเหลือเกิน อีกไม่นานแล้วที่จะได้ครอบครอง
ธงรบโบกสะบัดเมื่อมือแม่ทัพฝ่ายรุกรานให้สัญญาณ กองทัพเข้าปะทะตามแผนที่วางไว้ สายตาอันเฉียบคมกำลังมองการรบตรงหน้า ขบวนรบเคลื่อนไป ฝุ่นแดงเริ่มตลบคละคลุ้ง ปะทะกองทัพอีกฝ่ายราวคลื่นสีดำม้วนตัวเข้าหาชายหาด กลืนกินกองทัพเจ้าบ้านอย่างง่ายดาย
น่าปรีดายิ่งนัก ทุกอย่างเป็นไปดั่งใจหมาย
รถศึกของแม่ทัพฝ่ายรุกรานกำลังเคลื่อนตัวใกล้เข้าไป กินแดนเรื่อยๆ
เขาสดับเสียงโลหะ เสียงโห่ร้อง เสียงโหยหวน ช่างชวนให้สำราญใจ บดขยี้อีกฝ่ายแหลกลาญได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งกระหายชัยชนะ อีกไม่นานนักเขากำลังจะได้เมืองขึ้นถวายองค์เหนือหัว กลิ่นคาวเลือดเริ่มโชยชัด ชวนสะอิดสะเอียนแต่ใจกลับระริกยินดี อบอวลความอำมหิตไร้เมตตาด้วยความปรีดาปราโมทย์
ศึกนี้ไม่มีคำว่าแพ้ สิ่งแลกเปลี่ยนได้ถูกตอบรับ...เขารู้ดี ‘นายเหนือหัวของเขา’ รับสั่งเช่นนั้น แล้วตัวเขาจะต้องเกรงกลัวสิ่งใด การศึกที่ผ่านมาชัดแจ้งว่าเป็นไปตามคำบอกหรือไม่ ชื่อเสียงดินแดนของเขาจะเป็นหนึ่งในโลกา
อา... บดขยี้พวกมันด้วยความรื่นรมย์ หอกดาบปักทะลุร่างกายฝ่ายนั้นช่างสวยสดงดงาม
ฟังสิฟัง... เสียงชายชาติทหารที่อดกลั้นต่อความเจ็บปวดแต่ยังลอดไรฟันให้ได้ยินช่างสุนทรีนัก ยิ่งคำรามอย่างเจ็บปวดเพราะปลายอาวุธโลหะจากฝ่ายเขากระชากออกยิ่งเบิกบาน เลือดแดงฉานย้อมติดมา หลั่งลงผืนดินแห่งนี้ทำให้ยิ่งต้องยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
รถศึกเคลื่อนตัวเข้าประชิดเขาลูกนั้นเรื่อยๆ บดขยี้ทหารอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย ใกล้ถึงประตูเมืองเท่าไรใจยิ่งฮึกเหิม ฝุ่นตลบคลุ้งโดยรอบยิ่งน่าอภิรมย์
หอม...กลิ่นชัยชนะเหลือเกิน ยิ่งเมื่อเห็นเลือดแดงฉาน ได้ฟังถ้อยคำราม มือทหารฝ่ายตรงข้ามง้างเงื้ออาวุธเพื่อปกป้องแผ่นดินสุดลมหายใจสุดท้ายก่อนจะหมดลงและล้มลงตรงหน้าเป็นจำนวนมากเท่าไหร่ ก็ราวกับนาฏลีลาอันงดงามตามความนิยมของบุรุษผู้เสวยรสสงครามอย่างเขามากเท่านั้น น่าเปรมปรีดิ์ยิ่ง
ประตูเมืองเห็นอยู่ไม่ไกล ได้แต่ยิ้มออกมา... อย่างเหี้ยมเกรียม
- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -
ประตูเมือง อีกฟากหนึ่งของสนามรบ
ทหารผู้ปกป้องแผ่นดินตนล้วนต่อสู้เต็มกำลัง ทั้งอาวุธและจำนวนพลช่างอ่อนด้อยนัก ทุกอย่างเป็นรอง ตัวแม่ทัพของเมืองนี้รู้ดีว่าการศึกตรงหน้าประหนึ่งเอาเนื้อไปให้อีกฝ่ายแล่เล่นก็ต้องทำ...ต้องสู้
“องค์ปัทม”
แม่ทัพยกมือห้าม นามนั้นมิทันได้เอ่ยครบ ไม่มีเสียงใดอีก
ดวงตาของผู้ถูกเรียกมองไปยังสมรภูมิ เขาไม่หันมา กองทัพผู้รุกรานใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เบื้องหน้าทหารของเขาต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรีและเต็มกำลัง ทว่ามิแตกต่างจากไฟดวงน้อยที่ดับลงเพราะน้ำจำนวนมหาศาล ยากจะต่อกร
ทหารคนสนิทข้างกายแม่ทัพใหญ่ก้มหน้ายอมรับกิริยาของนายตน แน่ชัดแล้วว่ามีความประสงค์เช่นไร จึงมองไปที่สนามรบเช่นกัน กองทัพอีกฝ่ายหาได้แตกต่างจากคลื่นมหามฤตยู คืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะ...
มิทันได้ระลึกหวาดกลัวสิ่งใดอีก ม้าศึกและร่างสูงใหญ่ทรงเกราะเฉกเช่นนักรบสูงศักดิ์ได้เคลื่อนนำไปแล้ว แผ่นหลังอันทรงภูมิของพระองค์คือที่ยึดเหนี่ยวและออกคำสั่งว่าลมหายใจสุดท้ายยอมพลีเพื่อแผ่นดิน พระองค์ปะทะฝูงชนและห่าสรรพอาวุธของผู้รุกราน ทหารที่เหลือติดตามทันที
การห้ำหั่นต่อสู้ดุเดือดเป็นไป มีเพียงเสียงอึกทึกของโลหะที่เข้าหู ฝุ่นผงตลบคละคลุ้งเข้าจมูก หายใจติดขัด แขนยกดาบกวัดแกว่งฟาดฟัน จับอาวุธใดได้ต่างมุ่งสังหาร เหงื่อผุดขึ้นเต็มแผ่นหลัง ที่กรอบหน้าเริ่มไหลเข้าตาให้แสบเคือง ไม่มีเวลาปัดเป่ามันออกไป มีแต่สติที่ยกอาวุธตั้งรับและฟาดฟัน เริ่มหายใจไม่ทัน สติทั้งหลายคอยฟังเสียง หลบอาวุธศัตรูตามสัญชาตญาณ ไม่มีสิ่งใดเป็นสัญญาณตอบรับจากนางในตำนานแก่ฝ่ายผู้ปกป้องบ้านเมือง จึงต้องสู้ด้วยใจมิย่นระย่อ
เวลานานหรือไม่มิอาจทราบได้ รู้เพียงขณะนี้เหนื่อยแทบจะขาดใจ บาดเจ็บตรงไหนมิใช่สำคัญ มือยังจับดาบสู้ได้เพราะใจปกป้องดินแดน มอบลมหายใจสุดท้ายและชีวิตแก่แผ่นดิน
ฝุ่นสีแดงกระจายฟุ้งไปทั่ว มากจนต่างฝ่ายต่างเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ ฝุ่นนั้นคละคลุ้งและสูงเหนือผืนดิน เคลื่อนเป็นกลุ่มก้อนเอื่อยๆ เข้ามา ปกคลุมด้วยความหนาแน่นประหนึ่งกลืนกินซากศพของเหล่าทหาร เพียงเสี้ยววินาทีกลับแปรเปลี่ยนเป็นพายุรุนแรงน่ากลัว แต่ที่ทำให้ขนหัวลุกและอยู่ในอาการตกตะลึงก็คือเสียงหัวเราะแหลมเย็นประหนึ่งภูตพรายผุดขึ้นจากนรกอเวจี เสียงนี้ดังสะท้อนทั่วสมรภูมิ
ทหารทั้งหลายขนกายลุกชัน ท้องฟ้าเคยแผดแสงร้อนแรงกลับเต็มไปด้วยเมฆหม่นสีเทา พายุฝุ่นคลุ้งกระจายไปทั่วในชั่วพริบตา ความเย็นเยือกแล่นปราดเข้าสู่ผิวหนังทะลุถึงกระดูก แทรกซึมเข้าทุกรูขุมขนของผู้กล้าให้รู้สึกถึงความน่ากลัวที่มาถึงปลายจมูกตนแล้ว
นางในตำนานผู้เลื่องชื่อว่าเป็นแม่มดสุดแสนอัปลักษณ์ชั่วโฉดเกินใครในแผ่นดินได้สำแดงฤทธิ์ ผู้คนในสมรภูมินิ่งงัน เหลือเพียงความเงียบในทันที
แม่ทัพผู้คิดว่าตนจะได้ชัยชนะก่อนนั้นเริ่มรู้ตัว
“ไม่!” เขาโหยหวนตะโกนก้องด้วยความเคียดแค้น อีกฝ่ายคงทำการแลกเปลี่ยน ‘บางสิ่ง’ ทันเวลาจนจุดจบพลิกผันเช่นนี้ ความเย็นเยียบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าบอกให้รู้ว่าอะไรกำลังมาถึง ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องเผชิญความตายด้วยฝีมือของนางในตำนาน แน่ชัดว่าชั่วโฉดดั่งคำลือ มากกว่านั้นที่รู้แจ้งคือ ‘ไร้สัจจะ!’ และแล้วสติสัมปชัญญะทั้งหลายได้หมดลง
เสียงคร่ำครวญของเหล่าทหารไม่รู้ฝ่ายดังตามมา หวีดร้องเสียงหลงต่อเนื่องทันที
ไม่มีใครรู้ว่าในความทะมึนมืดคลุ้งไปด้วยฝุ่นสีแดงหนาแน่นนั้นคืออะไรหรือกำลังเกิดอะไรขึ้น
ทุกผู้ทุกนามในสนามรบก็เช่นกัน เว้นเพียงหนึ่งคนในนั้นที่ยังอยู่ด้วยสติอันครบถ้วนและมองรอบกาย แต่ก็มองอะไรไม่เห็น
ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเพียงใด
ไม่รู้ว่าเสียงที่เคยดังก้องในสมรภูมิรบได้หายไปไหน
ไม่รู้ว่าในพายุฝุ่นสีแดงและความมืดทะมึนนั้นเกิดสิ่งใดขึ้น
ไม่รู้จนกระทั่งทุกอย่างอยู่ในความเงียบยิ่งกว่าเดิม
ไม่นานนักฝุ่นเคยคละคลุ้งไม่มีเหลืออีกต่อไป ความหม่นเทารอบด้านมลายหาย เพียงเท่านี้ก็ปรากฏชัดแก่สายตาบุรุษหนึ่งเดียวที่หลงเหลือในสมรภูมินั้น
ไม่มีอีกแล้วกับซากศพและผู้คนในยุทธภูมิเดือด
ไม่มีอีกแล้วกับทหารหาญมากมายที่เคยยืนหรือนอนอยู่
ไม่มีอีกแล้วกับกองทัพเลื่องชื่อที่จะได้ชัยชนะและกองทัพของผู้ที่ใกล้จะพ่ายแพ้
กลายเป็นความว่างเปล่าชั่วพริบตา
มหากาพย์สงครามยาวนานต่อเนื่องกว่าสี่ปีจบสิ้นลง เหลือเพียงกองเลือดสีแดงฉานบนผืนดินเป็นหลักฐานพยานถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
หลงเหลือ... บรรยากาศวังเวง หดหู่ ชวนสะอิดสะเอียนครอบคลุมไปทั่วบริเวณ
หลงเหลือเพียงสิ่งที่จะถูกเล่าลือกล่าวขานต่อไปยังทั่วแคว้นแดนไกล ถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของนางในตำนานชั่วกัลปาวสาน
ทันใดนั้นความน่ากลัวเหนือสิ่งใดกำลังพุ่งเข้าหาบุรุษหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ ปรากฏร่างหนึ่งมีผ้าสีดำสนิทคลุมมิดชิดทั้งร่าง ผ้าผืนนั้นยาวระพื้นจนไม่เห็นเท้าเจ้าของร่างนี้ ซึ่งเขารู้ดีว่าเป็นใครแม้ไม่เคยพบตัวมาก่อน
นางแสยะยิ้มที่เย็นเยือกจากความรู้สึก
เพียงพริบตาร่างที่คลุมผ้าสีดำก็มาอยู่ตรงหน้า เท้านางไม่แตะผืนดินจนชายผ้าลอยพัดพลิ้วไปตามแรงลม
นางประชิดติดตัวแม่ทัพรูปงามแต่ผมเผ้ารุงรังไร้หมวกแห่งแม่ทัพ ใบหน้าเคยเลอเลิศมีแต่เลือดแดงฉาน เรือนร่างกำยำอาบไปด้วยโลหิต หยาดหยดเฉกเช่นน้ำสดใหม่
แม่ทัพผู้ทำการแลกเปลี่ยนชีวิตตนและยังมีสติครบถ้วนแทบกลั้นหายใจเมื่อประจันหน้า ตาไม่กะพริบเมื่อนางขยับเข้ามาหา อยู่ห่างกันเพียงแค่ลมหายใจสัมผัสถึง รับรู้จากความรู้สึกว่ากำลังถูกนางจ้องมองและพิจารณาร่างกายของเขาทุกสัดส่วน
เขามองเข้าไปในผ้าคลุมศีรษะที่เป็นหมวกซึ่งมาจากผ้าผืนเดียวกัน แต่มิอาจเห็นสิ่งใดภายใต้ผืนผ้าสีดำของนาง มีแค่ความมืดมิดไร้ใบหน้า
“ตอบรับคำขอ นครแลคนของท่านจักพ้นภัย ว่าที่สามีของข้า” นางตอบรับ เสียงหัวเราะพึงพอใจดังมา เป็นเสียงแหบแห้งของหญิงชราที่แฝงมาด้วยความเย็นเยือกชวนขนลุก เหยียบขวัญให้ยิ่งผวา ราวกับว่าหวีดร้องลอยมาจากนรกโลกันตร์!
- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -