นอนอยู่บ้านดีๆ วันหนึ่งก็มีเสียงโทรศัพท์จากเพื่อน จูลี่ (นิกเนมที่ฝรั่งเรียก) ชวนไปอ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช
บอกตรง...ความจริงไม่อยากจะไปหรอก เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าขนอมมีอะไรน่าเที่ยว รู้แต่เพียงว่า เคยเป็น “ท่าเทียบเรือ” เท่านั้น
แต่เนื่องจากเคยปฏิเสธเพื่อนต้อมไปครั้งหนึ่ง เมื่อคราวชวนไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน ทั้งๆที่เคยรับปากเสียดิบดี แต่ต้องบอกปัดไปด้วยเหตุผลที่มีมากมาย...คราวนี้ไปขนอมก็ควรที่จะไปเพื่อชดใช้ความผิด???
จูลี่บอกว่า เรามีสาวๆไปด้วยอีก 3 คน (ที่เราไม่รู้จัก) แต่ นายช่วยไปขับรถให้หน่อยได้ป่าว เที่ยวด้วยขับรถด้วย เพื่อ...ชดใช้ความผิด โอเค...ตอบตกลงไปโดยไม่ได้คิดอะไร เพราะตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า กรุงเทพฯไปขนอม นี่มันกี่กิโลเมตร
แต่พอมา search ดูในอากู๋ (google) จึงรู้ว่า โอ้โห 700 กว่ากิโลแม้ว เอ๊ย กิโลเมตรเชียว พอๆกับกรุงเทพฯไปเชียงใหม่โน่น...
เอาละวะในเมื่อตกปากรับคำเพื่อนไปแล้ว ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น ว่าแล้วก็พาน้องจูน รถคู่ใจไปเข้าศูนย์โตโยต้าแถวบ้าน เช็คความพร้อมสักนิดหนึ่ง ขัดสีฉวีวรรณให้ดูใหม่เสียหน่อย
ถึงวันเดินทางตื่นตั้งแต่ตี 3.45 น. ออกจากบ้านประมาณตี 4 กว่าๆไปถึงบ้านจูลี่แถวปากเกร็ดก็เกือบจะตี 5 แล้ว กว่าจะเก็บกระเป๋าและของใช้เสร็จ ออกจากบ้านจูลี่ก็ตี 5 เศษๆแล้ว กลัวสายเพราะเกรงรถจะติด เพราะต้องไปรับอีก 3 สาว
จูลี่เพื่อนคนนี้สนิทกันตั้งแต่ทำงานที่บริษัทเทเลคอมเอเซีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จนกลายมาเป็นบริษัททรูฯ ปัจจุบันจูลี่เป็นสาวแบงค์ไทยพาณิชย์ระดับผู้จัดการ มีชื่อเล่นในภาษาไทยว่า “ต้ม” เอ๊ย “ต้อม”
สาวที่สองที่ขับรถไปรับ บ้านเธออยู่แถวๆจรัลสนิทวงศ์ ชื่อ สาวอ๊บ (เสียงกบร้องนะครับ อ่านออกเสียงพร้อมกันนะครับ อ๊บ...อ๊บ) บ้านเธอนี่ต้องขับรถเข้าซอกเข้าซอยจนงงไปหมด นี่ถ้าให้ขับไปอีกทีก็ไปไม่ถูกแล้ว สาวอ๊บผู้นี้เป็นสาวแบงค์ธนชาติ จัดว่าเธอเป็นสาวสวย (กว่าเพื่อนๆ) จนเพื่อนๆยกให้เป็นสาวสองพันปี... สามพันปี ไม่ใช่ซิ สาวห้าพันปีแล้วมั้ง....???
หลังจากรับสาวอ๊บขึ้นรถ จูลี่ก็พาไปรับเพื่อนอีก 2 คนอยู่ที่นครชัยศรี จ.นครปฐม ซึ่งเป็นทางผ่านไปภาคใต้อยู่แล้ว
พอไปถึงนครชัยศรีฟ้ายังไม่สว่าง พบอีกสองสาว เป็นญาติกัน สาวหนึ่งชื่อ คุณกุหลาบ (นิกเนมที่ฝรั่งเรียก “คุณโรส”) ได้ยินแว่วๆว่า คุณกุหลาบผู้นี้ทำงานในโรงงานผลิตของเด็กเล่น ของที่ระลึก ของๆๆๆต่างๆ หลายของ มีเจ้าของบริษัทเป็นคนไต้หวัน
ว่ากันว่า โรงงานของคุณกุหลาบนี้ มีคนไต้หวันเป็นประธาน แรกๆฟังดูไม่รู้ว่า คุณกุหลาบเธอตำแหน่งอะไร (ไม่กล้าถาม) แต่พอฟังๆไป ตำแหน่งคุณกุหลาบน่าจะเป็นตำแหน่งใหญ่ “ยิ่งกว่าท่านประธาน” เพราะทำงานทุกอย่างแทนท่านประธาน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินเดือนพนักงานทั้งหมด (ใครจะกล้าหือกับเธอ) หรือแม้แต่การเจรจาต๊ะอวยกับหน่วยงานราชการต่างๆ คุณกุหลาบผู้นี้เป็นมือเป็นไม้แทนประธานไต้หวันหมด พวกเราเลยเรียกเธอว่า “ท่านประธานกุหลาบ”
ส่วนอีกสาวหนึ่งเป็นหลาน คุณกุหลาบมีศักดิ์เป็นอา ชื่อ น้องโน๊ต...ฟังว่า น้องโน๊ตผู้นี้เป็นเหมือนทายาททางธุรกิจของคุณกุหลาบ เพราะคุณกุหลาบรักมาก ถ่ายทอดงานหลายอย่างให้น้องโน๊ตทำแทน แต่ไม่รู้ว่าทุกวันนี้น้องโน๊ตแอบเลื่อยขาเก้าอี้คุณกุหลาบอยู่หรือเปล่า ??? คงไม่มั้ง...
พอทักทายกันตามประสาแล้ว ก็ขึ้นรถไปด้วยกัน แรกๆผมไม่รู้จักใครเลย นอกจากจูลี่ ก็ไม่ค่อยคุยเท่าไหร่ ขอฟังเธอๆเม้าส์ไปก่อน
จูลี่บอกว่า เพื่อนเราคุยเก่งนะ เจอกันเม้าส์กระจาย แต่ผมไม่สนหรอก เพราะอีกสักพักก็หลับ กว่าจะไปถึงขนอมอีก 700 กว่ากิโลเมตร เห็นบอกไม่หลับๆ บ่ายแก่ม่อยกระรอก กรนครอกๆทุกราย
พอคุณกุหลาบขึ้นรถนั่งได้ที่ถนัดแล้ว เธอก็เม้าส์ตามประสาของเธอเรื่องที่เธอกับพวกๆจูลี่ไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน ผมขับรถไปด้วยหูก็ฟังไปด้วย ฟังจนแทบหูดับตับไหม้ มีแต่เรื่องที่พวกเธอคับข้องใจเกี่ยวกับบริษัททัวร์ที่จัดไปแย่มาก หัวหน้าทัวร์ก็ไม่เอาไหน...
###%%**$##$%%^&%%@@***(*_))(()###.... บลาๆๆๆๆๆ.....นั่นคือข้อความเม้าส์กระจายของพวกเธอ
ตั้งแต่คุณกุหลาบขึ้นรถมา ผมไม่ได้ยินเธอพูดถึงเรื่องอื่นเลย นอกจากไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว ไม่ประทับใจ แถมยังมีลูกทัวร์คนอื่นๆ ที่เอ่ยชื่อถึงบ่อยๆ อาทิ ป้าวัล พี่นุ ฯลฯ
จนผมงงเหมือนกันว่า ผมขับรถไปขนอม หรือผมกำลังไปเที่ยวญี่ปุ่นกับพวกเธออยู่ว่ะเนี่ย
ที่สำคัญที่คิดไว้ว่า เดี๋ยวเธอจะต้องหลับตอนบ่ายแก่ๆ แต่ปรากฏว่า พวกเธอไม่หลับครับ คุยตั้งแต่ออกจากกรุงเทพ ผ่านนครปฐม เพชรบุรี ประจวบฯ ชุมพร สุราษฎร์ นครศรีฯ....ทั้งรถก็ยังคุยอยู่ไม่หลับ มีแต่จูลี่ที่หลับไปพักหนึ่ง พอสาวๆคนอื่นๆคุย เธอก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่เปล่าครับ เธอสัปหงก หงึกๆๆๆ
พอใกล้ถึงขนอม ก็ขับรถหลงทางไปพักหนึ่งต้องโทรถามทางกับ “พี่นุ” เอ...คนนี้ที่ได้ยินสาวๆนินทากัน เอ๊ย คุยกัน ไปถึงขนอมที่บ้านพี่นุผู้นี้ ก็เย็นจนเกือบจะค่ำมืดแล้ว สักพักฝนเทลงมาอย่างหนักอีก
พี่นุ ผู้นี้เป็นสาวแบงค์ (อีกแล้วครับท่าน) แต่อยู่แบงค์กรุงไทยสาขาขนอมครับ ฟังว่าน่าจะเป็นผู้จัดการสาขาที่นั่น ไปไหนมาไหนคนขนอมรู้จักเธอหมดครับ ลองไม่รู้จักซิ เดี๋ยวแม่ไม่ให้กู้นะ จะบอกให้...
พี่นุ เป็นอีกคนหนึ่งที่ร่วมทริปเที่ยวญี่ปุ่นด้วย ทีแรกผมก็นึกว่า 4 สาวเขารู้จักกันมาก่อน คุยกันสนิทสนมมาก แต่ที่ไหนได้ สนิทกันเพราะร่วมชะตากรรมเดียวกันที่ญี่ปุ่นนั่นเอง
พี่นุขับรถพาพวกเราไปบ้านหลังหนึ่งเป็นญาติกับพี่นุ ชื่อ ป้าวัล...ได้ยินพูดอยู่เหมือนกัน ป้าวัลเป็นอดีตครูสอนภาษาอังกฤษในกรุงเทพฯมาก่อน แต่เออรี่รีไทร์ออกมาอยู่บ้านเกิดในขนอม ปัจจุบันป้าวัลน่าจะอายุกว่า 70 ปีแล้ว
ไปถึง ป้าวัลเตรียมอาหารปักษ์ใต้ให้เรากินกันอย่างเอร็ดอร่อย ป้าวัลแสดงฝีมือเองเลย ทั้งๆที่ป้าแกตาไม่ค่อยดี เพิ่งไปหาหมอมา หมอให้ป้าใส่แว่นกันไม่ให้โดนแดดแรงๆ
เช่นเคย ผมก็นึกว่าพวกสาวๆ (ยกเว้นพี่นุ) จะรู้จักป้าวัลมาก่อน เปล่า...ป้าวัลก็ร่วมชะตากรรมโชคร้ายจากทัวร์ญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน
พอพวกสาวๆเจอป้าวัล ก็คุยกันถึงเรื่องทัวร์ญี่ปุ่นอีก จำจับใจความได้ว่า ป้าวัลแรกๆก็คิดว่า พวกสาวๆรวมหัวกับหัวหน้าทัวร์หลอกแกไปญี่ปุ่น แต่เปิดใจคุยกันจึงรู้ว่า สาวๆไม่ได้รู้จักหัวหน้าทัวร์แต่ประการใด แต่ได้รับบริการที่ไม่ประทับใจด้วยเช่นกัน
สรุปว่า ทริปขนอมครั้งนี้ เป็นทริปต่อเนื่องจากทัวร์ญี่ปุ่นนั่นเองครับ
หลังจากทานข้าวฝีมือป้าวัลเสร็จ พี่นุก็พาเราไปพักที่ “อลงกตรีสอร์ท” ที่จองไว้ให้ ที่นี่เป็นรีสอร์ที่ติดกับชายทะเล บรรยากาศดีมาก ตกกลางคืนพวกเรายังออกมาเดินชายทะเลท่ามกลางแสงจันทร์ เพราะคืนนั้นตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของในหลวง 5 ธันวาคม พระจันทร์เต็มดวงพอดี
พอกลับเข้าห้องพัก อาบน้ำเสร็จ ผมก็สลบ...
รุ่งเช้าวันที่ 2 พระอาทิตย์ขึ้นชายหาด เตรียมอุปกรณ์กล้องพร้อม ออกมารอชายทะเลตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง พอพระอาทิตย์ขึ้น กลับไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เพราะมีเมฆมาก แต่พอเก็บบรรยากาศสวยงามของชายหาดขนอมมาให้ชื่นชมได้บ้าง
ส่วน 4 สาวก็แชะภาพเก็บบรรยากาศกันไปเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนสาวอ๊บ จะถูกตั้งข้อรังเกียจจาก 3 สาวด้วยเหตุผลที่ว่า ถ่ายรูปออกมาทีไร สวยกว่าคนอื่นๆทุกที...ฮิ้ววววว
วันนี้เรามีโปรแกรมไปดูปลาโลมาสีชมพูกัน โดยไปขึ้นเรือที่แหลมประทับ โดยมีพี่นุเป็นคนพาเราไป
แต่ด้วยความที่พี่นุ เป็นคนทำงาน ไม่ชอบเที่ยวเตร่ แม้เป็นคนในพื้นที่ แต่ก็จำเส้นทางที่สลับซับซ้อนทางไปแหลมประทับไม่ได้ ยิ่งผมเป็นคนขับรถด้วยแล้ว ไม่ต้องห่วงเลยครับ “หลงทาง”แน่นอน เลยต้องถามชาวบ้านกัน
พอมาถึงแหลมประทับ มีเรือหางยาวจอดรอนักท่องเที่ยวอยู่หลายลำ พวกเราลงเรือไปกลางทะเลเพื่อชมปลาโลมา มีแต่สาวจูลี่ที่ขึ้นเรืออย่างยากลำบากกว่าคนอื่นๆ ด้วยเพราะเธอตัวใหญ่และน้ำหนักเยอะ จะขึ้น-ลงแต่ละทีลำบาก เกรงเรือจะล่มซะงั้น
เมื่อถึงกลางทะเลที่ที่ปลาโลมาจะโผล่พ้นน้ำ ปรากฏว่าต้องรอสักพัก เนื่องจากเราไม่มีปลาที่เป็นอาหารมาล่อ เพราะยังเป็นช่วงหน้ามรสุมอยู่ แม่ค้าจึงไม่นำมาขาย โชคดีมีเรืออยู่ลำหนึ่ง นำอาหารปลามาด้วย จึงได้พอเห็นโลมาอยู่บ้าง ถ่ายรูปไม่ทันหรอกครับ จับภาพมาได้แค่ครีมของมันเท่านั้น คนประมงบอกว่า ช่วงที่โลมาจะโผล่ให้เห็นเยอะจะเป็นช่วงเทศกาลท่องเที่ยวของขนอมระหว่างมีนาคม-เมษายน
หลังจากชมปลาโลมา เราก็มาไหว้หลวงปูทวดอยู่บนเกาะกลางทะเล พี่นุเล่าให้ฟังว่า บริเวณนี้ที่หลวงปู่ทวดมาเหยียบ แล้วน้ำทะเลกลายเป็นน้ำจืดตามคำเล่าขานเป็นตำนานสืบกันมาจนถึงปัจจุบัน
จากนั้นกลับขึ้นเรือชมบรรยากาศกลางทะเลที่สวยงาม มองไปข้างหน้าเห็นท่าเรือดอนสัก ที่จะขึ้นเรือเฟอรี่ไปเกาะสมุย ที่มองเห็นอยู่ไกลๆ
จากเรือกลับขึ้นรถอีกครั้ง เราก็ขับหลงทางอีก เพราะหาทางออกสู่ถนนใหญ่ไม่เจอ คุณกุหลาบเธอแนะนำว่า โชเฟอร์ให้ดูเสาไฟฟ้าไว้ มันจะนำเราไปสู่ถนนใหญ่ได้เอง พวกเราเชื่อก็ขับตามเสาไฟฟ้าไปเรื่อยๆ แรกๆก็มีเสาไฟให้เห็นหรอกครับ แต่พอลึกเข้าไปเรื่อยๆ ใกล้ถึงภูเขาแล้ว ตอนนี้ไฟฟ้าก็คงไม่มี เพราะเสามันหายไปแล้ว สุดท้ายต้องขับรถย้อนกลับมาทางเดิม....
พี่นุลงไปถามชาวบ้าน พอดีเจอผู้ใหญ่บ้านใจดี ขับรถพาเราออกไปถนนใหญ่ แต่ก่อนออกจากถนนใหญ่ ผู้ใหญ่บ้านก็พาไปกราบไหว้เจดีย์ปะการังเขาธาตุ ที่วัดจันทน์ธาตุทาราม
ณ ยอดเขาธาตุแห่งนี้ มีเจดีย์ปะการังที่เป็นโบราณสถานเก่าแก่ของเมืองขนอม เชื่อกันว่า มีอายุนับพันปี ตามตำนานกล่าวขานกันว่า มีผู้มีจิตศรัทธาจากเมืองไชยา รวบรวมทรัพย์สินเงินทองและของมีค่าต่างๆ เพื่อไปบรรจุที่พระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช แต่เกิดพายุลมแรงจนต้องพักค้างแรมบนสถานที่แห่งนี้ระยะเวลาหนึ่ง เมื่อพายุสงบลงจึงทราบข่าวว่า พระบรมธาตุเมืองนครได้สร้างเสร็จแล้ว จึงร่วมกันสร้างเจดีย์ขึ้นบนเขาธาตุด้วยปะการังทั้งองค์เพื่อบรรจุของมีค่า เจดีย์มีลักษณะทรงกลมเหมือนระฆังคว่ำ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-6 เมตร
และอีกตำนานหนึ่งเล่ากันว่า ได้มีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และประชาชน จากสุราษฎร์ธานี ชุมพร และประจวบคีรีขันธ์ ที่มีจิตศรัทธาในองค์พระธาตุนครศรีธรรมราช ได้นำแก้วแหวนเงินทองและของมีค่าต่างๆ เพื่อไปบรรจุในองค์พระธาตุ แต่ในระหว่างการเดินทางเรือได้อัปปางลง บางส่วนที่รอดชีวิตถูกคลื่นซัดมาเกยฝั่งที่นี่ จึงร่วมกันสร้างเจดีย์ด้วยปะการังจากทะเล เพื่อบรรจุสิ่งของมีค่าที่เหลืออยู่แทนไปบรรจุในองค์พระธาตุเมืองนคร
หลังจากนั้น เราพาคุณกุหลาบไปที่ต้นธารรีสอร์ทแอนด์สปา ที่นี่มาสปาปลาคือ ให้ปลามาตอดเท้าน่ะครับ และระหว่างนั้น บางคนก็ชมรสชาติกาแฟ เพื่อรอลูกน้องของสาวอ๊บ ที่จะนำไข่เค็มไชยาที่พวกเราสั่งไว้นำกลับไปกินกรุงเทพฯ โดยคนที่สั่งซื้อมากสุด คงไม่พ้นท่านประธานกุหลาบ สั่งกลับบ้านร่วม 30 กล่อง เหมือนกับจะสั่งไปขายต่อยังไงยังงั้น
จากนั้นเราไปกินอาหารเที่ยงกันที่ “ร้านป้าทิ้ง” อาหารปักษ์ใต้แสนอร่อยอีกแห่งหนึ่ง มีหอยนางรมตัวใหญ่ๆ แกงเหลือง ผัดสะตอกับกะปิ ฯลฯ สลับกับอาหารก็ยังมีเรื่องเล่าจากญี่ปุ่นเป็นกับแกล้มเป็นระยะๆ
ไปขนอม…แล้วคุณจะรู้ ?
บอกตรง...ความจริงไม่อยากจะไปหรอก เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าขนอมมีอะไรน่าเที่ยว รู้แต่เพียงว่า เคยเป็น “ท่าเทียบเรือ” เท่านั้น
แต่เนื่องจากเคยปฏิเสธเพื่อนต้อมไปครั้งหนึ่ง เมื่อคราวชวนไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน ทั้งๆที่เคยรับปากเสียดิบดี แต่ต้องบอกปัดไปด้วยเหตุผลที่มีมากมาย...คราวนี้ไปขนอมก็ควรที่จะไปเพื่อชดใช้ความผิด???
จูลี่บอกว่า เรามีสาวๆไปด้วยอีก 3 คน (ที่เราไม่รู้จัก) แต่ นายช่วยไปขับรถให้หน่อยได้ป่าว เที่ยวด้วยขับรถด้วย เพื่อ...ชดใช้ความผิด โอเค...ตอบตกลงไปโดยไม่ได้คิดอะไร เพราะตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า กรุงเทพฯไปขนอม นี่มันกี่กิโลเมตร
แต่พอมา search ดูในอากู๋ (google) จึงรู้ว่า โอ้โห 700 กว่ากิโลแม้ว เอ๊ย กิโลเมตรเชียว พอๆกับกรุงเทพฯไปเชียงใหม่โน่น...
เอาละวะในเมื่อตกปากรับคำเพื่อนไปแล้ว ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น ว่าแล้วก็พาน้องจูน รถคู่ใจไปเข้าศูนย์โตโยต้าแถวบ้าน เช็คความพร้อมสักนิดหนึ่ง ขัดสีฉวีวรรณให้ดูใหม่เสียหน่อย
ถึงวันเดินทางตื่นตั้งแต่ตี 3.45 น. ออกจากบ้านประมาณตี 4 กว่าๆไปถึงบ้านจูลี่แถวปากเกร็ดก็เกือบจะตี 5 แล้ว กว่าจะเก็บกระเป๋าและของใช้เสร็จ ออกจากบ้านจูลี่ก็ตี 5 เศษๆแล้ว กลัวสายเพราะเกรงรถจะติด เพราะต้องไปรับอีก 3 สาว
จูลี่เพื่อนคนนี้สนิทกันตั้งแต่ทำงานที่บริษัทเทเลคอมเอเซีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จนกลายมาเป็นบริษัททรูฯ ปัจจุบันจูลี่เป็นสาวแบงค์ไทยพาณิชย์ระดับผู้จัดการ มีชื่อเล่นในภาษาไทยว่า “ต้ม” เอ๊ย “ต้อม”
สาวที่สองที่ขับรถไปรับ บ้านเธออยู่แถวๆจรัลสนิทวงศ์ ชื่อ สาวอ๊บ (เสียงกบร้องนะครับ อ่านออกเสียงพร้อมกันนะครับ อ๊บ...อ๊บ) บ้านเธอนี่ต้องขับรถเข้าซอกเข้าซอยจนงงไปหมด นี่ถ้าให้ขับไปอีกทีก็ไปไม่ถูกแล้ว สาวอ๊บผู้นี้เป็นสาวแบงค์ธนชาติ จัดว่าเธอเป็นสาวสวย (กว่าเพื่อนๆ) จนเพื่อนๆยกให้เป็นสาวสองพันปี... สามพันปี ไม่ใช่ซิ สาวห้าพันปีแล้วมั้ง....???
หลังจากรับสาวอ๊บขึ้นรถ จูลี่ก็พาไปรับเพื่อนอีก 2 คนอยู่ที่นครชัยศรี จ.นครปฐม ซึ่งเป็นทางผ่านไปภาคใต้อยู่แล้ว
พอไปถึงนครชัยศรีฟ้ายังไม่สว่าง พบอีกสองสาว เป็นญาติกัน สาวหนึ่งชื่อ คุณกุหลาบ (นิกเนมที่ฝรั่งเรียก “คุณโรส”) ได้ยินแว่วๆว่า คุณกุหลาบผู้นี้ทำงานในโรงงานผลิตของเด็กเล่น ของที่ระลึก ของๆๆๆต่างๆ หลายของ มีเจ้าของบริษัทเป็นคนไต้หวัน
ว่ากันว่า โรงงานของคุณกุหลาบนี้ มีคนไต้หวันเป็นประธาน แรกๆฟังดูไม่รู้ว่า คุณกุหลาบเธอตำแหน่งอะไร (ไม่กล้าถาม) แต่พอฟังๆไป ตำแหน่งคุณกุหลาบน่าจะเป็นตำแหน่งใหญ่ “ยิ่งกว่าท่านประธาน” เพราะทำงานทุกอย่างแทนท่านประธาน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินเดือนพนักงานทั้งหมด (ใครจะกล้าหือกับเธอ) หรือแม้แต่การเจรจาต๊ะอวยกับหน่วยงานราชการต่างๆ คุณกุหลาบผู้นี้เป็นมือเป็นไม้แทนประธานไต้หวันหมด พวกเราเลยเรียกเธอว่า “ท่านประธานกุหลาบ”
ส่วนอีกสาวหนึ่งเป็นหลาน คุณกุหลาบมีศักดิ์เป็นอา ชื่อ น้องโน๊ต...ฟังว่า น้องโน๊ตผู้นี้เป็นเหมือนทายาททางธุรกิจของคุณกุหลาบ เพราะคุณกุหลาบรักมาก ถ่ายทอดงานหลายอย่างให้น้องโน๊ตทำแทน แต่ไม่รู้ว่าทุกวันนี้น้องโน๊ตแอบเลื่อยขาเก้าอี้คุณกุหลาบอยู่หรือเปล่า ??? คงไม่มั้ง...
พอทักทายกันตามประสาแล้ว ก็ขึ้นรถไปด้วยกัน แรกๆผมไม่รู้จักใครเลย นอกจากจูลี่ ก็ไม่ค่อยคุยเท่าไหร่ ขอฟังเธอๆเม้าส์ไปก่อน
จูลี่บอกว่า เพื่อนเราคุยเก่งนะ เจอกันเม้าส์กระจาย แต่ผมไม่สนหรอก เพราะอีกสักพักก็หลับ กว่าจะไปถึงขนอมอีก 700 กว่ากิโลเมตร เห็นบอกไม่หลับๆ บ่ายแก่ม่อยกระรอก กรนครอกๆทุกราย
พอคุณกุหลาบขึ้นรถนั่งได้ที่ถนัดแล้ว เธอก็เม้าส์ตามประสาของเธอเรื่องที่เธอกับพวกๆจูลี่ไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน ผมขับรถไปด้วยหูก็ฟังไปด้วย ฟังจนแทบหูดับตับไหม้ มีแต่เรื่องที่พวกเธอคับข้องใจเกี่ยวกับบริษัททัวร์ที่จัดไปแย่มาก หัวหน้าทัวร์ก็ไม่เอาไหน...
###%%**$##$%%^&%%@@***(*_))(()###.... บลาๆๆๆๆๆ.....นั่นคือข้อความเม้าส์กระจายของพวกเธอ
ตั้งแต่คุณกุหลาบขึ้นรถมา ผมไม่ได้ยินเธอพูดถึงเรื่องอื่นเลย นอกจากไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว ไม่ประทับใจ แถมยังมีลูกทัวร์คนอื่นๆ ที่เอ่ยชื่อถึงบ่อยๆ อาทิ ป้าวัล พี่นุ ฯลฯ
จนผมงงเหมือนกันว่า ผมขับรถไปขนอม หรือผมกำลังไปเที่ยวญี่ปุ่นกับพวกเธออยู่ว่ะเนี่ย
ที่สำคัญที่คิดไว้ว่า เดี๋ยวเธอจะต้องหลับตอนบ่ายแก่ๆ แต่ปรากฏว่า พวกเธอไม่หลับครับ คุยตั้งแต่ออกจากกรุงเทพ ผ่านนครปฐม เพชรบุรี ประจวบฯ ชุมพร สุราษฎร์ นครศรีฯ....ทั้งรถก็ยังคุยอยู่ไม่หลับ มีแต่จูลี่ที่หลับไปพักหนึ่ง พอสาวๆคนอื่นๆคุย เธอก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่เปล่าครับ เธอสัปหงก หงึกๆๆๆ
พอใกล้ถึงขนอม ก็ขับรถหลงทางไปพักหนึ่งต้องโทรถามทางกับ “พี่นุ” เอ...คนนี้ที่ได้ยินสาวๆนินทากัน เอ๊ย คุยกัน ไปถึงขนอมที่บ้านพี่นุผู้นี้ ก็เย็นจนเกือบจะค่ำมืดแล้ว สักพักฝนเทลงมาอย่างหนักอีก
พี่นุ ผู้นี้เป็นสาวแบงค์ (อีกแล้วครับท่าน) แต่อยู่แบงค์กรุงไทยสาขาขนอมครับ ฟังว่าน่าจะเป็นผู้จัดการสาขาที่นั่น ไปไหนมาไหนคนขนอมรู้จักเธอหมดครับ ลองไม่รู้จักซิ เดี๋ยวแม่ไม่ให้กู้นะ จะบอกให้...
พี่นุ เป็นอีกคนหนึ่งที่ร่วมทริปเที่ยวญี่ปุ่นด้วย ทีแรกผมก็นึกว่า 4 สาวเขารู้จักกันมาก่อน คุยกันสนิทสนมมาก แต่ที่ไหนได้ สนิทกันเพราะร่วมชะตากรรมเดียวกันที่ญี่ปุ่นนั่นเอง
พี่นุขับรถพาพวกเราไปบ้านหลังหนึ่งเป็นญาติกับพี่นุ ชื่อ ป้าวัล...ได้ยินพูดอยู่เหมือนกัน ป้าวัลเป็นอดีตครูสอนภาษาอังกฤษในกรุงเทพฯมาก่อน แต่เออรี่รีไทร์ออกมาอยู่บ้านเกิดในขนอม ปัจจุบันป้าวัลน่าจะอายุกว่า 70 ปีแล้ว
ไปถึง ป้าวัลเตรียมอาหารปักษ์ใต้ให้เรากินกันอย่างเอร็ดอร่อย ป้าวัลแสดงฝีมือเองเลย ทั้งๆที่ป้าแกตาไม่ค่อยดี เพิ่งไปหาหมอมา หมอให้ป้าใส่แว่นกันไม่ให้โดนแดดแรงๆ
เช่นเคย ผมก็นึกว่าพวกสาวๆ (ยกเว้นพี่นุ) จะรู้จักป้าวัลมาก่อน เปล่า...ป้าวัลก็ร่วมชะตากรรมโชคร้ายจากทัวร์ญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน
พอพวกสาวๆเจอป้าวัล ก็คุยกันถึงเรื่องทัวร์ญี่ปุ่นอีก จำจับใจความได้ว่า ป้าวัลแรกๆก็คิดว่า พวกสาวๆรวมหัวกับหัวหน้าทัวร์หลอกแกไปญี่ปุ่น แต่เปิดใจคุยกันจึงรู้ว่า สาวๆไม่ได้รู้จักหัวหน้าทัวร์แต่ประการใด แต่ได้รับบริการที่ไม่ประทับใจด้วยเช่นกัน
สรุปว่า ทริปขนอมครั้งนี้ เป็นทริปต่อเนื่องจากทัวร์ญี่ปุ่นนั่นเองครับ
หลังจากทานข้าวฝีมือป้าวัลเสร็จ พี่นุก็พาเราไปพักที่ “อลงกตรีสอร์ท” ที่จองไว้ให้ ที่นี่เป็นรีสอร์ที่ติดกับชายทะเล บรรยากาศดีมาก ตกกลางคืนพวกเรายังออกมาเดินชายทะเลท่ามกลางแสงจันทร์ เพราะคืนนั้นตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของในหลวง 5 ธันวาคม พระจันทร์เต็มดวงพอดี
พอกลับเข้าห้องพัก อาบน้ำเสร็จ ผมก็สลบ...
รุ่งเช้าวันที่ 2 พระอาทิตย์ขึ้นชายหาด เตรียมอุปกรณ์กล้องพร้อม ออกมารอชายทะเลตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง พอพระอาทิตย์ขึ้น กลับไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เพราะมีเมฆมาก แต่พอเก็บบรรยากาศสวยงามของชายหาดขนอมมาให้ชื่นชมได้บ้าง
ส่วน 4 สาวก็แชะภาพเก็บบรรยากาศกันไปเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนสาวอ๊บ จะถูกตั้งข้อรังเกียจจาก 3 สาวด้วยเหตุผลที่ว่า ถ่ายรูปออกมาทีไร สวยกว่าคนอื่นๆทุกที...ฮิ้ววววว
วันนี้เรามีโปรแกรมไปดูปลาโลมาสีชมพูกัน โดยไปขึ้นเรือที่แหลมประทับ โดยมีพี่นุเป็นคนพาเราไป
แต่ด้วยความที่พี่นุ เป็นคนทำงาน ไม่ชอบเที่ยวเตร่ แม้เป็นคนในพื้นที่ แต่ก็จำเส้นทางที่สลับซับซ้อนทางไปแหลมประทับไม่ได้ ยิ่งผมเป็นคนขับรถด้วยแล้ว ไม่ต้องห่วงเลยครับ “หลงทาง”แน่นอน เลยต้องถามชาวบ้านกัน
พอมาถึงแหลมประทับ มีเรือหางยาวจอดรอนักท่องเที่ยวอยู่หลายลำ พวกเราลงเรือไปกลางทะเลเพื่อชมปลาโลมา มีแต่สาวจูลี่ที่ขึ้นเรืออย่างยากลำบากกว่าคนอื่นๆ ด้วยเพราะเธอตัวใหญ่และน้ำหนักเยอะ จะขึ้น-ลงแต่ละทีลำบาก เกรงเรือจะล่มซะงั้น
เมื่อถึงกลางทะเลที่ที่ปลาโลมาจะโผล่พ้นน้ำ ปรากฏว่าต้องรอสักพัก เนื่องจากเราไม่มีปลาที่เป็นอาหารมาล่อ เพราะยังเป็นช่วงหน้ามรสุมอยู่ แม่ค้าจึงไม่นำมาขาย โชคดีมีเรืออยู่ลำหนึ่ง นำอาหารปลามาด้วย จึงได้พอเห็นโลมาอยู่บ้าง ถ่ายรูปไม่ทันหรอกครับ จับภาพมาได้แค่ครีมของมันเท่านั้น คนประมงบอกว่า ช่วงที่โลมาจะโผล่ให้เห็นเยอะจะเป็นช่วงเทศกาลท่องเที่ยวของขนอมระหว่างมีนาคม-เมษายน
หลังจากชมปลาโลมา เราก็มาไหว้หลวงปูทวดอยู่บนเกาะกลางทะเล พี่นุเล่าให้ฟังว่า บริเวณนี้ที่หลวงปู่ทวดมาเหยียบ แล้วน้ำทะเลกลายเป็นน้ำจืดตามคำเล่าขานเป็นตำนานสืบกันมาจนถึงปัจจุบัน
จากนั้นกลับขึ้นเรือชมบรรยากาศกลางทะเลที่สวยงาม มองไปข้างหน้าเห็นท่าเรือดอนสัก ที่จะขึ้นเรือเฟอรี่ไปเกาะสมุย ที่มองเห็นอยู่ไกลๆ
จากเรือกลับขึ้นรถอีกครั้ง เราก็ขับหลงทางอีก เพราะหาทางออกสู่ถนนใหญ่ไม่เจอ คุณกุหลาบเธอแนะนำว่า โชเฟอร์ให้ดูเสาไฟฟ้าไว้ มันจะนำเราไปสู่ถนนใหญ่ได้เอง พวกเราเชื่อก็ขับตามเสาไฟฟ้าไปเรื่อยๆ แรกๆก็มีเสาไฟให้เห็นหรอกครับ แต่พอลึกเข้าไปเรื่อยๆ ใกล้ถึงภูเขาแล้ว ตอนนี้ไฟฟ้าก็คงไม่มี เพราะเสามันหายไปแล้ว สุดท้ายต้องขับรถย้อนกลับมาทางเดิม....
พี่นุลงไปถามชาวบ้าน พอดีเจอผู้ใหญ่บ้านใจดี ขับรถพาเราออกไปถนนใหญ่ แต่ก่อนออกจากถนนใหญ่ ผู้ใหญ่บ้านก็พาไปกราบไหว้เจดีย์ปะการังเขาธาตุ ที่วัดจันทน์ธาตุทาราม
ณ ยอดเขาธาตุแห่งนี้ มีเจดีย์ปะการังที่เป็นโบราณสถานเก่าแก่ของเมืองขนอม เชื่อกันว่า มีอายุนับพันปี ตามตำนานกล่าวขานกันว่า มีผู้มีจิตศรัทธาจากเมืองไชยา รวบรวมทรัพย์สินเงินทองและของมีค่าต่างๆ เพื่อไปบรรจุที่พระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช แต่เกิดพายุลมแรงจนต้องพักค้างแรมบนสถานที่แห่งนี้ระยะเวลาหนึ่ง เมื่อพายุสงบลงจึงทราบข่าวว่า พระบรมธาตุเมืองนครได้สร้างเสร็จแล้ว จึงร่วมกันสร้างเจดีย์ขึ้นบนเขาธาตุด้วยปะการังทั้งองค์เพื่อบรรจุของมีค่า เจดีย์มีลักษณะทรงกลมเหมือนระฆังคว่ำ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-6 เมตร
และอีกตำนานหนึ่งเล่ากันว่า ได้มีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และประชาชน จากสุราษฎร์ธานี ชุมพร และประจวบคีรีขันธ์ ที่มีจิตศรัทธาในองค์พระธาตุนครศรีธรรมราช ได้นำแก้วแหวนเงินทองและของมีค่าต่างๆ เพื่อไปบรรจุในองค์พระธาตุ แต่ในระหว่างการเดินทางเรือได้อัปปางลง บางส่วนที่รอดชีวิตถูกคลื่นซัดมาเกยฝั่งที่นี่ จึงร่วมกันสร้างเจดีย์ด้วยปะการังจากทะเล เพื่อบรรจุสิ่งของมีค่าที่เหลืออยู่แทนไปบรรจุในองค์พระธาตุเมืองนคร
หลังจากนั้น เราพาคุณกุหลาบไปที่ต้นธารรีสอร์ทแอนด์สปา ที่นี่มาสปาปลาคือ ให้ปลามาตอดเท้าน่ะครับ และระหว่างนั้น บางคนก็ชมรสชาติกาแฟ เพื่อรอลูกน้องของสาวอ๊บ ที่จะนำไข่เค็มไชยาที่พวกเราสั่งไว้นำกลับไปกินกรุงเทพฯ โดยคนที่สั่งซื้อมากสุด คงไม่พ้นท่านประธานกุหลาบ สั่งกลับบ้านร่วม 30 กล่อง เหมือนกับจะสั่งไปขายต่อยังไงยังงั้น
จากนั้นเราไปกินอาหารเที่ยงกันที่ “ร้านป้าทิ้ง” อาหารปักษ์ใต้แสนอร่อยอีกแห่งหนึ่ง มีหอยนางรมตัวใหญ่ๆ แกงเหลือง ผัดสะตอกับกะปิ ฯลฯ สลับกับอาหารก็ยังมีเรื่องเล่าจากญี่ปุ่นเป็นกับแกล้มเป็นระยะๆ