[CR] นครศรีธรรมราช เมือง(ต้อง)ห้ามพลาดเป็นอย่างยิ่ง

ก่อนเปิดเทอม ต้องทำภารกิจที่ทำเสมอทุกปี คือ พาลูก ๆ ไปเที่ยวกับอาม่า อาอี๋ (บรรดาป้า ๆ ทั้งหลายของเด็กๆ) ถือเป็นการคืนความสุขให้ทุกคนในครอบครัวและตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เมื่อตอนเด็ก ๆ ดิฉันได้รับการดูแลอย่างดี พากินพาเที่ยวฟรี ๆ  จากพี่ๆทั้งหลาย ทั้งพี่สาวแท้ๆ และพี่สาว ๆ ที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง

ปีนี้ ครอบครัวเลือกที่จะไปนครศรีธรรมราช  โดยตั้งธงในใจว่า ปีนี้ จะไปดูโลมาสีชมพูให้ได้  

เดิมที ตั้งใจจะไปพักที่แพ 500 ไร่ที่สุราษฎร์ และแวะไปดูปลาโลมา  แต่แพห้าร้อยไร่  ฮอตฮิตกว่าที่คิด จองไม่ได้  แผนการเลยพับไป
เลยเบนเข็มว่า ถ้าจะเอาปลาโลมาเป็นหลัก ก็ไปที่ขนอมอย่างเดียวก็ได้  ที่เหลือ จะแวะไหว้พระธาตุที่นครศรีธรรมราช นั่ง นอน เล่นชิลชิล  ไม่ทำอะไรมากมาย เน้นสังสรรค์ประจำปีกับญาติพี่น้อง

เราวางโปรแกรมไว้ 2 คืน 3 วัน
วันแรก  เราออกแต่เช้าด้วยเที่ยวบินของแอร์เอเชีย ไปถึงสนามบินนครศรีธรรมราชประมาณแปดโมงกว่า ๆ
  
คิดว่า ขับรถไปขนอมก็ยังเช้าไป  ไปหาอะไรกินดีกว่า
แม่บ้านสมองไว  ได้ค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตแล้วว่า ของกินตอนเช้า  ร้านดังของนครคือ ร้านชื่อโกปี๊ค่ะ  มีสองสาขา คือ ตรงหลังห้างโรบินสัน และ ตรงแถวศาลากลาง

อ้อ...มาเที่ยวนี้ ใช้ google map ค่ะ
พอใจบริการเหลือแสน  โปรแกรมอะไร้ ...ทั้งดีทั้งฟรี ...สมควรแล้วที่เจ้าของจะได้เป็นมหาเศรษฐีติดอันดับโลก
หาอะไรก็เจอ  แค่ตั้ง location ที่ต้องการจะไป  กดปุ่มแล้ววางมือถือไว้ข้างตัวเลย  อากู๋บอกเสร็จสรรพ ตรงไปสี่ร้อยเมตร เลี้ยวขวา ตรงไปสองร้อยเมตรเลี้ยวซ้าย  แม่นยำประมาณเก้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ทีเดียว
เราเลือกไปกินโกปี๊หลังโรบินสันค่ะ  
นี่เป็นบรรยากาศหน้าร้านนะคะ


เมนูหลากหลาย
  
ราคาโอเคค่ะ ไม่ดุ กาแฟ แก้วละ 20-30 บาท  รสชาติดีทีเดียว  มีของเช้าหลากหลายให้เลือกนะคะ  บางคนอาจจะชอบทานบ๊ะกุ๊ดแต้  แต่ดิฉันคนหาดใหญ่  เบื่อเสียแล้วกับอาหารจานนี้ ขอเปลี่ยนเป็นอาหารปักษ์ใต้ในดวงใจอีกอย่างที่ชอบดีกว่าค่ะ

จานนั้นคือ ... “ข้าวมัน”  ค่ะ

ข้าวมัน นี่ไม่ใช่ข้าวมันไก่นะคะ  เป็นข้าวหุงนี่ล่ะค่ะ  ให้เลือกแกงกะทิตักราดได้  ส่วนใหญ่เป็นแกงไก่  แต่ที่ร้านนี้มีแกงกุ้งให้เลือกด้วย  ดิฉันเลยสั่งอันนี้  ข้าวมันราดแกงกุ้ง แนมด้วยมะม่วงดิบรสเปรี้ยวนิด ๆ   ข้าวมันแกงไก่บางที่มีใส่กุ้งหวานให้ด้วยค่ะ กินแนมกันไปกับมะม่วงดิบเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ อร่อยมาก ๆ ขอบอก  
มาปักษ์ใต้ ต้องลองข้าวมันนะคะ  รสชาติดี และไม่เผ็ดด้วยค่ะ


ปาท่องโก๋ที่นี่ก็อร่อย กรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟมากับสังขยา แถมนมข้นมาให้จิ้มกินด้วย  ทางใต้มักจะเรียกปาท่องโก๋ว่า “จาโก๊ย” นะคะ มาจากคำว่า “อิ่วจาก้วย”  ซึ่งเป็นชื่อภาษาจีนของปาท่องโก๋  เวลาไปปีนัง  ถ้าสั่ง “อิ่วจาก้วย”  เค้าก็จะฟังรู้เรื่องค่ะ


ส่วนอีกจานที่แนะนำว่าควรลองชิม คือ เบญจรงค์ ข้าวเหนียวมูนห้าสี ห้าหน้า  จานละ 40 บาท อันนี้ ก็แนะนำให้ลองนะคะ  อร่อยทีเดียวเชียวค่ะ


อิ่มท้องกันแล้ว เราก็แวะไหว้พระธาตุก่อนค่ะ อากู๋พาเราไปยังบริเวณหลังองค์พระธาตุ

ซึ่งก็ดีค่ะ  มีแม่ค้ามาโบกรถให้เสร็จสรรพ หาที่จอดให้ พร้อมขายดอกไม้ธูปเทียนทองแผ่นชุดละ 30 บาท  เราก็จงอย่าคิดมากอะไรไป  ถือว่า จ่ายค่าความสะดวกสบายกระจายรายได้ให้แม่ค้าท้องถิ่นอารมณ์ดีตอนเช้า   จัดไปคนละชุดแล้วเดินเข้าไปไหว้พระธาตุเลยค่ะ
ช่วงนี้พระธาตุกำลังอยู่ระหว่างการบูรณะนะคะ  ทางเข้าอาจจะไม่ค่อยสะดวกบ้าง


ไหว้เสร็จสามารถเดินเล่นภายในบริเวณวัดได้เลยค่ะ จะมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงของเก่า

ส่วนใหญ่เป็นชุดเครื่องปั้นดินเผา เครื่องแก้ว เครื่องเบญจรงค์  ดูไปเพลิน ๆ ตาดีค่ะ  ส่วนนี้ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะคะ
ถ้าเดินเล่นต่อไปเรื่อย ๆ ถึงหน้าวัด เราจะเห็นนกพิราบฝูงใหญ่ ซึ่งอาจถือได้ว่า เป็นโลโก้ของที่นี่เหมือนกัน เวลานกกระพือปีกบินพรึ่บพรั่บขึ้นไปบนฟ้าทั้งฝูง เป็นภาพที่น่าดูมากนะคะ


รูปอื่น ๆ ภายในบริเวณวัดค่ะ



ก่อนเดินกลับไปที่รถ  พวกเราแวะสักการะพระพุทธบาทจำลองในวิหารภายในบริเวณวัด



ไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยกันแล้ว  เราก็ออกเดินทางไปขนอม  ขับกันไปแบบสำราญเป็นเต่าคลานมาก ๆ ไม่รีบร้อนอะไร  ระยะทางจากตัวเมืองนครไปขนอม คือ 102.383 กม. ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึง
เวลาจะหาระยะทางจากอำเภอหนึ่งไปยังอีกอำเภอหนึ่ง ลองเข้าเว็บนี้นะคะ http://www.novabizz.com/Map/69.html ข้อมูลดีมาก  จะบอกระยะทาง พร้อมทางไป (เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา) อย่างละเอียด



เราจองห้องพักไว้ที่ อาว่า รีสอร์ท  จริง ๆ เราดูกันไว้สองสามที่ คือ ที่นี่ กับ ราชาคีรี  แต่พี่สาวดิฉันไปอ่านรีวิวแล้วบอกว่า ราชาคีรีสวยมากและบางครั้งอาจเห็นปลาโลมามาว่ายน้ำให้ดูถึงที่เลย  แต่ภายในบริเวณรีสอร์ทอาจต้องเดินขึ้น ๆ ลง ๆ ดิฉันเข้าใจว่า มันคงเป็นเนินไปตามเขาสมชื่อ ราชาคีรีนะคะ
และแม้พวกเราจะมาที่นี่เพื่อดูปลาโลมาเป็นหลัก  แต่จะเห็นปลาโลมาสำคัญกว่าหม่าม้าอายุจะเต็ม 84 ในต้นปีหน้านี้ ก็เห็นจะใช่ที่   เราเลยตัดสินใจจองห้องที่อาว่า ที่มีทางเดินจากห้องพักไปทะเลสะดวก
ห้องที่นี่ บางเว็บก็ลงไว้ซะเว่อร์วังว่า หกพันบาท  แต่ลองหาดูดี ๆ จะได้ราคาประมาณสามพันนิด ๆ ค่ะ (พร้อมอาหารเช้า)


บริเวณหน้ารีสอร์ทตรงทางเข้านะคะ

ที่นี่มีห้องพักทั้งหมดยี่สิบแปดห้องนะคะ  เป็นที่พักชั้นเดียวเพราะงั้นจะดูไม่อึดอัดและเป็นส่วนตัว  
ตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น  คำถามแรกที่ดิฉันถามน้องรีเซปชั่นคือ  “น้องคะ  อาว่า แปลว่า อะไรคะ ?”
น้องอธิบายว่า Aava เป็นภาษาฟินแลนด์ค่ะ แปลว่า กว้างใหญ่ไพศาล ดูเหมือนที่นี่จะมีต่างชาติถือหุ้นอยู่ด้วย

วิวภายในบริเวณรีสอร์ท ถ่ายจากหน้าห้องพักนะคะ


ทางเดินลงทะเลค่ะ


วิวอีกมุมนะคะ



มาดูภายในห้องกันบ้างนะคะ
  

เตียงนั่งเล่น

และห้องน้ำ

เช็คอินเข้ามาได้  ลูก ๆ ก็ร่ำร้องอยากไปเล่นน้ำในสระ  
เราก็ไปกันเลยดีกว่าค่ะ


ห้องที่อยู่ริมสระว่ายน้ำ แค่เปิดระเบียงมาก็โดดตูมลงน้ำได้เลยนะคะ
ดิฉันหยิบหนังสือติดมือไปด้วย  คุณสามีหิ้วโน้ตบุ๊คมานั่งทำงานในห้อง เราก็ปล่อยฮีไป  ส่วนอาม่าก็เดินมาดูหลาน ๆ เล่นน้ำ

เช่นเคยค่ะ ป้าป้าทั้งหลายเคยดูแลแม่มาแต่เล็กดียังไง  ตอนนี้ ความสนใจทั้งหมดก็เปลี่ยนไปที่ลูกของแม่ดีอย่างงั้น  อิแม่จอมขี้เกียจ ก็เลยไปนั่งอ่านสกุลไทยที่เตียงริมทะเล


ลมพัดตึง ๆ ๆ สบายมาก ๆ เม่าบัลเล่ต์ฝนตกตอนที่เราไปถึงรีสอร์ทใหม่ ๆ แต่ข้อดีของฝนตกคือ มันช่วยชะหมอกควันที่ลอยล่องเที่ยวท่องจากอินโดมาถึงขนอม
อากาศสบายมาก ๆ หมอกควันที่ค้าง ๆ อยู่ยังช่วยบังพระอาทิตย์บางส่วน ทำให้การนอนริมทะเลกลางแจ้งบรรยากาศลั้นลามาก ๆ หลังฝนตกก็ไม่ค่อยเหม็นแล้วค่ะ
อ้อ และขอบอกว่า เตียงสีดำที่เห็นในภาพนี่มันเตียงสูบวิญญาณชัด ๆ คือ มันนอนสบายจนเหมือนวิญญาณถูกสูบออกจากร่างไปเลย

ดิฉันหลับชนิดคาสกุลไทยในอ้อมแขนทีเดียว ฮ่า ฮ่า ฮ่า  ตื่นมาอีกที ก็มานึกได้ว่า ตายแล้ว มาหลับริมทะเลห่างน้ำออกไปไม่ถึงสามสิบเมตรแบบนี้ สึนามิซัดมาทีเดียวคงไปหมดแน่  เม่าตกใจ
มารู้ทีหลังว่า มโนไปเองอีกตามเคย พี่ที่นับถือคนหนึ่งมาอธิบายให้ฟังทีหลังว่า “บ่ต้องยั่น  ฝั่งอ่าวไทยไม่มีสึนามิหรอก (นังหนู)” เต่าเอือมเม่าดี๊ด๊า


เซอร์ไพรส์ที่น่ารักสำหรับทริปนี้คือ หม่าม้าอุตส่าห์ตุ๋นไก่ยาจีนหิ้วมาให้จากหาดใหญ่  บอกว่า กลัวลูกไม่ได้กินของบำรุง
  
เลยฉลองศรัทธากันชุดใหญ่

เล่น ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ จนถึงช่วงเย็น เราก็ยกโขยงไปกินที่ร้านครัวตังเก

ร้านนี้ตั้งอยู่ริมป่าชายเลนค่ะ  อาหารอร่อยนะคะ แต่ช้าไปนิดค่ะ เข้าใจว่าคนเยอะ
อ้อ... ถ้าจะถามว่าไปยังไงเหรอคะ ?  กูเกิ้ลแม็ปเลยค่ะ  บอกทุกพิกัด เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา อย่างแม่นยำ

เช้าวันต่อมา เราก็ลุกขึ้นมาทานอาหารเช้าค่ะ  จะมีผลไม้กับขนมปังมาเสิร์ฟ และมีอาหารเช้าตามสั่ง


ดิฉันสั่งข้าวต้ม ส่วนราชสีห์ที่บ้านสั่ง ไข่เบเนดิกท์ค่ะ


ทานเสร็จ  กลับมาเพลินกับวิวทะเลอีกหน

ก็ออกเดินทางจะไปดูน้องโลมาสีชมพู
ภาพส่งท้ายเป็นฟองคลื่นและหาดทรายสะอาดนะคะ  ไม่มีขยะเลย

  

ทางไปดูน้องโลมา ก็ไม่ยุ่งยากนะคะ  ไปทางแหลมประทับค่ะ  
ครั้งแรก เราแวะจอดท่าเรือเจ้าแรกที่ผ่าน แต่ไม่ได้ตกลงใช้บริการ เพราะคณะเราทั้งหมดมี 11 คน แต่เรือนั่งได้มากสุดแค่ ๗ คน ราคาเหมาลำ ลำละ 1,000 บาท
  

เราขับออกมา มาพบท่าเรือแห่งที่สอง เรือใหญ่กว่า นั่งได้ 11 คน สบาย ๆ ราคาเหมาลำ ลำละ 1,000 บาท เช่นกัน
ท่าเรือแห่งที่สองนี้ มีไฮไลท์ คือ มีหินศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ (ขออภัยจำชื่อไม่ได้ค่ะ) และมีพวงมาลัยไปคล้องไว้เต็ม  คนเรือบอกว่า หินนี้ มีคนมาสักการะเยอะ โดยมาก มักจะบนบานขอเรื่องการสอบติดราชการ  (ใครได้แวะไปลองขอดู ถ้าได้แล้วมาบอกกันด้วยนะคะ)
  

วิวแถว ๆ ท่าเรือแห่งที่สองนี้นะคะ



ก่อนขึ้นเรือ  พวกเราต้องสวมชูชีพกันคนละชุดค่ะ แล้วก็ค่อย ๆ ลงเรือกันไป แต่เดิม ดิฉันเข้าใจว่า
จะเป็นทริปแนวคุณนายนั่งเรือสบาย ๆ ไป แป๊บ ๆ กลับ  ก็เลยไม่ได้เตรียมพวกถุงทะเลหรืออะไรสมบุกสมบันไป  แต่วันนั้น ฝนตก แดดออก สลับกันไป เรือไม่มีหลังคาคลุมเพียงแค่ตาข่ายพรางแสง เลยเหมือนได้อาบน้ำฝักบัวกลางทะเลซะอย่างนั้น  สมาชิกในเรือตั้งแต่ 9 ขวบยัน 84 เปียกมะลอกมะแลกกันเหมือนอะไรตกน้ำก็ไม่รู้ ^^
ชื่อสินค้า:   ขนอม อาว่า พระธาตุเมืองนคร และ โรงแรมดอกบัวคู่
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่