สวัสดีเพื่อนชาวพันทิป เมื่อวันที่ 4-6 ธันวา 14 ได้มีโอกาสไปเที่ยวดอยอ่างขางจังหวัดเชียงใหม่
เลยอยากมาทำรีวิวสำหรับเพื่อนที่กำลังจะหาที่เที่ยวช่วงหน้าหนาว หรือใครที่ยังไม่มีที่เที่ยวก็ลองดูเป็นไกด์นะครับ
ต้องออกตัวก่อนเลยว่า ไม่ได้เป็นช่างถ่ายภาพมืออาชีพ เขียนไม่ค่อยเก่ง และยังเป็นรีวิวท่องเที่ยวรีวิวแรกอีกต่างหาก
ผิดพลาดตรงไหนก็ขอโทษทีครับ จริงๆ 1 ปีที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเที่ยวหลายที่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
แต่ไม่เคยคิดจะนำมาทำเป็นรีวิวเลย ไปเที่ยวดอยอ่างขางครั้งนี้คิดยังไงไม่รู้ครับอยากทำรีวิวขึ้นมาซะงั้น
อาจจะเป็นเพราะเวลาผมไปเที่ยวที่ไหนก็อาศัยหาข้อมูลจากรีวิวในพันทิปในการเดินทางเป็นหลัก
เลยอยากส่งต่อข้อมูลท่องเที่ยวและถือเป็นการอัพเดทสถานที่ท่องเที่ยวละกันครับ
ทริปนี้เริ่มขึ้นจากการที่เมื่อช่วงนี้ของปีที่แล้วได้ไปเที่ยวภูกระดึงจังหวัดเลยกับแฟนมา ปีนี้เลยอยากซ้ำครับ
แต่ไม่อยากซ้ำสถานที่เดิมเลยตกลงกับแฟนว่าไปดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่ การเดินทาง จองตั๋วบินไปกลับครับ
ออกเดินทางวันที่ 4 จากสนามบินดอนเมือง เวลา 5.55 ถึงสนามบินเชียงใหม่ เวลา 6.55
จากนั้นก็โบกรถแดงบอกไปลงสถานีรถช้างเผือกในราคาคนละไม่เกิน 40 บาทนะครับ
เพื่อต่อรถ เชียงใหม่ - ท่าตอน ไปลงหน้าวัดหาดสำราญ เพื่อขึ้นดอยอ่างขาง สภาพรถตามภาพข่างล่างเลย
บอกไว้เลยครับว่าการเดินทางโดยรถทัวร์ เชียงใหม่ - ท่าตอน ค่อนข้างเมื่อย ถ้าใครมีทางเลือกที่ดีกว่าเช่น รถตู้ ก็ตามสะดวกเลยครับ
พอถึงวัดหาดสำราญก็เดินเข้าไปในวัดเลยครับ จะมีรถสำหรับขึ้นดอยในราคา 800 บาทจะเหมาหรือจะหาเพื่อนแชร์ ก็ตามสะดวก
แต่วันที่ผมไป ผมโชคดีได้เพื่อนแชร์ค่ารถ 10 คน ซึ่งเพื่อนที่ร่วมแชร์ค่ารถในวันแรก ก็กลายเป็นเพื่อนเที่ยวด้วยกันตลอดทริปนี้เลยครับ
รถขึ้นดอยสีขาว ด้านล่างเลย
เมื่อถึงบนดอยหน้าสถานีอ่างขางเพื่อนที่ร่วมแชร์ค่ารถก็คุยกันถึงที่มาที่ไป สรุปทุกคนตั้งใจจะมานอนเต็นท์ แต่หาเต็นท์ไม่เจอ
คือลานกลางเต็นท์ต้องย้อนกลับขึ้นไปทางที่ผ่านมา 1 - 5 กิโลเมตร
ซึ่งผมกับแฟนตัดสินใจไม่กลับไปครับ แต่หาโรงแรมหน้าสถานีนอนครับ
เดินหาได้มา 2 คืน ราคา 3,000 บาท ก่อนแยกย้ายเพื่อนที่ร่วมแชร์ค่ารถตอนขึ้นดอยตกลงว่าพรุ่งนี้จะแชร์ค่ารถเที่ยวบนดอยต่อ
ซึ่ง ณ ตอนนั้นเป็นเวลา 13.55 ผมกับแฟนเลยตัดสินใจตีตั๋ว 50 บาท เข้าไปในสถานีอ่างขาง
โดยมีรถของสถานีอ่างขางคอยให้บริการ พาชมข้างในสถานีโครงการหลวงในเส้นทางหลักครับ
โดยรถจะพาชมสวนดอกไม้ต่างๆ โรงงานผลิตชา สวน 80 ปี สวนดอกกุหลาบ สวนบ๊วย และอีกเยอะครับ
โรงงานผลิตชา พร้อมชงให้ลองจิบสดๆ
มีดอกกล้วยไม้หลายสีมากๆ ถูกจัดเรียง ทั้งในอาคาร และนอกอาคาร
สองข้างทางมีต้นไม้ ดอกไม้ให้ชื่นชม อากาศก็เย็นสบายครับ คือช่วงที่มีแดดสภาพอากาศกำลังเย็นๆไม่หนาว
แต่พอหมดแดดก็เตรียมตัวกันไว้ดีๆละกันครับ เพราะตอนที่ไปตอนกลางคืนปากพ่นออกมาเป็นควันเลย
ตรงนี้เป็นสวนบ๊วยครับ ลำต้นสวยมาก เหมือนต้นบอนไซขนาดใหญ่ๆ ออกดอกคล้ายๆซากุระ
ถ่ายรูปมาเยอะมาก ตรงนี้ประทับใจที่สุด
พอรถพาชมรอบแล้วซึ่งมันมีเยอะกว่าในภาพเยอะมากครับ
รถก็จะวนกลับมาที่เดิม ซึ่งเป็นหน้าสถานี มีร้านค้าของสถานีขายผลิตภัณฑ์ต่างๆของโครงการหลวง
ทั้งแยม น้ำผลไม้ ผลไม้เมืองหนาว และอีกเยอะมาก
ช่วงเย็นพักผ่อนครับ
เช้าวันที่ 5 รถมารับแต่เช้าเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ออกมาจากโรงแรม อากาศค่อนข้างหนาวใช้ได้ทีเดียว
แต่ก็ต้องอดทนยืนรอรถต่อไป สักพักรถมาพร้อมเพื่อนๆร่วมทริปในวันแรก จากนั้นก็มุ่งสู่สถานที่ชมพระอาทิตย์ขึ้น
คิดว่าจะไปช้า ปรากฏว่าไปนั่งรออยู่นานสองนาน กว่าพระอาทิตย์จะโผล่ก็ 6.55 เมฆค่อนข้างเยอะหน่อยครับวันนี้
ดูภาพเอาเลย
นั่งชมบรรยากาศ บวก ถ่ายรูป เสร็จเรียบร้อยมานั่งกินข้าวต้ม ปาท่องโก๋
และออกเดินทางเที่ยวต่อที่ ไร่ชาแปลงสองพัน หรือ ใบชาเชียวดอยอ่างขาง
ขับรถออกมาจากจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นไม่นานก็ถึงไร่ชาเชียวครับ ถึงตอนเวลา 7.40
ความรู้สึกตอนแรกที่เห็นคือ โอ่ว ประเทศไทยมีแบบนี้ด้วยอ้อ สวยมากกกกก ดูกันเลยครับ
เจอละครับ ยอดอ่อนชาเขียว อยากเด็ดไปต้มซะตรงนั้น
ความรู้สึกค่อนข้างตื่นเต้นกับไร่ชาเขียวครับ เพราะตอนที่ไปเป็นช่วงเช้าตรู่ มีหมอกบางๆ ไร่ชาสุดลูกหูลูกตา
ล้อมหน้าล้อมหลัง อากาศก็ดี จากนั้นก็ออกจากไร่ชาเขียวไปชายแดนไทยพม่าต่อครับ ถึงตอนเวลา 9.00
ส่วนของชายแดนไทยพม่าก็ให้เราไปชมชายแดนนั่นแหละครับ แต่ความพิเศษคือ
จะมีชาวเขานำผลิตภัณฑ์ เช่น ผ้า กำไลเงิน บลาๆๆ มาขายมากมาย เพื่อนร่วมทริปคนนึงก็ไปสอยหมวกชาวเขา
มาเซลฟี่สุดพลังเกิดครับ จากนั้นก็ออกรถไปไร่สตอเบอรี่ต่อ ในเวลาไม่เกิน 10 โมง
ไร่สตอเบอรี่บ้านนอแลก็สวยครับ แต่ยังไม่ค่อบประทับใจเท่าไร่ชาเขียว อาจเพราะไปไร่ชาเขียวมาก่อน เลยทำให้
ความตื่นเต้นลดลงไปเยอะ และช่วงที่ไปไม่มีสตอเบอรี่ลูกแดงๆให้ดูเยอะเท่าไหร่ เห็นแต่ใบเขียวๆครับ
ยังมีอีกหลายที่ ที่ไปอย่างสวนส้ม โรงงานของโครงการหลวง เดี๋ยวมารีวิวต่อนะครับ
[CR] (รีวิว) TRIP D ดอยอ่างขาง เชียงใหม่ 4-5.12.2014
สวัสดีเพื่อนชาวพันทิป เมื่อวันที่ 4-6 ธันวา 14 ได้มีโอกาสไปเที่ยวดอยอ่างขางจังหวัดเชียงใหม่
เลยอยากมาทำรีวิวสำหรับเพื่อนที่กำลังจะหาที่เที่ยวช่วงหน้าหนาว หรือใครที่ยังไม่มีที่เที่ยวก็ลองดูเป็นไกด์นะครับ
ต้องออกตัวก่อนเลยว่า ไม่ได้เป็นช่างถ่ายภาพมืออาชีพ เขียนไม่ค่อยเก่ง และยังเป็นรีวิวท่องเที่ยวรีวิวแรกอีกต่างหาก
ผิดพลาดตรงไหนก็ขอโทษทีครับ จริงๆ 1 ปีที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเที่ยวหลายที่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
แต่ไม่เคยคิดจะนำมาทำเป็นรีวิวเลย ไปเที่ยวดอยอ่างขางครั้งนี้คิดยังไงไม่รู้ครับอยากทำรีวิวขึ้นมาซะงั้น
อาจจะเป็นเพราะเวลาผมไปเที่ยวที่ไหนก็อาศัยหาข้อมูลจากรีวิวในพันทิปในการเดินทางเป็นหลัก
เลยอยากส่งต่อข้อมูลท่องเที่ยวและถือเป็นการอัพเดทสถานที่ท่องเที่ยวละกันครับ
ทริปนี้เริ่มขึ้นจากการที่เมื่อช่วงนี้ของปีที่แล้วได้ไปเที่ยวภูกระดึงจังหวัดเลยกับแฟนมา ปีนี้เลยอยากซ้ำครับ
แต่ไม่อยากซ้ำสถานที่เดิมเลยตกลงกับแฟนว่าไปดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่ การเดินทาง จองตั๋วบินไปกลับครับ
ออกเดินทางวันที่ 4 จากสนามบินดอนเมือง เวลา 5.55 ถึงสนามบินเชียงใหม่ เวลา 6.55
จากนั้นก็โบกรถแดงบอกไปลงสถานีรถช้างเผือกในราคาคนละไม่เกิน 40 บาทนะครับ
เพื่อต่อรถ เชียงใหม่ - ท่าตอน ไปลงหน้าวัดหาดสำราญ เพื่อขึ้นดอยอ่างขาง สภาพรถตามภาพข่างล่างเลย
บอกไว้เลยครับว่าการเดินทางโดยรถทัวร์ เชียงใหม่ - ท่าตอน ค่อนข้างเมื่อย ถ้าใครมีทางเลือกที่ดีกว่าเช่น รถตู้ ก็ตามสะดวกเลยครับ
พอถึงวัดหาดสำราญก็เดินเข้าไปในวัดเลยครับ จะมีรถสำหรับขึ้นดอยในราคา 800 บาทจะเหมาหรือจะหาเพื่อนแชร์ ก็ตามสะดวก
แต่วันที่ผมไป ผมโชคดีได้เพื่อนแชร์ค่ารถ 10 คน ซึ่งเพื่อนที่ร่วมแชร์ค่ารถในวันแรก ก็กลายเป็นเพื่อนเที่ยวด้วยกันตลอดทริปนี้เลยครับ
รถขึ้นดอยสีขาว ด้านล่างเลย
เมื่อถึงบนดอยหน้าสถานีอ่างขางเพื่อนที่ร่วมแชร์ค่ารถก็คุยกันถึงที่มาที่ไป สรุปทุกคนตั้งใจจะมานอนเต็นท์ แต่หาเต็นท์ไม่เจอ
คือลานกลางเต็นท์ต้องย้อนกลับขึ้นไปทางที่ผ่านมา 1 - 5 กิโลเมตร
ซึ่งผมกับแฟนตัดสินใจไม่กลับไปครับ แต่หาโรงแรมหน้าสถานีนอนครับ
เดินหาได้มา 2 คืน ราคา 3,000 บาท ก่อนแยกย้ายเพื่อนที่ร่วมแชร์ค่ารถตอนขึ้นดอยตกลงว่าพรุ่งนี้จะแชร์ค่ารถเที่ยวบนดอยต่อ
ซึ่ง ณ ตอนนั้นเป็นเวลา 13.55 ผมกับแฟนเลยตัดสินใจตีตั๋ว 50 บาท เข้าไปในสถานีอ่างขาง
โดยมีรถของสถานีอ่างขางคอยให้บริการ พาชมข้างในสถานีโครงการหลวงในเส้นทางหลักครับ
โดยรถจะพาชมสวนดอกไม้ต่างๆ โรงงานผลิตชา สวน 80 ปี สวนดอกกุหลาบ สวนบ๊วย และอีกเยอะครับ
โรงงานผลิตชา พร้อมชงให้ลองจิบสดๆ
มีดอกกล้วยไม้หลายสีมากๆ ถูกจัดเรียง ทั้งในอาคาร และนอกอาคาร
สองข้างทางมีต้นไม้ ดอกไม้ให้ชื่นชม อากาศก็เย็นสบายครับ คือช่วงที่มีแดดสภาพอากาศกำลังเย็นๆไม่หนาว
แต่พอหมดแดดก็เตรียมตัวกันไว้ดีๆละกันครับ เพราะตอนที่ไปตอนกลางคืนปากพ่นออกมาเป็นควันเลย
ตรงนี้เป็นสวนบ๊วยครับ ลำต้นสวยมาก เหมือนต้นบอนไซขนาดใหญ่ๆ ออกดอกคล้ายๆซากุระ
ถ่ายรูปมาเยอะมาก ตรงนี้ประทับใจที่สุด
พอรถพาชมรอบแล้วซึ่งมันมีเยอะกว่าในภาพเยอะมากครับ
รถก็จะวนกลับมาที่เดิม ซึ่งเป็นหน้าสถานี มีร้านค้าของสถานีขายผลิตภัณฑ์ต่างๆของโครงการหลวง
ทั้งแยม น้ำผลไม้ ผลไม้เมืองหนาว และอีกเยอะมาก
ช่วงเย็นพักผ่อนครับ
เช้าวันที่ 5 รถมารับแต่เช้าเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ออกมาจากโรงแรม อากาศค่อนข้างหนาวใช้ได้ทีเดียว
แต่ก็ต้องอดทนยืนรอรถต่อไป สักพักรถมาพร้อมเพื่อนๆร่วมทริปในวันแรก จากนั้นก็มุ่งสู่สถานที่ชมพระอาทิตย์ขึ้น
คิดว่าจะไปช้า ปรากฏว่าไปนั่งรออยู่นานสองนาน กว่าพระอาทิตย์จะโผล่ก็ 6.55 เมฆค่อนข้างเยอะหน่อยครับวันนี้
ดูภาพเอาเลย
นั่งชมบรรยากาศ บวก ถ่ายรูป เสร็จเรียบร้อยมานั่งกินข้าวต้ม ปาท่องโก๋
และออกเดินทางเที่ยวต่อที่ ไร่ชาแปลงสองพัน หรือ ใบชาเชียวดอยอ่างขาง
ขับรถออกมาจากจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นไม่นานก็ถึงไร่ชาเชียวครับ ถึงตอนเวลา 7.40
ความรู้สึกตอนแรกที่เห็นคือ โอ่ว ประเทศไทยมีแบบนี้ด้วยอ้อ สวยมากกกกก ดูกันเลยครับ
เจอละครับ ยอดอ่อนชาเขียว อยากเด็ดไปต้มซะตรงนั้น
ความรู้สึกค่อนข้างตื่นเต้นกับไร่ชาเขียวครับ เพราะตอนที่ไปเป็นช่วงเช้าตรู่ มีหมอกบางๆ ไร่ชาสุดลูกหูลูกตา
ล้อมหน้าล้อมหลัง อากาศก็ดี จากนั้นก็ออกจากไร่ชาเขียวไปชายแดนไทยพม่าต่อครับ ถึงตอนเวลา 9.00
ส่วนของชายแดนไทยพม่าก็ให้เราไปชมชายแดนนั่นแหละครับ แต่ความพิเศษคือ
จะมีชาวเขานำผลิตภัณฑ์ เช่น ผ้า กำไลเงิน บลาๆๆ มาขายมากมาย เพื่อนร่วมทริปคนนึงก็ไปสอยหมวกชาวเขา
มาเซลฟี่สุดพลังเกิดครับ จากนั้นก็ออกรถไปไร่สตอเบอรี่ต่อ ในเวลาไม่เกิน 10 โมง
ไร่สตอเบอรี่บ้านนอแลก็สวยครับ แต่ยังไม่ค่อบประทับใจเท่าไร่ชาเขียว อาจเพราะไปไร่ชาเขียวมาก่อน เลยทำให้
ความตื่นเต้นลดลงไปเยอะ และช่วงที่ไปไม่มีสตอเบอรี่ลูกแดงๆให้ดูเยอะเท่าไหร่ เห็นแต่ใบเขียวๆครับ
ยังมีอีกหลายที่ ที่ไปอย่างสวนส้ม โรงงานของโครงการหลวง เดี๋ยวมารีวิวต่อนะครับ