ในวโรกาสวันพ่อที่จะถึงในวันพรุ่งนี้ เราอยากแบ่งปันประสบการณ์ที่ยังคงประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ให้เพื่อน ๆ ชาวพันทิปได้รับทราบค่ะ โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2551 แต่ยังคงเป็นความรู้สึกที่ยังติดอยู่ในใจไม่มีวันลืมเลือนค่ะ เราจึงเขียนบันทึกนี้เก็บไว้ ^^
"ด้วยพระบารมี"
วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๑ ข้าพเจ้ามีโอกาสอันนับได้ว่าสูงสุดในชีวิตก็ว่าได้ ที่จะได้เข้าเฝ้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องจากพระองค์ทรงเสด็จมาประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดบวรนิเวศวิหาร มีประชาชนจำนวนมากที่ทราบข่าว ไปเตรียมรอรับเสด็จกันตั้งแต่ช่วงบ่าย บ้างก็ว่าพระองค์คงไม่ได้เสด็จมาเนื่องจากอาการประชวร อาจจะจะทรงโปรดเกล้าฯให้ผู้แทนพระองค์เสด็จมา แต่กระนั้นข้าพเจ้าก็ตั้งใจอย่างยิ่งที่จะไปรอรับเสด็จ
นับเป็นครั้งแรก และไม่รู้ว่าจะเป็นเพียงครั้งเดียวหรือไม่ ที่ข้าพเจ้าจะมีบุญเช่นนี้ การได้เห็นพระพักตร์และพระวรกายของพระองค์ท่านด้วยตาของตัวเองนั้น นับได้ว่าเป็นความฝันอันสูงสุดในชีวิตของข้าพเจ้า ‘ในหลวง’ พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะด้วยน้ำพระทัยหรือพระราชกรณียกิจนานัปการ ที่ทรงอุทิศให้กับประเทศชาติมาตลอดทั้งชีวิตของพระองค์ ข้าพเจ้าซาบซึ้งและตระหนักดี จึงไม่แปลกใจเลยที่คนไทยทั้งชาติ รวมถึงตัวข้าพเจ้าจะรักและเทิดทูนพระองค์อยู่ ‘เหนือหัว’
หลังจากทราบข่าวจากเพื่อนของข้าพเจ้า(ซึ่งขณะนั้นทำงานในวัดบวรฯ) ว่าพระองค์จะเสด็จมาในครั้งนี้ ข้าพเจ้าตัดสินใจทันทีว่าต้องมาเข้าเฝ้ารับเสด็จ จึงลางานครึ่งวันเพื่อเดินทาง จากกำหนดการพระองค์จะเสด็จมาถึงในเวลา ๑๖.๐๐ น. ข้าพเจ้าจึงเดินทางจากรามคำแหงมาถึงวัดบวรฯในเวลาบ่ายโมง เพื่อมาจับจองที่ทางในการเฝ้ารับเสด็จอย่างใกล้ชิด แต่คงไม่สามารถแข่งขันกับผู้อาวุโสทั้งหลายได้ จึงพยายามยืนจองที่ให้ได้ใกล้พระอุโบสถมากที่สุด อย่างน้อยก็สามารถมองเห็นและเฝ้าชมบารมีของพระองค์ได้อยู่เช่นเดียวกัน แม้เวลาในขณะนั้นจะเป็นเวลาบ่าย อากาศร้อนอบอ้าว ผู้ที่ต่างมาเฝ้าคอยชมบารมีของพระองค์ก็มิได้ย่อท้อ ยังคงปักหลักอยู่กับที่ไม่ไปไหน บ้างก็กางร่มกันแดดที่ร้อนจัด บ้างก็โบกพัดให้คลายร้อน............ แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเมฆหนาเริ่มก่อตัวขึ้นเหนือบริเวณนั้น ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด ต่างจากเมื่อครู่ พวกเราต่างภาวนาขออย่าให้ฝนตกในตอนนี้เลย เพราะภายในบริเวณวัดที่ค่อนข้างคับแคบ คงไม่สามารถให้ที่หลบฝนประชาชนจำนวนมากในตอนนี้ได้เพียงพอ และแล้วสิ่งที่พวกเราภาวนา.....ก็ไม่เป็นผล.......
ฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างหนัก ผู้คนที่จับจองที่นั่งในตอนแรกจึงต้องวิ่งกันหาที่หลบฝน ต่างคนต่างยืนเบียดเสียดกันเพื่อไม่ให้เปียกฝน บางคนก็ยังคงยืนอยู่ทีเดิมไม่ไปไหน ข้าพเจ้าขณะนั้นไม่มีร่ม จึงต้องวิ่งไปหลบใต้ชายคาศาลาด้านหนึ่ง จนเปียกไปครึ่งตัว ขณะนั้นเวลาประมาณบ่ายสามโมง ฝนก็ไม่มีทีท่าจะหยุดตกง่าย ๆ นอกจากนั้นยังมีฟ้าร้อง และฟ้าผ่าในพื้นที่ใกล้เคียงหลายครั้ง ในขณะนั้นมีหลายครั้งที่เราได้ยินเสียงตะโกน “เสด็จมาแล้ว” ก็ต่างวิ่งกรูกันออกมาด้วยความดีใจ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น มีการเข้าใจผิดอยู่หลายครั้งว่าพระองค์เสด็จมาแล้ว จนในที่สุดทำนองเสียงเพลงคุ้นหูของพวกเราชาวไทยก็ดังขึ้น ‘สดุดีมหาราชา’
ในตอนนั้นข้าพเจ้าวิ่งออกมาโดยไม่สนใจว่าจะเปียกฝนมากน้อยเพียงใด เวลานั้นฝนเริ่มซาลงแล้ว ผู้คนเริ่มทยอยกันออกมารอรับเสด็จเหมือนเดิม เจ้าหน้าที่เดินมาบอกกฎระเบียบให้พวกเราทราบ ในการห้ามถ่ายภาพ และเก็บร่วมที่กางให้เรียบร้อย ทุกคนทำตามแต่โดยดี และต่างใจจดใจจ่อ มองไปยังซุ้มประตู......ฝนที่ตกหนักจนมองอะไรไม่เห็นเมื่อชั่วโมงก่อน บัดนี้ฟ้าเปิดสว่างสดใสเหลือเพียงละอองสายฝนที่พัดมาตามสายลมเท่านั้น ข้าพเจ้าก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ เวลาขณะนั้นคือ ๑๕.๕๙ น. ข้าพเจ้ารู้สึกขนลุกเกรียว ปลื้มปิติและตื้นตันจนน้ำตาไหล คงเป็นเพราะบารมีของพระองค์ท่านเป็นแน่แท้ ฝนที่ตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด ก็กลับหยุดตกไปอย่างง่ายดาย
แม้เส้นทางที่ทอดยาวไปสู่พระอุโบสถจะเปียกนองไปด้วยน้ำฝน แต่กระนั้นพระองค์ก็ทรงพระดำเนินด้วยพระองค์เอง โดยทรงใช้ธารพระกร(ไม้เท้า) พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงเสด็จตามมา เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ “ทรงพระเจริญ” ดังขึ้นมิได้ขาดสาย กึกก้องไปทั่วบริเวณ สองมือของข้าพเจ้าประนมสั่นด้วยความปลื้มปิติ วินาทีนั้นข้าพเจ้าแทบจะไม่ได้ละสายตาไปจากพระองค์ท่านเลย เพราะเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่พระองค์เสด็จสู่พระอุโบสถนั้น เป็นเสี้ยววินาที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า Beauty in Daylight
ปล. ต้องขอโทษด้วยนะคะ ไม่รู้ว่าควรแท็กห้องไหน เลยขออนุญาตแท็กห้องที่ จขกท. มักจะเข้ามาเป็นประจำนะคะ ขออภัยหากเห็นว่าไม่สมควรค่ะ
"ด้วยพระบารมี"
"ด้วยพระบารมี"
วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๑ ข้าพเจ้ามีโอกาสอันนับได้ว่าสูงสุดในชีวิตก็ว่าได้ ที่จะได้เข้าเฝ้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องจากพระองค์ทรงเสด็จมาประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดบวรนิเวศวิหาร มีประชาชนจำนวนมากที่ทราบข่าว ไปเตรียมรอรับเสด็จกันตั้งแต่ช่วงบ่าย บ้างก็ว่าพระองค์คงไม่ได้เสด็จมาเนื่องจากอาการประชวร อาจจะจะทรงโปรดเกล้าฯให้ผู้แทนพระองค์เสด็จมา แต่กระนั้นข้าพเจ้าก็ตั้งใจอย่างยิ่งที่จะไปรอรับเสด็จ
นับเป็นครั้งแรก และไม่รู้ว่าจะเป็นเพียงครั้งเดียวหรือไม่ ที่ข้าพเจ้าจะมีบุญเช่นนี้ การได้เห็นพระพักตร์และพระวรกายของพระองค์ท่านด้วยตาของตัวเองนั้น นับได้ว่าเป็นความฝันอันสูงสุดในชีวิตของข้าพเจ้า ‘ในหลวง’ พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะด้วยน้ำพระทัยหรือพระราชกรณียกิจนานัปการ ที่ทรงอุทิศให้กับประเทศชาติมาตลอดทั้งชีวิตของพระองค์ ข้าพเจ้าซาบซึ้งและตระหนักดี จึงไม่แปลกใจเลยที่คนไทยทั้งชาติ รวมถึงตัวข้าพเจ้าจะรักและเทิดทูนพระองค์อยู่ ‘เหนือหัว’
หลังจากทราบข่าวจากเพื่อนของข้าพเจ้า(ซึ่งขณะนั้นทำงานในวัดบวรฯ) ว่าพระองค์จะเสด็จมาในครั้งนี้ ข้าพเจ้าตัดสินใจทันทีว่าต้องมาเข้าเฝ้ารับเสด็จ จึงลางานครึ่งวันเพื่อเดินทาง จากกำหนดการพระองค์จะเสด็จมาถึงในเวลา ๑๖.๐๐ น. ข้าพเจ้าจึงเดินทางจากรามคำแหงมาถึงวัดบวรฯในเวลาบ่ายโมง เพื่อมาจับจองที่ทางในการเฝ้ารับเสด็จอย่างใกล้ชิด แต่คงไม่สามารถแข่งขันกับผู้อาวุโสทั้งหลายได้ จึงพยายามยืนจองที่ให้ได้ใกล้พระอุโบสถมากที่สุด อย่างน้อยก็สามารถมองเห็นและเฝ้าชมบารมีของพระองค์ได้อยู่เช่นเดียวกัน แม้เวลาในขณะนั้นจะเป็นเวลาบ่าย อากาศร้อนอบอ้าว ผู้ที่ต่างมาเฝ้าคอยชมบารมีของพระองค์ก็มิได้ย่อท้อ ยังคงปักหลักอยู่กับที่ไม่ไปไหน บ้างก็กางร่มกันแดดที่ร้อนจัด บ้างก็โบกพัดให้คลายร้อน............ แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเมฆหนาเริ่มก่อตัวขึ้นเหนือบริเวณนั้น ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด ต่างจากเมื่อครู่ พวกเราต่างภาวนาขออย่าให้ฝนตกในตอนนี้เลย เพราะภายในบริเวณวัดที่ค่อนข้างคับแคบ คงไม่สามารถให้ที่หลบฝนประชาชนจำนวนมากในตอนนี้ได้เพียงพอ และแล้วสิ่งที่พวกเราภาวนา.....ก็ไม่เป็นผล.......
ฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างหนัก ผู้คนที่จับจองที่นั่งในตอนแรกจึงต้องวิ่งกันหาที่หลบฝน ต่างคนต่างยืนเบียดเสียดกันเพื่อไม่ให้เปียกฝน บางคนก็ยังคงยืนอยู่ทีเดิมไม่ไปไหน ข้าพเจ้าขณะนั้นไม่มีร่ม จึงต้องวิ่งไปหลบใต้ชายคาศาลาด้านหนึ่ง จนเปียกไปครึ่งตัว ขณะนั้นเวลาประมาณบ่ายสามโมง ฝนก็ไม่มีทีท่าจะหยุดตกง่าย ๆ นอกจากนั้นยังมีฟ้าร้อง และฟ้าผ่าในพื้นที่ใกล้เคียงหลายครั้ง ในขณะนั้นมีหลายครั้งที่เราได้ยินเสียงตะโกน “เสด็จมาแล้ว” ก็ต่างวิ่งกรูกันออกมาด้วยความดีใจ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น มีการเข้าใจผิดอยู่หลายครั้งว่าพระองค์เสด็จมาแล้ว จนในที่สุดทำนองเสียงเพลงคุ้นหูของพวกเราชาวไทยก็ดังขึ้น ‘สดุดีมหาราชา’
ในตอนนั้นข้าพเจ้าวิ่งออกมาโดยไม่สนใจว่าจะเปียกฝนมากน้อยเพียงใด เวลานั้นฝนเริ่มซาลงแล้ว ผู้คนเริ่มทยอยกันออกมารอรับเสด็จเหมือนเดิม เจ้าหน้าที่เดินมาบอกกฎระเบียบให้พวกเราทราบ ในการห้ามถ่ายภาพ และเก็บร่วมที่กางให้เรียบร้อย ทุกคนทำตามแต่โดยดี และต่างใจจดใจจ่อ มองไปยังซุ้มประตู......ฝนที่ตกหนักจนมองอะไรไม่เห็นเมื่อชั่วโมงก่อน บัดนี้ฟ้าเปิดสว่างสดใสเหลือเพียงละอองสายฝนที่พัดมาตามสายลมเท่านั้น ข้าพเจ้าก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ เวลาขณะนั้นคือ ๑๕.๕๙ น. ข้าพเจ้ารู้สึกขนลุกเกรียว ปลื้มปิติและตื้นตันจนน้ำตาไหล คงเป็นเพราะบารมีของพระองค์ท่านเป็นแน่แท้ ฝนที่ตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด ก็กลับหยุดตกไปอย่างง่ายดาย
แม้เส้นทางที่ทอดยาวไปสู่พระอุโบสถจะเปียกนองไปด้วยน้ำฝน แต่กระนั้นพระองค์ก็ทรงพระดำเนินด้วยพระองค์เอง โดยทรงใช้ธารพระกร(ไม้เท้า) พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงเสด็จตามมา เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ “ทรงพระเจริญ” ดังขึ้นมิได้ขาดสาย กึกก้องไปทั่วบริเวณ สองมือของข้าพเจ้าประนมสั่นด้วยความปลื้มปิติ วินาทีนั้นข้าพเจ้าแทบจะไม่ได้ละสายตาไปจากพระองค์ท่านเลย เพราะเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่พระองค์เสด็จสู่พระอุโบสถนั้น เป็นเสี้ยววินาที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า Beauty in Daylight
ปล. ต้องขอโทษด้วยนะคะ ไม่รู้ว่าควรแท็กห้องไหน เลยขออนุญาตแท็กห้องที่ จขกท. มักจะเข้ามาเป็นประจำนะคะ ขออภัยหากเห็นว่าไม่สมควรค่ะ