เมื่อต้นพรรษา ๒๕๕๖ ในวันที่พระอาจารย์เปิดโอกาสให้คณะพระบวชใหม่ได้พูดจาเล่าที่มาที่ไปของตัวเองให้ญาติโยมฟัง
เรื่องเล่าของ ท่านเอ๋ - ปัณณภาโรภิกขุ (ปาณภูมิ วังตาล) ดูจะเป็นเรื่องราวที่สร้างความสะเทือนใจให้ญาติโยมได้มากที่สุด เจ้าตัวเล่า
ไปก็น้ำหูน้ำตาไหลด้วยความอัดอั้นตันใจ พานให้ผู้ฟังหลายคนคว้ากระดาษทิชชูตามกันแทบไม่ทัน เรื่องของท่านฟังแล้วช่างน่าอึดอัด
เต็มไปด้วยปัญหา และพาให้ทุกข์ใจตามไปด้วยได้ง่ายเหลือเกิน
๑๐ เดือนต่อมา ท่านเอ๋คนเดิมมีโอกาสได้เล่าเรื่องเดิมให้ญาติโยมฟังอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีน้ำตาบนใบหน้าของท่านอีกแล้ว
เหลือเพียงรอยยิ้มบางๆที่ผุดขึ้นมาบ้างเป็นระยะคล้ายจะอุทิศให้แก่อดีตที่ผ่าน ขณะที่ท่านเล่าทุกรายละเอียดของชีวิตราวกับไม่ได้กำลังพูด
เรื่องของตัวเอง แต่คือการเล่าในฐานะบุคคลที่สาม หรือผู้ดู ที่สามารถ "เพียงแค่รู้" ได้อย่างแท้จริง
เดิมทีอาตมาเป็นคริสตังชนิดเข้มข้นทั้งทางฝั่งโยมพ่อและโยมแม่ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์เลยก็ว่าได้ ครอบครัวอาตมาเป็นผู้สนับสนุน
ศาสนาคริสต์มาโดยตลอด ทั้งบริจาคที่ บริจาคเงิน สร้างโรงเรียน สร้างโบสถ์ ฯลฯ ความเป็นคริสต์จึงอยู่ในสายเลือดของครอบครัวเรา
แต่สำหรับอาตมา แม้ว่าความเป็นคริสต์จะอยู่ในสายเลือด แต่ความเป็นพุทธนั้นอยู่ในดีเอ็นเอ อาตมาเรียนโรงเรียนคริสต์ตั้งแต่เด็ก ไปโบสถ์
ทุกวันอาทิตย์ ทำวัตรเย็น สวดมนต์ก่อนและหลังอาหาร แล้วยังเป็นเด็กวัดมีหน้าที่ช่วยงานทุกอย่าง ตั้งแต่ช่วยทำมิสซา ช่วยร้องเพลงประสานเสียง ฯลฯ
แต่ลึกๆอาตมากลับรู้สึกว่าเรามาทำอะไรที่นี่ ซึ่งไม่ใช่ว่าศาสนาคริสต์ไม่ดี เพียงแต่ว่าอาจไม่ใช่ศาสนาที่เหมาะกับเรา ในใจเราจึงรู้สึกสับสน
ไม่เข้าใจว่าเราร้องเพลงไปทำไม เราทำงานรับใช้ศาสนาไปเพื่ออะไร เราสวดมนต์ไปทำไม และหลักคำสอนของคริสต์ก็ตอบคำถามให้เราไม่ได้
อาตมาจึงรู้สึกว่าเราอยู่แปลกที่แปลกทางเสมอ
ขณะเดียวกันอาตมาก็ปรามาสศาสนาพุทธมาตลอดว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เหมือนศาสนาคริสต์ แต่ลึกๆแล้วกลับรู้สึกว่าศาสนาพุทธ
น่าจะต้องมีอะไรที่ดีกว่าที่เราเป็นอยู่ ณ วันนี้ เพียงแค่ยังไม่มีความกล้าหาญพอที่จะเดินออกมาพิสูจน์ เพราะครอบครัวเราเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกคนนับ
ถือศาสนาคริสต์ ดังนั้นการที่จู่ๆเราจะออกมาบอกว่า เราอยากจะลองไปทางศาสนาพุทธตั้งแต่เด็กคงทำให้หลายคนไม่พอใจ
จนถึงวันที่เราได้ไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาและอยู่ที่นั่น ๑๐ ปี ทำให้ไปซึมซับความเป็นอเมริกันและเริ่มมีตัวตนมากขึ้น จึงเริ่มกล้าที่จะ
ทำอะไรหลายๆอย่างที่เราอยากจะทำ ช่วงนั้นอาตมาสนใจศาสนาพุทธมากขึ้น เริ่มคิดว่าศาสนาพุทธสอนให้พิสูจน์ แต่ทำไมศาสนาเราสอนให้เชื่อ
เมื่อได้มาเจอโยมภรรยาซึ่งมาจากครอบครัวพุทธที่ค่อนข้างเคร่ง คุณแม่ของภรรยาจะใส่ชุดขาว ทำวัตร และถือศีลแปดทุกวันพระ
ก็ทำให้อาตมาได้เรียนรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนามากขึ้น และรู้สึกว่าธรรมะสามารถอธิบายสิ่งต่างๆให้เราเข้าใจได้อย่างมีเหตุผลตามหลักความเป็นจริง
จึงเริ่มหันมาสนใจศาสนาพุทธมากขึ้นอีก แต่ก็ยังไม่จริงจังมาก เพราะรู้สึกกลัวหลักปฏิบัติที่ดูหนัก เช่น ต้องนั่งสมาธิ เดินจงกรมเป็นชั่วโมง ฯลฯ
ซึ่งตอนนั้นแค่นั่งสมาธิ ๕ นาทียังแทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับอาตมา
จาก "ภาระ" สู่ "พา ละ" (แค่เปลี่ยนชุดมนุษย์ก็เปลี่ยนไป)
เมื่อต้นพรรษา ๒๕๕๖ ในวันที่พระอาจารย์เปิดโอกาสให้คณะพระบวชใหม่ได้พูดจาเล่าที่มาที่ไปของตัวเองให้ญาติโยมฟัง
เรื่องเล่าของ ท่านเอ๋ - ปัณณภาโรภิกขุ (ปาณภูมิ วังตาล) ดูจะเป็นเรื่องราวที่สร้างความสะเทือนใจให้ญาติโยมได้มากที่สุด เจ้าตัวเล่า
ไปก็น้ำหูน้ำตาไหลด้วยความอัดอั้นตันใจ พานให้ผู้ฟังหลายคนคว้ากระดาษทิชชูตามกันแทบไม่ทัน เรื่องของท่านฟังแล้วช่างน่าอึดอัด
เต็มไปด้วยปัญหา และพาให้ทุกข์ใจตามไปด้วยได้ง่ายเหลือเกิน
๑๐ เดือนต่อมา ท่านเอ๋คนเดิมมีโอกาสได้เล่าเรื่องเดิมให้ญาติโยมฟังอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีน้ำตาบนใบหน้าของท่านอีกแล้ว
เหลือเพียงรอยยิ้มบางๆที่ผุดขึ้นมาบ้างเป็นระยะคล้ายจะอุทิศให้แก่อดีตที่ผ่าน ขณะที่ท่านเล่าทุกรายละเอียดของชีวิตราวกับไม่ได้กำลังพูด
เรื่องของตัวเอง แต่คือการเล่าในฐานะบุคคลที่สาม หรือผู้ดู ที่สามารถ "เพียงแค่รู้" ได้อย่างแท้จริง
เดิมทีอาตมาเป็นคริสตังชนิดเข้มข้นทั้งทางฝั่งโยมพ่อและโยมแม่ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์เลยก็ว่าได้ ครอบครัวอาตมาเป็นผู้สนับสนุน
ศาสนาคริสต์มาโดยตลอด ทั้งบริจาคที่ บริจาคเงิน สร้างโรงเรียน สร้างโบสถ์ ฯลฯ ความเป็นคริสต์จึงอยู่ในสายเลือดของครอบครัวเรา
แต่สำหรับอาตมา แม้ว่าความเป็นคริสต์จะอยู่ในสายเลือด แต่ความเป็นพุทธนั้นอยู่ในดีเอ็นเอ อาตมาเรียนโรงเรียนคริสต์ตั้งแต่เด็ก ไปโบสถ์
ทุกวันอาทิตย์ ทำวัตรเย็น สวดมนต์ก่อนและหลังอาหาร แล้วยังเป็นเด็กวัดมีหน้าที่ช่วยงานทุกอย่าง ตั้งแต่ช่วยทำมิสซา ช่วยร้องเพลงประสานเสียง ฯลฯ
แต่ลึกๆอาตมากลับรู้สึกว่าเรามาทำอะไรที่นี่ ซึ่งไม่ใช่ว่าศาสนาคริสต์ไม่ดี เพียงแต่ว่าอาจไม่ใช่ศาสนาที่เหมาะกับเรา ในใจเราจึงรู้สึกสับสน
ไม่เข้าใจว่าเราร้องเพลงไปทำไม เราทำงานรับใช้ศาสนาไปเพื่ออะไร เราสวดมนต์ไปทำไม และหลักคำสอนของคริสต์ก็ตอบคำถามให้เราไม่ได้
อาตมาจึงรู้สึกว่าเราอยู่แปลกที่แปลกทางเสมอ
ขณะเดียวกันอาตมาก็ปรามาสศาสนาพุทธมาตลอดว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เหมือนศาสนาคริสต์ แต่ลึกๆแล้วกลับรู้สึกว่าศาสนาพุทธ
น่าจะต้องมีอะไรที่ดีกว่าที่เราเป็นอยู่ ณ วันนี้ เพียงแค่ยังไม่มีความกล้าหาญพอที่จะเดินออกมาพิสูจน์ เพราะครอบครัวเราเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกคนนับ
ถือศาสนาคริสต์ ดังนั้นการที่จู่ๆเราจะออกมาบอกว่า เราอยากจะลองไปทางศาสนาพุทธตั้งแต่เด็กคงทำให้หลายคนไม่พอใจ
จนถึงวันที่เราได้ไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาและอยู่ที่นั่น ๑๐ ปี ทำให้ไปซึมซับความเป็นอเมริกันและเริ่มมีตัวตนมากขึ้น จึงเริ่มกล้าที่จะ
ทำอะไรหลายๆอย่างที่เราอยากจะทำ ช่วงนั้นอาตมาสนใจศาสนาพุทธมากขึ้น เริ่มคิดว่าศาสนาพุทธสอนให้พิสูจน์ แต่ทำไมศาสนาเราสอนให้เชื่อ
เมื่อได้มาเจอโยมภรรยาซึ่งมาจากครอบครัวพุทธที่ค่อนข้างเคร่ง คุณแม่ของภรรยาจะใส่ชุดขาว ทำวัตร และถือศีลแปดทุกวันพระ
ก็ทำให้อาตมาได้เรียนรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนามากขึ้น และรู้สึกว่าธรรมะสามารถอธิบายสิ่งต่างๆให้เราเข้าใจได้อย่างมีเหตุผลตามหลักความเป็นจริง
จึงเริ่มหันมาสนใจศาสนาพุทธมากขึ้นอีก แต่ก็ยังไม่จริงจังมาก เพราะรู้สึกกลัวหลักปฏิบัติที่ดูหนัก เช่น ต้องนั่งสมาธิ เดินจงกรมเป็นชั่วโมง ฯลฯ
ซึ่งตอนนั้นแค่นั่งสมาธิ ๕ นาทียังแทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับอาตมา