ถ้า List รายชื่อหุ้นเด็ดแห่งปี 2014 ขึ้นมา เชื่อเลยว่า EA หรือ Energy Absolute เป็นหนึ่งในนั้น เพราะจากต้นปีที่ราคาอยู่ที่ 7.45 บาท มาถึงวันนี้ ก็วิ่งแรงแซงทุกโค้ง มาย่อตัวลงช่วงนี้เล็กน้อยมาอยู่ที่ 26.50 บาท คิดเป็นผลตอบแทนถึง 255% ภายในปีเดียว EA ดีขนาดนั้นเลยหรือ หรือแค่หุ้นปั่นตัวนึงเท่านั้น
และที่สำคัญ เหตุการณ์นี้ ได้ทิ้งลายแทงบอกอะไรเรากับการลงทุนในอนาคต ผมขออนุญาตใช้พื้นที่บทความนี้ ร่วมแชร์มุมมองตัวเองนะครับ
EA ทำธุรกิจหลักคือ ไบโอดีเซล คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 75-85% พลังงานทางเลือกประมาณ 5% และที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ
ช่วงปี 2551 บริษัทเปลี่ยนชื่อจากเดิม บริษัท ซันเทค ปาล์มออยส์ และก่อตั้งโรงงานผลิตไบโอดีเซล ปัจจุบัน มีกำลังการผลิตไบโอดีเซล 800,000 ลิตรต่อวัน และกลีเซอรีนบริสุทธิ์ 80 ตันต่อวัน ในปี 2553 เป็นช่วงที่บริษัทก็ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างหนักเป็นเรื่องปกติ ของการ Start Up นะครับ และเมื่อกำลังการผลิตไบโอดีเซลกำลังจะนิ่ง เป็นช่วงเก็บเกี่ยวก็จริง แต่บริษัทก็เลือกกระโดดเข้าไปลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4 แห่ง (ตามผังโครงสร้างธุรกิจด้านบน) และบริษัทก็ไม่หยุดแค่นั้น (ด้านขวาของผัง) เพราะได้รับการตอบรับจาก กฟผ.ให้ดำเนินการโครงการพลังงานไฟฟ้าจากกังหันลม ซึ่งบริษัทขอไปทั้งหมด 761 เมกะวัตต์ คิดเป็น 16 โครงการ แต่ล่าสุด อนุมัติมา 126 MW+260MW เท่านั้น
ด้านล่างเป็น Project Pipeline ของบริษัทในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม จนถึงปี 2017
ล่าสุด เมื่อปลายเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา บริษัทก็ตั้ง SCB เป็นที่ปรึกษาการเงิน เพื่อ Finance เงินลงทุน 2.6 หมื่นลบ. จากเงินลงทุนทั้งหมดที่บริษัทคาดว่าจะใช้ทั้งสิ้น ราวๆ 4.4 หมื่นล้านบาท นั้นหมายความว่า ครึ่งหนึ่งของโครงการลงทุนในอนาคต บริษัทรอดไปแล้ว
แล้วตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นวิ่งเร็วมาก มันมาจากอะไร?
บ้างก็ว่าเจ้ามือลาก แต่ผมมองว่า ถึงลาก ก็ลากอย่างมี Story สนับสนุนในระยะยาว ทุกวันนี้ รายได้หลักของธุรกิจ มาจาก ธุรกิจไบโอดีเซล แต่ความตั้งใจของคุณสมโภช จากการมารุกในธุรกิจพลังงานทดแทนก็คือ อยากให้สัดส่วนรายได้มาจากสายไบโอดีเซล 50% พลังงานทดแทน 50% แต่ดูท่าทาง สัดส่วนรายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทน น่าจะมากกว่า 60% จากโครงการลงทุนที่บริษัทยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
เพราะฉะนั้น จากการนั่งดูข้อมูลบริษัทแบบเร็วๆ เราก็จะเห็นว่า EA ถือเป็น Growth Stock อย่างแท้จริง การวิ่งของราคา เป็นการวิ่งบนความคาดหวังกำไรในอนาคต ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ดังนั้น ความเสี่ยงก็คือ
1. โครงการ ถ้าล่าช้าออกไป?
2. ถ้าจัดหาเงินทุนส่วนที่เหลือมาไม่ได้?
3. ราคาปัจจุบัน แพงไปหรือยัง?
สองข้อแรก คงแล้วแต่ความตื้นความลึกในการวิเคราะห์ของแต่ละคนถึงศักยภาพบริษัท ส่วนเรื่อง ราคาปัจจุบัน แพงไปหรือยัง โบรกฯ 3 โบรกที่ออกบทวิเคราะห์มา Cover หุ้น EA มองว่า ราคานี้ Full Valuation บนข้อสมมติฐานว่า Project Pipeline ของบริษัทมีแค่นี้ และโครงการไม่ล่าช้า (ไปหาอ่านได้ใน www.settrade.com นะครับ)
ลองเทียบแบบ Peer Comparison ดู 4 มุม คือ Valuation, Growth, Profitability และ Balance Sheet เทียบกับบริษัทอื่นในไทยในธุรกิจใกล้เคียง ก็จะเห็นว่า Valuation แพงกว่า Peer ในทุกๆ Ratio แต่จุดเด่นของ EA เป็นเรื่อง Growth Story ที่ดีกว่าบริษัทอื่น และ ความสามารถในการสร้างกำไรนั้นดีกว่าบริษัทอื่นค่อนข้างชัดเจน ขณะที่ D/E Ratio อาจจะสูงไปหน่อย แต่ผมให้อภัยนะ เพราะอยู่ในช่วง Growth
ผมขอให้มุมมองภาพกว้างกว่าไปเลยละกัน ปกติเป็นคนชอบวิเคราะห์ Macro มากกว่า แต่เห็นว่า ตลาดหุ้น MAI ขึ้นมาเทรดที่ PE 70-80 เท่า ใครๆก็ออกมาเตือนว่า แพงเหลือเกิน ก็เลยเอาหุ้น Market Cap ใหญ่สุดใน MAI มาเปิดประเด็น
จาก Report เรื่อง Renewable Energy Outlook ของ EIA แสดงให้เห็นว่า พลังงานทดแทน เป็นธุรกิจที่ยังมีการเติบโตสูงในระยะยาว ลากไปจนถึงปี 2040 โน้น ยังโตไม่หยุดเลยครับ
มองในไทย ผมว่า ก็คงเป็นไปตามแนวโน้มของโลกด้วยเช่นกัน ดูจากข้อมูลเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา สัดส่วนการผลิตไฟฟ้า แยกตามประเภทเชื้อเพลิง ตอนนี้ ก๊าซธรรมชาติ 68% ถ่านหิน 18% น้ำมันเตา 1% รับซื้อจากมาเลเซีย 1% ดีเซล 0.01% ที่น่าสนใจคือ พลังงานทดแทนอยู่ที่ 18% โดยปัจจุบัน กำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยรวมอยู่ที่ 34,953.02 MW และน่าจะเป็น 52,256 MW ในปี 2573 หรืออีก 15 ปีข้างหน้า ในขณะที่โรงไฟฟ้าที่สามารถมีกำลังการผลิตจำนวนมากอย่างโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้นคือคำตอบ แต่กระแสคัดค้านการสร้างโรงงานก็เยอะเหลือเกิน ดังนั้น พลังงานทดแทน จึงเป็น Plan B สำหรับการไฟฟ้า ที่ให้ค่าไฟพิเศษ (ADDER) แก่พลังงานทดแทนเหล่านี้ และระยะสั้นคสช.ก็เดินหน้าสนับสนุน พร้อมเร่งรัดให้มีการผลิตได้ตามเป้าหมาย 3 พันเมกะวัตต์(MW) ภายในสิ้นปี 2015 แถมต้นทุนการสร้างโรงงานพลังงานทดแทนในไทย ก็ต่ำกว่าเจ้าแห่งพลังงานทดแทนอย่างญี่ปุ่น ที่โน้นต้องเริ่มต้นธุรกิจพลังงานทดแทน จะใช้เงินลงทุน ซึ่งช่วงแรกจะทำขนาดครั้งละ 2 เมกะวัตต์ ด้วยเงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท แต่บริษัทจดทะเบียนในไทย สามารถผลิตขนาด 1 เมกะวัตต์ จะใช้เงิน ลงทุนประมาณ 70 ล้านบาท ดูแล้ว ธุรกิจพลังงานทดแทนในบ้านเรา อนาคตสดใสในระยะยาวแน่นอนครับ
สรุป ปรากฏการณ์ 250% ใน 1 ปีนี้ เป็นเรื่องของ Growth Story ในระยะยาว ที่ก่อนหน้านี้ ดูจะไม่สามารถจินตนาการภาพได้ชัดเจน จนกระทั่งมีใครบางคนที่เห็นอนาคตอันสดใสเมื่อต้นปี บวกกับ ภาพจริงของธุรกิจที่สามารถคำนวนรายได้ได้แน่นอน เพราะลูกค้าคือ การไฟฟ้า ที่มีอายุสัมปทานแน่นอน ถ้าอยากหาหุ้นแบบนี้ในอนาคตข้างหน้า มันต้องประกอบด้วย 3 ปัจจัยครับ
1. อนาคตของบริษัทที่ชัดเจน
2. ภาพรวมอุตสาหกรรมที่ยังมีการเติบโตที่ดี
3. สภาวะตลาดที่เอื้ออำนวย
ซึ่ง EA มีครบทั้ง 3 ข้อในช่วงที่ผ่านมาครับ
-----------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ
กรณีศึกษา : หุ้น EA 1 ปี ให้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 250% ทำได้ยังไง?
และที่สำคัญ เหตุการณ์นี้ ได้ทิ้งลายแทงบอกอะไรเรากับการลงทุนในอนาคต ผมขออนุญาตใช้พื้นที่บทความนี้ ร่วมแชร์มุมมองตัวเองนะครับ
EA ทำธุรกิจหลักคือ ไบโอดีเซล คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 75-85% พลังงานทางเลือกประมาณ 5% และที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ
ช่วงปี 2551 บริษัทเปลี่ยนชื่อจากเดิม บริษัท ซันเทค ปาล์มออยส์ และก่อตั้งโรงงานผลิตไบโอดีเซล ปัจจุบัน มีกำลังการผลิตไบโอดีเซล 800,000 ลิตรต่อวัน และกลีเซอรีนบริสุทธิ์ 80 ตันต่อวัน ในปี 2553 เป็นช่วงที่บริษัทก็ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างหนักเป็นเรื่องปกติ ของการ Start Up นะครับ และเมื่อกำลังการผลิตไบโอดีเซลกำลังจะนิ่ง เป็นช่วงเก็บเกี่ยวก็จริง แต่บริษัทก็เลือกกระโดดเข้าไปลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4 แห่ง (ตามผังโครงสร้างธุรกิจด้านบน) และบริษัทก็ไม่หยุดแค่นั้น (ด้านขวาของผัง) เพราะได้รับการตอบรับจาก กฟผ.ให้ดำเนินการโครงการพลังงานไฟฟ้าจากกังหันลม ซึ่งบริษัทขอไปทั้งหมด 761 เมกะวัตต์ คิดเป็น 16 โครงการ แต่ล่าสุด อนุมัติมา 126 MW+260MW เท่านั้น
ด้านล่างเป็น Project Pipeline ของบริษัทในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม จนถึงปี 2017
ล่าสุด เมื่อปลายเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา บริษัทก็ตั้ง SCB เป็นที่ปรึกษาการเงิน เพื่อ Finance เงินลงทุน 2.6 หมื่นลบ. จากเงินลงทุนทั้งหมดที่บริษัทคาดว่าจะใช้ทั้งสิ้น ราวๆ 4.4 หมื่นล้านบาท นั้นหมายความว่า ครึ่งหนึ่งของโครงการลงทุนในอนาคต บริษัทรอดไปแล้ว
แล้วตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นวิ่งเร็วมาก มันมาจากอะไร?
บ้างก็ว่าเจ้ามือลาก แต่ผมมองว่า ถึงลาก ก็ลากอย่างมี Story สนับสนุนในระยะยาว ทุกวันนี้ รายได้หลักของธุรกิจ มาจาก ธุรกิจไบโอดีเซล แต่ความตั้งใจของคุณสมโภช จากการมารุกในธุรกิจพลังงานทดแทนก็คือ อยากให้สัดส่วนรายได้มาจากสายไบโอดีเซล 50% พลังงานทดแทน 50% แต่ดูท่าทาง สัดส่วนรายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทน น่าจะมากกว่า 60% จากโครงการลงทุนที่บริษัทยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
เพราะฉะนั้น จากการนั่งดูข้อมูลบริษัทแบบเร็วๆ เราก็จะเห็นว่า EA ถือเป็น Growth Stock อย่างแท้จริง การวิ่งของราคา เป็นการวิ่งบนความคาดหวังกำไรในอนาคต ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ดังนั้น ความเสี่ยงก็คือ
1. โครงการ ถ้าล่าช้าออกไป?
2. ถ้าจัดหาเงินทุนส่วนที่เหลือมาไม่ได้?
3. ราคาปัจจุบัน แพงไปหรือยัง?
สองข้อแรก คงแล้วแต่ความตื้นความลึกในการวิเคราะห์ของแต่ละคนถึงศักยภาพบริษัท ส่วนเรื่อง ราคาปัจจุบัน แพงไปหรือยัง โบรกฯ 3 โบรกที่ออกบทวิเคราะห์มา Cover หุ้น EA มองว่า ราคานี้ Full Valuation บนข้อสมมติฐานว่า Project Pipeline ของบริษัทมีแค่นี้ และโครงการไม่ล่าช้า (ไปหาอ่านได้ใน www.settrade.com นะครับ)
ลองเทียบแบบ Peer Comparison ดู 4 มุม คือ Valuation, Growth, Profitability และ Balance Sheet เทียบกับบริษัทอื่นในไทยในธุรกิจใกล้เคียง ก็จะเห็นว่า Valuation แพงกว่า Peer ในทุกๆ Ratio แต่จุดเด่นของ EA เป็นเรื่อง Growth Story ที่ดีกว่าบริษัทอื่น และ ความสามารถในการสร้างกำไรนั้นดีกว่าบริษัทอื่นค่อนข้างชัดเจน ขณะที่ D/E Ratio อาจจะสูงไปหน่อย แต่ผมให้อภัยนะ เพราะอยู่ในช่วง Growth
ผมขอให้มุมมองภาพกว้างกว่าไปเลยละกัน ปกติเป็นคนชอบวิเคราะห์ Macro มากกว่า แต่เห็นว่า ตลาดหุ้น MAI ขึ้นมาเทรดที่ PE 70-80 เท่า ใครๆก็ออกมาเตือนว่า แพงเหลือเกิน ก็เลยเอาหุ้น Market Cap ใหญ่สุดใน MAI มาเปิดประเด็น
จาก Report เรื่อง Renewable Energy Outlook ของ EIA แสดงให้เห็นว่า พลังงานทดแทน เป็นธุรกิจที่ยังมีการเติบโตสูงในระยะยาว ลากไปจนถึงปี 2040 โน้น ยังโตไม่หยุดเลยครับ
มองในไทย ผมว่า ก็คงเป็นไปตามแนวโน้มของโลกด้วยเช่นกัน ดูจากข้อมูลเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา สัดส่วนการผลิตไฟฟ้า แยกตามประเภทเชื้อเพลิง ตอนนี้ ก๊าซธรรมชาติ 68% ถ่านหิน 18% น้ำมันเตา 1% รับซื้อจากมาเลเซีย 1% ดีเซล 0.01% ที่น่าสนใจคือ พลังงานทดแทนอยู่ที่ 18% โดยปัจจุบัน กำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยรวมอยู่ที่ 34,953.02 MW และน่าจะเป็น 52,256 MW ในปี 2573 หรืออีก 15 ปีข้างหน้า ในขณะที่โรงไฟฟ้าที่สามารถมีกำลังการผลิตจำนวนมากอย่างโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้นคือคำตอบ แต่กระแสคัดค้านการสร้างโรงงานก็เยอะเหลือเกิน ดังนั้น พลังงานทดแทน จึงเป็น Plan B สำหรับการไฟฟ้า ที่ให้ค่าไฟพิเศษ (ADDER) แก่พลังงานทดแทนเหล่านี้ และระยะสั้นคสช.ก็เดินหน้าสนับสนุน พร้อมเร่งรัดให้มีการผลิตได้ตามเป้าหมาย 3 พันเมกะวัตต์(MW) ภายในสิ้นปี 2015 แถมต้นทุนการสร้างโรงงานพลังงานทดแทนในไทย ก็ต่ำกว่าเจ้าแห่งพลังงานทดแทนอย่างญี่ปุ่น ที่โน้นต้องเริ่มต้นธุรกิจพลังงานทดแทน จะใช้เงินลงทุน ซึ่งช่วงแรกจะทำขนาดครั้งละ 2 เมกะวัตต์ ด้วยเงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท แต่บริษัทจดทะเบียนในไทย สามารถผลิตขนาด 1 เมกะวัตต์ จะใช้เงิน ลงทุนประมาณ 70 ล้านบาท ดูแล้ว ธุรกิจพลังงานทดแทนในบ้านเรา อนาคตสดใสในระยะยาวแน่นอนครับ
สรุป ปรากฏการณ์ 250% ใน 1 ปีนี้ เป็นเรื่องของ Growth Story ในระยะยาว ที่ก่อนหน้านี้ ดูจะไม่สามารถจินตนาการภาพได้ชัดเจน จนกระทั่งมีใครบางคนที่เห็นอนาคตอันสดใสเมื่อต้นปี บวกกับ ภาพจริงของธุรกิจที่สามารถคำนวนรายได้ได้แน่นอน เพราะลูกค้าคือ การไฟฟ้า ที่มีอายุสัมปทานแน่นอน ถ้าอยากหาหุ้นแบบนี้ในอนาคตข้างหน้า มันต้องประกอบด้วย 3 ปัจจัยครับ
1. อนาคตของบริษัทที่ชัดเจน
2. ภาพรวมอุตสาหกรรมที่ยังมีการเติบโตที่ดี
3. สภาวะตลาดที่เอื้ออำนวย
ซึ่ง EA มีครบทั้ง 3 ข้อในช่วงที่ผ่านมาครับ
-----------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ