และแล้วเรื่องราวของแคตนีส เอเวอร์ดีนสาวน้อยผู้มากับไฟ สาวแกร่งตัวแทนจากเขต 12 ที่เข้าแข่งฮังเกอร์เกมส์ถึงสองครั้งก็ดำเนินมาถึงบทสรุปสุดท้าย แต่ยังไม่ใช่ท้ายที่สุด เพราะใน The Hunger Games : Mockingjay ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองพาร์ตตามขนบของหนังภาคจบที่สร้างจากนิยายขายดี เนื่องจากเรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นการเคลียร์ทุกบทสรุป ดังนั้นสองชั่วโมงคงไม่พอให้ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดเป็นแน่ ข้อดีคือหนังจะสามารถเก็บรายละเอียดจากในหนังสือได้เข้มข้นขึ้น ทั้งยังดัดแปลงให้น่าติดตามอีกด้วย แต่ข้อเสียหลักๆ คือมันค้างคาและทำให้อยากดูพาร์ตสองต่อแล้ว (กำหนดฉายคือ 20 พ.ย. ปีหน้าแน่ะ)
โดยในพาร์ตหนึ่งจะเล่าเรื่องต่อจากภาคที่แล้ว (Catching Fire ทำเอาไว้ดีมากๆ) ก่อนอื่นต้องเน้นย้ำเลยว่า สำหรับใครที่ชอบถามว่า ไม่ต้องดูภาคก่อนมา ดูภาคจบเลยได้มั้ย คำตอบคือได้ แต่คุณจะได้รับแค่ความบันเทิง ถ้าหากอยากดูแล้วรู้สึกกระแทกใจในหลายซีน แนะนำให้ดูภาคหนึ่งและสองมาก่อน เพราะนั่นจะทำให้เราซึบซับความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร และจะทำให้เห็นว่าทุกการกระทำของพวกเขาล้วนมีเหตุและผล ยิ่งไปกว่านั้นคือในซีนดราม่า รับประกันว่าจะทำให้เราขนลุกตามและแอบน้ำตาซึมได้เลยทีเดียว
นี่คือหนังที่มีเนื้อหาทรงพลังแห่งยุคนี้เลยก็ว่าได้ นอกจากที่เราจะได้รับความสนุกไปกับเดินเรื่องที่กระชับฉับไวแล้ว ยังจะได้ประทับใจไปกับหลายซีนที่กินใจและมุ่งเน้นไปที่เรื่องความเสียสละ รวมทั้งได้เห็นถึงการรวมใจเพื่อเป้าประสงค์เดียวกันของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่สนามแม่เหล็กที่ใช้ปกคลุมอารีน่าที่ใช้แข่งฮังเกอร์เกมส์ครั้งล่าสุดถูกแคตนิสยิงธนูใส่จนพังทลายลงมา เธอก็ได้ถูกกลุ่มกบฏที่ต่อต้านประธานาธิปดีสโนว์แห่งพาเน็มพาตัวหนีไป โดยพวกเขามุ่งหวังให้เธอเป็นม็อกกิ้งเจย์หรือตัวแทนผู้กล้าแห่งกลุ่มที่จะช่วยปลุกระดมให้คนจากเขตอื่นลุกขึ้นมาต่อต้านฝ่ายตรงข้าม แน่นอนว่ามันต้องแลกมาด้วยการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อยู่แล้ว แต่อย่างที่แคตนิสบอกไว้ในพาร์ตนี้ 'ถ้าพวกเราวอดวาย แกก็ต้องวอดวายไปพร้อมพวกเรา'
สำหรับพาร์ตนี้จะเกริ่นนำเรื่องราวก่อนที่จะเกิดสงคราม มุ้งเน้นให้เห็นปฏิบัติการท้าชนของฝ่ายกบฏ รวมทั้งมีการใช้สัญลักษณ์ที่มีความหมายลึกซึ้งในหลายซีน แต่ในส่วนซีนอารมณ์ที่ดูเหมือน ผกก. ตั้งใจจะให้คนดูอินตามกลับทำออกมาได้ไม่เข้าถึงเท่าที่ควร ขณะเดียวกันในซีนที่ดูเรียบง่ายกลับทำออกมาได้โดนใจมากเป็นพิเศษ ถ้าใครชอบหนังแนวดราม่าไซไฟที่เน้นซีนอารมณ์เยอะๆ ต้องชอบแน่นอน ทว่าใครหวังซีนแอ็กชั่นแบบกระหน่ำไม่ยั้ง พาร์ตนี้อาจจะยังไม่ตอบโจทย์
ซึ่งถ้าใครได้ดูในตัวอย่างจะเห็นซีนที่นางเอกยิงธนูขึ้นฟ้าใส่ยานไปแล้ว ก็อาจจะไม่ตื่นเต้นกับซีนที่ว่า แต่พอได้มาดูซีนนี้แบบเต็มๆ กลับรู้สึกประทับใจมากจนชวนให้ขนลุกตามเลย และที่ถือเป็นไคลแม็กซ์ของเรื่องจริงๆ นอกจากการแสดงอันดีงามของเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์แล้ว ก็คือซีนที่เธอร้องเพลง The Hanging Tree ซึ่งมันยอดเยี่ยมเกินคำบรรยายทั้งเนื้อหาและเสียงร้อง สำหรับพาร์ตนี้บอกได้สามคำว่าสนุก ซึ้ง แต่ยังไม่ถึงใจ (8.5/10)
ติดตามเพจรีวิวหนังและนำเสนอเรื่องบันเทิงต่างประเทศได้ที่นี่เล้ยยย ขอบคุณมากจ้า >>>
https://www.facebook.com/kimkanamagazine
[CR] The Hunger Games : Mockingjay Part 1 #สนุกซึ้งแต่ยังไม่ถึงใจ
โดยในพาร์ตหนึ่งจะเล่าเรื่องต่อจากภาคที่แล้ว (Catching Fire ทำเอาไว้ดีมากๆ) ก่อนอื่นต้องเน้นย้ำเลยว่า สำหรับใครที่ชอบถามว่า ไม่ต้องดูภาคก่อนมา ดูภาคจบเลยได้มั้ย คำตอบคือได้ แต่คุณจะได้รับแค่ความบันเทิง ถ้าหากอยากดูแล้วรู้สึกกระแทกใจในหลายซีน แนะนำให้ดูภาคหนึ่งและสองมาก่อน เพราะนั่นจะทำให้เราซึบซับความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร และจะทำให้เห็นว่าทุกการกระทำของพวกเขาล้วนมีเหตุและผล ยิ่งไปกว่านั้นคือในซีนดราม่า รับประกันว่าจะทำให้เราขนลุกตามและแอบน้ำตาซึมได้เลยทีเดียว
นี่คือหนังที่มีเนื้อหาทรงพลังแห่งยุคนี้เลยก็ว่าได้ นอกจากที่เราจะได้รับความสนุกไปกับเดินเรื่องที่กระชับฉับไวแล้ว ยังจะได้ประทับใจไปกับหลายซีนที่กินใจและมุ่งเน้นไปที่เรื่องความเสียสละ รวมทั้งได้เห็นถึงการรวมใจเพื่อเป้าประสงค์เดียวกันของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่สนามแม่เหล็กที่ใช้ปกคลุมอารีน่าที่ใช้แข่งฮังเกอร์เกมส์ครั้งล่าสุดถูกแคตนิสยิงธนูใส่จนพังทลายลงมา เธอก็ได้ถูกกลุ่มกบฏที่ต่อต้านประธานาธิปดีสโนว์แห่งพาเน็มพาตัวหนีไป โดยพวกเขามุ่งหวังให้เธอเป็นม็อกกิ้งเจย์หรือตัวแทนผู้กล้าแห่งกลุ่มที่จะช่วยปลุกระดมให้คนจากเขตอื่นลุกขึ้นมาต่อต้านฝ่ายตรงข้าม แน่นอนว่ามันต้องแลกมาด้วยการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อยู่แล้ว แต่อย่างที่แคตนิสบอกไว้ในพาร์ตนี้ 'ถ้าพวกเราวอดวาย แกก็ต้องวอดวายไปพร้อมพวกเรา'
สำหรับพาร์ตนี้จะเกริ่นนำเรื่องราวก่อนที่จะเกิดสงคราม มุ้งเน้นให้เห็นปฏิบัติการท้าชนของฝ่ายกบฏ รวมทั้งมีการใช้สัญลักษณ์ที่มีความหมายลึกซึ้งในหลายซีน แต่ในส่วนซีนอารมณ์ที่ดูเหมือน ผกก. ตั้งใจจะให้คนดูอินตามกลับทำออกมาได้ไม่เข้าถึงเท่าที่ควร ขณะเดียวกันในซีนที่ดูเรียบง่ายกลับทำออกมาได้โดนใจมากเป็นพิเศษ ถ้าใครชอบหนังแนวดราม่าไซไฟที่เน้นซีนอารมณ์เยอะๆ ต้องชอบแน่นอน ทว่าใครหวังซีนแอ็กชั่นแบบกระหน่ำไม่ยั้ง พาร์ตนี้อาจจะยังไม่ตอบโจทย์
ซึ่งถ้าใครได้ดูในตัวอย่างจะเห็นซีนที่นางเอกยิงธนูขึ้นฟ้าใส่ยานไปแล้ว ก็อาจจะไม่ตื่นเต้นกับซีนที่ว่า แต่พอได้มาดูซีนนี้แบบเต็มๆ กลับรู้สึกประทับใจมากจนชวนให้ขนลุกตามเลย และที่ถือเป็นไคลแม็กซ์ของเรื่องจริงๆ นอกจากการแสดงอันดีงามของเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์แล้ว ก็คือซีนที่เธอร้องเพลง The Hanging Tree ซึ่งมันยอดเยี่ยมเกินคำบรรยายทั้งเนื้อหาและเสียงร้อง สำหรับพาร์ตนี้บอกได้สามคำว่าสนุก ซึ้ง แต่ยังไม่ถึงใจ (8.5/10)
ติดตามเพจรีวิวหนังและนำเสนอเรื่องบันเทิงต่างประเทศได้ที่นี่เล้ยยย ขอบคุณมากจ้า >>> https://www.facebook.com/kimkanamagazine