การให้ทานของพระยาปายาสิ
[๓๒๙] ครั้งนั้น ท่านพระยาปายาสิ ตั้งทานสำหรับสมณพราหมณ์
คนเข็ญใจ คนเดินทางวณิพก และยาจกทั้งหลาย. แต่ในทานนั้นแล เขาให้
โภชนะเป็นข้าวปลายเกรียน มีน้ำส้มพะอูมเป็นกับ และผ้า ผืนเล็ก ๆ ผ้าเปื้อน
น้ำอ้อย. อนึ่ง ในทานนั้น อุตตรมาณพเป็นผู้จัดการให้ทานอุทิศแล้วอย่างนี้ว่า
ด้วยทานนี้ ขอข้าพเจ้าได้พบกับพระยาปายาสิเฉพาะในโลกนี้เท่านั้น อย่าพบ
ในโลกอื่นเลย. พระยาปายาสิได้ยินว่า เขาว่าอุตตรมาณพให้ทานอุทิศอย่างนี้ว่า
ด้วยทานนี้ ข้าพเจ้าพบพระยาปายาสิในโลกนี้เท่านั้นเถิด อย่าพบในโลกอื่นเลย.
ครั้งนั้นพระยาปายาสี จึงเรียกอุตตรมาณพมาถามว่า พ่ออุตตรมาณพ เขาว่า
เจ้าให้ทานเสร็จแล้ว อุทิศอย่างเขาว่านั้นจริงหรือ. อุตตรมาณพ ตอบว่า
จริงขอรับ. ถามว่า เพราะเหตุไร พ่ออุตตรมาณพ เจ้าให้ทานแล้วจึงอุทิศ
อย่างนั้น ข้าไม่ต้องการบุญ หวังผลของทานเท่านั้นหรือ. ตอบว่า ท่านขอรับ
ท่านพระยาให้โภชนะ คือข้าวปลายเกรียน มีน้ำส้มพะอูมเป็นกับในทาน ท่าน
พระยายังไม่ปรารถนาจะแตะต้องแม้แต่เท้า ท่านพระยาจะบริโภคได้อย่างไร
ทั้งผ้าก็ผืนเล็ก ๆ เปื้อนน้ำอ้อย ท่านพระยายังไม่ปรารถนาจะแตะต้องแม้แต่เท้า
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 399
ไฉนจะนุ่งห่มได้เล่า ก็ท่านพระยาเป็นที่รักที่พึงใจของพวกเรา พวกเราจะช่วย
ท่านพระยาผู้น่ารักน่าพึงใจ โดยอาการที่ไม่น่าพึงใจอย่างไรได้. ท่านพระยา-
ปายาสิกล่าวว่า พ่ออุตตระ ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงจัดโภชนะอย่างที่ข้าบริโภค
จงจัดผ้าผ่อนอย่างที่ข้านุ่งห่ม. อุตตรมาณพ รับคำของพระยาปายาสิแล้วจัด
โภชนะอย่างที่ท่านพระยาปายาสิบริโภค จัดผ้าผ่อนอย่างที่ท่านพระยาปายาสิ
นุ่งห่ม. ครั้งนั้น พระยาปายาสิ ให้ทานโดยไม่เคารพ ให้ทานไม่ใช่ให้ด้วย
มือของตนเอง ให้ทานโดยไม่นอบน้อม ให้ทานแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ครั้น
ตายแล้ว ก็เข้าถึง ความเป็นสหายของเหล่าเทพชั้นจาตุมหาราช มีเสรีสกวิมาน
อันว่างเปล่า. ส่วนอุตตรมาณพผู้จัดการในทานของพระยาปายาสินั้น ให้ทาน
โดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตนเอง ให้ทานโดยนอบน้อม ให้ทานไม่ใช่ทิ้ง ๆ
ขว้างๆ ครั้นตายแล้วก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นสหายของเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์.
เรื่องพระควัมปติเถระ - เทพบุตรปายาสิ
[๓๓๐] สมัยนั้น ท่านพระควัมปติ ไปพักกลางวัน ณ เสรีสกวิมาน
อันว่างเปล่าเนือง ๆ. ครั้งนั้น ปายาสิเทพบุตร เข้าไปหาท่านพระควัมปติ
กราบแล้วยืน ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง. ท่านพระควัมปติจึงถามปายาสิเทพบุตร
ว่า ผู้มีอายุ ท่านเป็นใคร. ปายาสิเทพบุตร ตอบว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้า
คือ พระยาปายาสิ. ถามว่า ผู้มีอายุ ท่านที่ได้มีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะ
เหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี
ดังนี้นะหรือ. ตอบว่า จริงเจ้าข้า แต่ข้าพเจ้าถูกพระผู้เป็นเจ้ากุมารกัสสป
เปลื้องเสียจากความเห็นอันชั่วนั้นแล้ว. ถามว่า ผู้มีอายุ ท่านอุตตรมาณพ
ผู้จัดการในทานของท่านแล้ว เขาไปเกิดเสียที่ไหน. ตอบว่า ท่านเจ้าข้า
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 400
อุตตรมาณพผู้จัดการทานของข้าพเจ้าให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของ-
ตนเอง ให้ทานโดยนอบน้อม ให้ทานโดยไม่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ครั้นตายแล้วก็เข้า
ถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นสหายของเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์ ท่านเจ้าข้า ส่วน
ข้าพเจ้า ให้ทานโดยไม่เคารพ ให้ทานโดยมิใช่โดยมือของตนเอง ให้ทานโดย
ไม่นอบน้อม ให้ทานทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ครั้นตายแล้ว เข้าถึงความเป็นสหายของ
เหล่าเทพชั้นจาตุเสรีสกวิมานอันว่างเปล่า ท่านพระควัมปติ เจ้าข้า ถ้าอย่างนั้น
พระคุณเจ้ากลับมนุษยโลกแล้ว โปรดบอกกล่าวคนทั้งหลายอย่างนี้ว่า พวกท่าน
จงให้ทานโดยเคารพ จงให้ทานโดยมือของตนเอง จงให้ทานโดยนอบน้อม
จงให้ทานอย่าทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ พระยาปายาสิให้ทานโดยไม่เคารพ ให้ทานไม่ใช้
ด้วยมือของตนเอง ให้ทานโดยไม่นอบน้อม ให้ทานทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ตายแล้ว
ก็เข้าถึง ความเป็นสหายของเหล่าเทพชั้นจาตุมหาราช มีเสรีสกวิมานอันว่างเปล่า
ส่วนอุตตรมาณพผู้จัดการทานของพระยาปายาสินั้น ให้ทานโดยเคารพ ให้ทาน
ด้วยมือของตนเอง ให้ทานโดยนอบน้อม ให้ทานไม่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ตายแล้ว
ก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นสหายของเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์. ครั้งนั้น ท่าน
ควัมปติกลับมนุษยโลกแล้วก็บอกกล่าวแก่คนทั้งหลาย อย่างที่ปายาสิเทพบุตร
ส่งเสียทุกประการแล.
จบปายาสิราชัญญสูตร ที่ ๑๐
ที่มา : พระไตรปิฏกฉบับ 91 เล่ม มหามกุฏราชวิทยาลัย
http://www.tripitaka91.com/91book/book14/351_400.htm#399
เสรีสกวิมานนั้น เป็นวิมานสำหรับเทพผู้จาริกมาแต่ทุกทิศ มีอยู่ในดงชื่อวัฏฏนี(ลับแล)
คำว่า เอวมาโรเจหิ ความว่า ท่านจงบอก
(มนุษย์) ด้วยนัยเป็นต้นว่า ท่านทั้งหลายจงให้ทานโดยเคารพ ดังนี้. ก็แล
มหาชนฟังการบอกกล่าวของพระเถระนั้นแล้ว ก็ให้ทานโดยเคารพไปบังเกิดในเทวโลก.
ส่วนนางบำเรอ (ปริจาริกา) ของพระยาปายาสิ. แม้ให้ทานโดย
เคารพ ก็ไปบังเกิดในสำนักของพระยาปายาสินั่นแล ด้วยอำนาจความปรารถนา
นัยว่าเสรีสกวิมานนั้น เป็นวิมานสำหรับเทพผู้จาริกมาแต่ทุกทิศมีอยู่ในดงชื่อ
วัฏฏนี (ลับแล). ก็ในวันหนึ่ง ปายาสิเทพบุตรแสดงตัวแก่เหล่าพ่อค้าทั้งหลาย
แล้วกล่าวกรรมที่ตนกระทำไว้แล้วแล.
จบอรรถกถาปายาสิราชัญญสูตรที่ ๑๐ แห่งอรรถกถาทีมนิกาย ชื่อ
สุมังคลวิลาสินี ด้วยประการฉะนี้.
ที่มา
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 410
พระไตรปิฏก ฉบับ 91 เล่ม มหามกุฏราชวิทยาลัย
http://www.tripitaka91.com/91book/book14/401_450.htm#411
อรรถกถา อุตตรวิมาน
ท่านพระกุมารกัสสปะพร้อมกับภิกษุ ๕๐๐ รูป ถึงเสตัพยนคร
อยู่ ณ สีสปาวัน ครั้งนั้น พระยาปายาสิ [ เจ้าเมืองเสตัพยะ ] ฟังว่า
พระเถระอยู่ในที่นั้น มีหมู่ชนเป็นอันมากแวดล้อมแล้ว เข้าไปหาพระเถระ
ทำปฏิสันถารกันแล้วก็นั่งลง ประกาศทิฏฐิของตน พระเถระเมื่อประกาศ
ว่า ปรโลก [โลกอื่น] มีด้วยอุทาหรณ์มีพระจันทร์และพระอาทิตย์
เป็นต้น ก็แสดงปายาสิสูตร อันวิจิตรด้วยนัยต่าง ๆ ประดับด้วยเหตุและ
อุปมามากอย่าง เปลื้องปมทิฏฐิ ทำพระยาปายาสินั้นให้ดำรงอยู่ในทิฏฐิ
สัมปทา ถึงพร้อมด้วยความเห็นชอบ.
พระยาปายาสินั้น มีทิฏฐิความเห็นหมดจดแล้ว เมื่อให้ทานแก่
สมณพราหมณ์คนยากไร้คนเดินทางไกลเป็นต้น ก็ให้แต่ของปอน ๆ คือ
ข้าวปลายเกรียนกับน้ำส้มพะอูม พอแก้หิว และผ้าเนื้อหยาบ เพราะตนมี
อัธยาศัยไม่โอฬาร [ คือใจแคบ ] ดังนั้น จึงให้ทานโดยไม่เคารพ
ครั้นแตกกายทำลายขันธ์ ก็เข้าถึงหมู่เทพชั้นต่ำ คือเป็นสหายของเหล่าเทพ
ชั้นจาตุมหาราช [ ต่ำสุดในสวรรค์ ๖ ชั้น ]. ส่วนมาณพชื่ออุตตระ ผู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 574
จัดการในกิจใหญ่กิจน้อยของพระยาปายาสินั้น ได้เป็นผู้ขวนขวายในทาน
เขาให้ทานโดยเคารพ ก็เข้าถึงหมู่เทพชั้นดาวดึงส์. วิมาน ๑๒ โยชน์ ก็
บังเกิดแก่เขา
ที่มา : พระไตรปฺิฏก ฉบับ 91 เล่ม มหามกุฏราชวิทยาลัย
http://www.tripitaka91.com/91book/book48/551_600.htm#573
[๓๒๙] พระยาปายาสิให้ทานโดยไม่เคารพ ไม่ให้ด้วยมือของตนเอง ให้ทานโดยไม่นอบน้อม ทิ้ง ๆ ขว้างๆ ตายไปอยู่สวรรค์ชั้นต่ำสุด
[๓๒๙] ครั้งนั้น ท่านพระยาปายาสิ ตั้งทานสำหรับสมณพราหมณ์
คนเข็ญใจ คนเดินทางวณิพก และยาจกทั้งหลาย. แต่ในทานนั้นแล เขาให้
โภชนะเป็นข้าวปลายเกรียน มีน้ำส้มพะอูมเป็นกับ และผ้า ผืนเล็ก ๆ ผ้าเปื้อน
น้ำอ้อย. อนึ่ง ในทานนั้น อุตตรมาณพเป็นผู้จัดการให้ทานอุทิศแล้วอย่างนี้ว่า
ด้วยทานนี้ ขอข้าพเจ้าได้พบกับพระยาปายาสิเฉพาะในโลกนี้เท่านั้น อย่าพบ
ในโลกอื่นเลย. พระยาปายาสิได้ยินว่า เขาว่าอุตตรมาณพให้ทานอุทิศอย่างนี้ว่า
ด้วยทานนี้ ข้าพเจ้าพบพระยาปายาสิในโลกนี้เท่านั้นเถิด อย่าพบในโลกอื่นเลย.
ครั้งนั้นพระยาปายาสี จึงเรียกอุตตรมาณพมาถามว่า พ่ออุตตรมาณพ เขาว่า
เจ้าให้ทานเสร็จแล้ว อุทิศอย่างเขาว่านั้นจริงหรือ. อุตตรมาณพ ตอบว่า
จริงขอรับ. ถามว่า เพราะเหตุไร พ่ออุตตรมาณพ เจ้าให้ทานแล้วจึงอุทิศ
อย่างนั้น ข้าไม่ต้องการบุญ หวังผลของทานเท่านั้นหรือ. ตอบว่า ท่านขอรับ
ท่านพระยาให้โภชนะ คือข้าวปลายเกรียน มีน้ำส้มพะอูมเป็นกับในทาน ท่าน
พระยายังไม่ปรารถนาจะแตะต้องแม้แต่เท้า ท่านพระยาจะบริโภคได้อย่างไร
ทั้งผ้าก็ผืนเล็ก ๆ เปื้อนน้ำอ้อย ท่านพระยายังไม่ปรารถนาจะแตะต้องแม้แต่เท้า
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 399
ไฉนจะนุ่งห่มได้เล่า ก็ท่านพระยาเป็นที่รักที่พึงใจของพวกเรา พวกเราจะช่วย
ท่านพระยาผู้น่ารักน่าพึงใจ โดยอาการที่ไม่น่าพึงใจอย่างไรได้. ท่านพระยา-
ปายาสิกล่าวว่า พ่ออุตตระ ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงจัดโภชนะอย่างที่ข้าบริโภค
จงจัดผ้าผ่อนอย่างที่ข้านุ่งห่ม. อุตตรมาณพ รับคำของพระยาปายาสิแล้วจัด
โภชนะอย่างที่ท่านพระยาปายาสิบริโภค จัดผ้าผ่อนอย่างที่ท่านพระยาปายาสิ
นุ่งห่ม. ครั้งนั้น พระยาปายาสิ ให้ทานโดยไม่เคารพ ให้ทานไม่ใช่ให้ด้วย
มือของตนเอง ให้ทานโดยไม่นอบน้อม ให้ทานแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ครั้น
ตายแล้ว ก็เข้าถึง ความเป็นสหายของเหล่าเทพชั้นจาตุมหาราช มีเสรีสกวิมาน
อันว่างเปล่า. ส่วนอุตตรมาณพผู้จัดการในทานของพระยาปายาสินั้น ให้ทาน
โดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตนเอง ให้ทานโดยนอบน้อม ให้ทานไม่ใช่ทิ้ง ๆ
ขว้างๆ ครั้นตายแล้วก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นสหายของเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์.
เรื่องพระควัมปติเถระ - เทพบุตรปายาสิ
[๓๓๐] สมัยนั้น ท่านพระควัมปติ ไปพักกลางวัน ณ เสรีสกวิมาน
อันว่างเปล่าเนือง ๆ. ครั้งนั้น ปายาสิเทพบุตร เข้าไปหาท่านพระควัมปติ
กราบแล้วยืน ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง. ท่านพระควัมปติจึงถามปายาสิเทพบุตร
ว่า ผู้มีอายุ ท่านเป็นใคร. ปายาสิเทพบุตร ตอบว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้า
คือ พระยาปายาสิ. ถามว่า ผู้มีอายุ ท่านที่ได้มีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะ
เหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี
ดังนี้นะหรือ. ตอบว่า จริงเจ้าข้า แต่ข้าพเจ้าถูกพระผู้เป็นเจ้ากุมารกัสสป
เปลื้องเสียจากความเห็นอันชั่วนั้นแล้ว. ถามว่า ผู้มีอายุ ท่านอุตตรมาณพ
ผู้จัดการในทานของท่านแล้ว เขาไปเกิดเสียที่ไหน. ตอบว่า ท่านเจ้าข้า
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 400
อุตตรมาณพผู้จัดการทานของข้าพเจ้าให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของ-
ตนเอง ให้ทานโดยนอบน้อม ให้ทานโดยไม่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ครั้นตายแล้วก็เข้า
ถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นสหายของเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์ ท่านเจ้าข้า ส่วน
ข้าพเจ้า ให้ทานโดยไม่เคารพ ให้ทานโดยมิใช่โดยมือของตนเอง ให้ทานโดย
ไม่นอบน้อม ให้ทานทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ครั้นตายแล้ว เข้าถึงความเป็นสหายของ
เหล่าเทพชั้นจาตุเสรีสกวิมานอันว่างเปล่า ท่านพระควัมปติ เจ้าข้า ถ้าอย่างนั้น
พระคุณเจ้ากลับมนุษยโลกแล้ว โปรดบอกกล่าวคนทั้งหลายอย่างนี้ว่า พวกท่าน
จงให้ทานโดยเคารพ จงให้ทานโดยมือของตนเอง จงให้ทานโดยนอบน้อม
จงให้ทานอย่าทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ พระยาปายาสิให้ทานโดยไม่เคารพ ให้ทานไม่ใช้
ด้วยมือของตนเอง ให้ทานโดยไม่นอบน้อม ให้ทานทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ตายแล้ว
ก็เข้าถึง ความเป็นสหายของเหล่าเทพชั้นจาตุมหาราช มีเสรีสกวิมานอันว่างเปล่า
ส่วนอุตตรมาณพผู้จัดการทานของพระยาปายาสินั้น ให้ทานโดยเคารพ ให้ทาน
ด้วยมือของตนเอง ให้ทานโดยนอบน้อม ให้ทานไม่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ตายแล้ว
ก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นสหายของเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์. ครั้งนั้น ท่าน
ควัมปติกลับมนุษยโลกแล้วก็บอกกล่าวแก่คนทั้งหลาย อย่างที่ปายาสิเทพบุตร
ส่งเสียทุกประการแล.
จบปายาสิราชัญญสูตร ที่ ๑๐
ที่มา : พระไตรปิฏกฉบับ 91 เล่ม มหามกุฏราชวิทยาลัย
http://www.tripitaka91.com/91book/book14/351_400.htm#399
เสรีสกวิมานนั้น เป็นวิมานสำหรับเทพผู้จาริกมาแต่ทุกทิศ มีอยู่ในดงชื่อวัฏฏนี(ลับแล)
คำว่า เอวมาโรเจหิ ความว่า ท่านจงบอก
(มนุษย์) ด้วยนัยเป็นต้นว่า ท่านทั้งหลายจงให้ทานโดยเคารพ ดังนี้. ก็แล
มหาชนฟังการบอกกล่าวของพระเถระนั้นแล้ว ก็ให้ทานโดยเคารพไปบังเกิดในเทวโลก.
ส่วนนางบำเรอ (ปริจาริกา) ของพระยาปายาสิ. แม้ให้ทานโดย
เคารพ ก็ไปบังเกิดในสำนักของพระยาปายาสินั่นแล ด้วยอำนาจความปรารถนา
นัยว่าเสรีสกวิมานนั้น เป็นวิมานสำหรับเทพผู้จาริกมาแต่ทุกทิศมีอยู่ในดงชื่อ
วัฏฏนี (ลับแล). ก็ในวันหนึ่ง ปายาสิเทพบุตรแสดงตัวแก่เหล่าพ่อค้าทั้งหลาย
แล้วกล่าวกรรมที่ตนกระทำไว้แล้วแล.
จบอรรถกถาปายาสิราชัญญสูตรที่ ๑๐ แห่งอรรถกถาทีมนิกาย ชื่อ
สุมังคลวิลาสินี ด้วยประการฉะนี้.
ที่มา พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 410
พระไตรปิฏก ฉบับ 91 เล่ม มหามกุฏราชวิทยาลัย
http://www.tripitaka91.com/91book/book14/401_450.htm#411
อรรถกถา อุตตรวิมาน
ท่านพระกุมารกัสสปะพร้อมกับภิกษุ ๕๐๐ รูป ถึงเสตัพยนคร
อยู่ ณ สีสปาวัน ครั้งนั้น พระยาปายาสิ [ เจ้าเมืองเสตัพยะ ] ฟังว่า
พระเถระอยู่ในที่นั้น มีหมู่ชนเป็นอันมากแวดล้อมแล้ว เข้าไปหาพระเถระ
ทำปฏิสันถารกันแล้วก็นั่งลง ประกาศทิฏฐิของตน พระเถระเมื่อประกาศ
ว่า ปรโลก [โลกอื่น] มีด้วยอุทาหรณ์มีพระจันทร์และพระอาทิตย์
เป็นต้น ก็แสดงปายาสิสูตร อันวิจิตรด้วยนัยต่าง ๆ ประดับด้วยเหตุและ
อุปมามากอย่าง เปลื้องปมทิฏฐิ ทำพระยาปายาสินั้นให้ดำรงอยู่ในทิฏฐิ
สัมปทา ถึงพร้อมด้วยความเห็นชอบ.
พระยาปายาสินั้น มีทิฏฐิความเห็นหมดจดแล้ว เมื่อให้ทานแก่
สมณพราหมณ์คนยากไร้คนเดินทางไกลเป็นต้น ก็ให้แต่ของปอน ๆ คือ
ข้าวปลายเกรียนกับน้ำส้มพะอูม พอแก้หิว และผ้าเนื้อหยาบ เพราะตนมี
อัธยาศัยไม่โอฬาร [ คือใจแคบ ] ดังนั้น จึงให้ทานโดยไม่เคารพ
ครั้นแตกกายทำลายขันธ์ ก็เข้าถึงหมู่เทพชั้นต่ำ คือเป็นสหายของเหล่าเทพ
ชั้นจาตุมหาราช [ ต่ำสุดในสวรรค์ ๖ ชั้น ]. ส่วนมาณพชื่ออุตตระ ผู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 574
จัดการในกิจใหญ่กิจน้อยของพระยาปายาสินั้น ได้เป็นผู้ขวนขวายในทาน
เขาให้ทานโดยเคารพ ก็เข้าถึงหมู่เทพชั้นดาวดึงส์. วิมาน ๑๒ โยชน์ ก็
บังเกิดแก่เขา
ที่มา : พระไตรปฺิฏก ฉบับ 91 เล่ม มหามกุฏราชวิทยาลัย
http://www.tripitaka91.com/91book/book48/551_600.htm#573